10 เม.ย. 2019 เวลา 14:41 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ถ้า Facebook จะตายหายไปจากโลกนี้?
Facebook เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก ทั้งในเรื่องของมูลค่าทางตลาดและการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใช้งานทั่วโลก ถ้าเปรียบโลกใบนี้เป็นมหาสมุทร จะบอกว่าพวกเขาเป็นวาฬสีน้ำเงิน สิ่งมีชีวิตที่ขนาดใหญ่ที่สุดในนี้ก็ไม่ผิดอะไรนัก และถึงแม้จะมีศัตรูอยู่บางในบริเวณใกล้เคียง แต่ก็แทบจะไม่มีนักล่าคนไหนที่สามารถทำอันตรายมันได้เลย ซึ่งถ้าใครเคยอ่านนิทาน Pinocchio คุณผมเราท่านที่ใช้งานกว่า 2.3 พันล้านคนทั่วโลกก็เหมือนนั่งอยู่ในท้องวาฬตัวนี้ เขาอยากพาไปไหนก็ต้องไปด้วยกันนี้แหละ
แต่ช่วงที่ผ่านมาวาฬตัวนี้ก็เหมือนกำลังว่ายผ่านมหาสมุทรที่คลื่นลมพายุหนักหน่วง ลูกแรกเจอเรื่อง Cambridge Analytica ที่ไปมีส่วนพัวพันกับรัสเซียและการเลือกตั้งของอเมริกาครั้งล่าสุด หุ้นร่วงกรูด หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการลบบัญชีกว่า 600 บัญชีที่ส่อพฤติกรรมแปลกๆ “inauthentic behavior” ต่อด้วยการที่จะโดนฟ้องร้องเรื่องความเสียหายต่อการเปิดเผยข้อมูลบัญชีอีก 50 ล้านคน แถมท้ายโรยผักชีด้วยผู้ก่อตั้ง Instagram และ WhatsApp ออกจากตำแหน่ง
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในปีที่แล้วเพียงปีเดียว
แล้วจำได้ไหมตอนช่วง 2016 ที่พวกเขาบอกข้อมูล analytics ที่ไม่ถูกต้องให้กับเหล่าบริษัทโฆษณาทั้งหลาย? ที่จริงประวัติพวกเขาก็ไม่ค่อยสวยหรูเท่าไหร่นัก
และทุกครั้งที่ข่าวฉาวเหล่านี้เกิดขึ้นก็จะมีบทความเขียนขึ้นมาประมาณว่า “หรือนี่คือจุดจบของ Facebook?” (ก็อารมณ์คล้ายๆแบบที่อ่านอยู่นี้แหละ) แต่สุดท้ายปลาวาฬตัวนี้ก็ยังอยู่ว่ายน้ำอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แต่คำถามต่อมาคือจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนต่างหาก?
มีหลายๆปัจจัยที่ไม่อาจรู้ที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของบริษัทในอนาคต และการขยายฐานเข้าไปในธุรกิจอื่นๆก็ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก (อย่าง dating หรือ oculus)
แต่ถ้าเราจะลองปล่อยให้จินตนาการเตลิดเปิดเปิงแล้วคาดเดากันว่า “ถ้า” facebook จะตายจริงๆจะเกิดเพราะสาเหตุอะไร มีอะไรที่สามารถจะทำให้วาฬสีน้ำเงินตัวนี้ต้องยอมรับสภาพและพ่ายแพ้ไปในที่สุดบ้าง? (แต่นี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับผม เอาสนุกๆดีกว่า)
มาดูกัน
1. ผู้คนย้ายบ้านไปใช้โซเชียลมีเดียที่อื่น (ความเป็นไปได้ : น้อย)
จำ Google Plus, Ello หรือ Peach ได้ไหม? กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่คนพยายามติดป้ายว่านี่คือ “Facebook Killer”
มันยังไม่เกิดขึ้น และน่าจะเป็นไปได้ยาก เราจะปิด Facebook หรือ Instagram ของเราจริงๆเหรอ? เพียงเพื่อจะไปใช้สื่ออื่นที่ทำหน้าที่คล้ายๆกัน? แล้วต้องมานั่งเพิ่มเพื่อนใหม่อีกครั้ง? ส่วนตัวคิดว่าน่าจะไม่ทำ
เราใช้เวลานานหลายปีเพื่อสร้างบัญชี Facebook อันหนึ่งขึ้นมา ไหนจะรูปบนบัญชีนั้นอีกที่ไม่รู้แล้วว่าต้นฉบับไปอยู่ไหนแล้ว จะโยกทั้งหมดไปที่ใหม่คงเป็นเรื่องที่ลำบาก มันเหมือนกับว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง MySpace, Hi5, Xanga และต่างๆได้ลงวิ่งแข่งมาหมดแล้ว ผู้ชนะก็คือ Facebook, Snapchat อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะกวนใจ Facebook แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่อินกับมันสักเท่าไหร่ (ส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่นมากกว่า)
ส่วนปกติแล้วเมื่อใดก็ตามที่ผู้บริโภครู้สึกไม่ชอบผู้ให้บริการ พวกเขาก็ย้ายไปที่อื่น แต่ในเคสของ Facebook นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเขาไม่ซื้อคู่แข่งไปแล้ว ก็สามารถหาวิธีดึงฟีเจอร์มาเป็นของตัวเองได้ในที่สุด เรามีทางเลือกคือใช้หรือไม่ใช้แค่นั้น
2. Amazon ซื้อ Facebook (ความเป็นไปได้ : มากขึ้นมาหน่อย)
คือ...ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้? เราเห็นการรวมตัวกันของธุรกิจที่คาดไม่ถึงในอดีตมามากมาย (โดยเฉพาะในในธุรกิจมีเดีย) แล้วจะมีอะไรมาการันตีว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า? ลองจินตนาการดูว่า Facebook powered by Amazon จะเป็นยังไง? แล้ว Amazon จะสร้างเงินจากข้อมูลมากมายจาก Facebook ได้มากขนาดไหน?
3. หุ้นร่วงลงเรื่อยๆและก็ตายไปในที่สุด (ความเป็นไปได้ : มากขึ้นกว่าเดิม)
ผมไม่ได้เป็นกูรูในเรื่องตลาดหุ้นหรือแม้แต่การวิเคราะห์มูลค่าของบริษัท แต่การเติบโตของหุ้น Facebook นั้นเริ่มต้นที่ $42 ไปไกลสุดที่ $209 ซึ่งการเติบโตนี้มาจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่เติบโตตามมาด้วย แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญคือจำนวนผู้ใช้งานที่เริ่มคงที่ ไม่เติบโตเหมือนเมื่อก่อน และคนก็เริ่มกังวลกันมากขึ้นว่าจะเป็นยังไงต่อ
ถ้าผู้ใช้งานไม่เพิ่มขึ้น รายได้ก็ไม่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นจะไปทางไหนกัน?
สิ่งหนึ่งที่จะชี้วัดความเป็นความตายของพวกเขาคือ : นวัตกรรม ซึ่งก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน (อาจจะเป็น Blockchain ในรูปแบบของตัวเอง) และนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าภายในปี 2020 ราคาหุ้นจะกลับมาอยู่ที่ราวๆ $90
4. ถูกรัฐบาลประกาศปิดการใช้งาน (ความเป็นไปได้ : น่าคิดเลยทีเดียว)
เมื่อ Zuckerberg ถูกเรียกเข้าไปให้ปากคำเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Facebook มันเหมือนกับพ่อแม่ที่พยายามเข้าใจลูกชายวัยรุ่นที่แตกต่างกันด้วย generation gap ความคิดต่างๆไม่มีทางเข้ากันได้และเอาจริงๆผมรู้สึกว่ากฎหมายต่างๆนั้นตามเทคโนโลยีไม่ทันแล้ว นี่ขนาดยังไม่ได้มีการปล่อยเทคโนโลยี blockchain ที่จะมาเป็นสกุลเงินของตัวเองออกมานะ
แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงและควบคุม Facebook โดยเฉพาะในเรื่องทัศนคติในการดูแลข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า รัฐบาลของหลายๆประเทศนั้นได้จับตาดูการใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด และเราอาจจะได้เห็นความชัดเจนในเรื่องนี้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปในอเมริกา เพราะถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลอีกครั้ง ต่อไปอาจจะไม่มี Facebook แบบที่เรารู้จักกันแล้วก็ได้
มันเป็นไปได้อยู่แล้วที่จะมีนักการเมืองออกแคมเปญหาเสียงเพื่อรณรงค์ให้ปิด Facebook ไปเลย หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการแสดงตัวด้วยหมายเลขบัตรประชาชนที่แท้จริงเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างบัญชีปลอมขึ้นมาอีก
แล้วอะไรหล่ะที่จะเกิดขึ้น?
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้คำตอบ ข่าวฉาวครั้งต่อไปของบริษัทจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วันหนึ่ง Mark Zuckerberg อาจจะบอกว่าพอแล้วไม่ยุ่งแล้วพอกันที เอาเงินไปใช้ชีวิตสบายๆดีกว่า หรือบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นและต้องขายบางส่วนของธุรกิจออกไป หรือบางทีถูกกักกันโดยรํบบาลและกฎหมายจนไม่สามารถทำอะไรได้แล้วก็ปิดไปเอง
ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นตอนไหน แน่นอนว่ามันจะกระทบผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล
Facebook ไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไป มีหลายบริษัทและธุรกิจหลายอย่างที่พึ่งพาอาศัยการเป็นอยู่ของพวกเขา (คิดถึงพ่อค้าออนไลน์) แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังเป็นวาฬยักษ์ขนาดมหึมาที่มีสัตว์น้ำต่างๆที่อยู่ล้อมรอบเพื่อรับผลประโยชน์ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันตาย? แน่นอนว่าคงมีงานเฉลิมฉลองเกิดขึ้นเพราะเราน่าจะเห็นคู่แข่งหน้าใหม่ๆเข้ามาแก่งแย่งพื้นที่ตรงนี้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน
โฆษณา