ซ่องคณิกา สตรีแปลกหน้า กระบองสองท่อน
สัญญาณชั้นดีฟ้องถึงหายนะกำลังอุบัติขึ้น ไม่ว่าใครต่างสัมผัสได้ อย่าว่าแต่แม่เล้าเลย เหล่าแขกเหรื่อพร้อมใจกันหยุดความรื่นเริงตรงหน้าเพื่อชมดูเหตุการณ์ เครื่องดนตรีหยุดบรรเลงดื้อๆ เกิดความวังเวงน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่ว
กระบองสองท่อนประดิษฐ์ขึ้นอย่างหยาบๆ ตัวกระบองเป็นด้ามไม้ยาวเกือบศอก ผิวมิได้ขัดเรียบ โซ่ร้อยกระบองเส้นเล็กไร้ความประณีต สนิมจับอยู่ประปราย แผกเพียงมือที่ถือกระบองสองท่อนเป็นมือสตรี แม้ไม่เรียวงามดูลุ่มลื่น ทว่ากำกระบองไว้มั่น ยากจะหาสิ่งใดในโลกโยกคลอนสองสิ่งนี้ให้คลายจากกันได้
เจ้าของกระบองเงยหน้ามองชั้นบน กู่ก้องขึ้นสุดเสียง “เจ้าจอหงวนเย่ยสือ ข้ารู้เจ้าอยู่ในนี้ เลิกเล่นจ้ำจี้แล้วออกมาพบหน้าข้าซะ!”
เสียงของนางสนั่นหวั่นไหว ยินไปรอบทิศ ทั้งหยุดทุกการเคลื่อนไหวลง หลากผู้คนหันมองดูนางด้วยความประหลาดใจระคนหวาดหวั่น ห้องหับต่างๆเริ่มเปิดประตูออกช้าๆ บางห้องแง้มไว้พอศีรษะพ้นออกมาเพื่อดูว่าเกิดอันใด บุรุษบางคนตกใจถึงขั้นยุติกามกิจ หอบเสื้อผ้าวิ่งเตลิดออกประตูหลัง อากาศอบอ้าวขึ้นยังกับสตรีแปลกหน้าบันดาลได้
“เจ้าต้องการพบจอหงวนเย่ยสือ?” เสียงบุรุษดังจากห้องชั้นบน การมีตัวตนของเย่ยสือ ส่อถึงเหตุการณ์อาจเลวร้ายลง
“ถ้าเจ้าใช่เย่ยสือ ใส่กางเกงแล้วออกมาซะ” สตรีแปลกหน้าดูเดือดดาลต่อเย่ยสือยิ่งนัก
ครั้นแล้วประตูห้องบานหนึ่งแง้มออกช้าๆ บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาปรากฏ ท่วงท่ากิริยาดูหยิ่งจองหอง แต่งกายแบบกงจื้อมั่งคั่ง เนื้อผ้าชั้นดีผิดคนทั่วไป หรือมันคือเย่ยสือ? มันยืนกอดอกมองลงมายังสตรีแปลกหน้า สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปหยุดยังกระบองสองท่อนในมือนาง
“เจ้าหรือคือเย่ยสือ?” นางเงยหน้าขึ้นสบสายตา
“ข้าจะใช่เย่ยสือหรือไม่ มิใช่กงการอะไรของเจ้า เจ้ามาวางท่าใหญ่โตจนผู้คนแตกตื่น ใช่ข้าจะต้องกลัวเกรง ที่สำคัญข้ามิได้อ่อนด้อยถึงขนาดต้องกลัวสตรีถือกระบองสองท่อน” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี
“เจ้าใช่คนที่เขียนบันทึกตำราอะไรนั่น?” นางตวาดถาม
บุรุษผู้นั้นรับฟัง มือล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนหยิบของให้นางชมดู
...เป็นตำราเล่มหนึ่ง
สตรีแปลกหน้าสีหน้าแปรเปลี่ยนเคียดขึ้งเมื่อเห็นตำรา นางเงยหน้ากล่าวกับมัน “เจ้าใช่คนเขียนบันทึกจดหมายเหตุเล่มนี้?” นางถามย้ำ
มันค่อยๆ ก้าวเดินลงบันไดมาช้าๆ มือกอดอกดุจเดิม หลับตายิ้มพราย “ถ้าข้าใช่แล้วจะทำไม?”
สตรีแปลกหน้าตอบ “ถ้าเจ้าใช่ ข้าจะได้ไม่ทำร้ายผิดคน”
“เจ้าคิดว่าข้าสอบจอหงวนท่องแต่ตำรากระนั้นหรือ?” มันกล่าวแฝงเลศนัย ทำนองซ่อนงำเขี้ยวเล็บไว้ มิได้อ่อนแออย่างตาเห็น กระทั่งเดินมาหยุดเบื้องหน้านาง
“เห็นเจ้ากล่าวถึงวิธีถ่ายทอดลมปราณวิสุทธิ์จักรา?” ยอดลมปราณในตำนาน มีไม่กี่คนในตงง้วนที่ฝึกสำเร็จ เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับลมปราณนี้ดังขึ้นในยุทธจักรเมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันแทบไม่มีใครพูดถึง
ชายหนุ่มแกว่งตำราในมืออย่างปลอดโปร่ง เมื่อนางไม่ต้องการพิสูจน์ลายลักษณ์อักษร มันจึงเปิดตำราช้าๆ ไม่ไยไพกับสตรีตรงหน้า “หรือที่ข้าเขียนมีอันใดผิดเพี้ยน?”
“ฮึ” สตรีแปลกหน้าหัวเราะในลำคอ “ท้ายเล่มเจ้ากล่าวถึง สุ่ยอี้เหวิน” นางพูดเน้นชื่อชัดถ้อยชัดคำ
ชายหนุ่มแย้มยิ้มพึงพอใจ มันหับหน้าสมุดลงก่อนกล่าวกับนาง “สุ่ยอี้เหวินผู้นี้เคยอยู่ในเหตุการณ์ปราบกบฏเมืองเหนือ ข้าได้ยินมาไม่ผิด”
“แต่เจ้ากลับระบุในบันทึกว่านางมียอดลมปราณวิสุทธิ์จักรา นางสามารถถ่ายทอดได้ ด้วยวิธีเสพสมกับนาง!” สตรีแปลกหน้ากล่าวคร่ำเครียด
“ลมปราณบางประเภทอาจต้องใช้วิธีพิสดารพันลึก” มันตอบไม่ยี่หระ
“แล้วเจ้าเคยรู้หรือไม่ สุ่ยอี้เหวินต้องทนลำบากมาตลอดหกปี เมื่อมีบุรุษหมายเสพสมกับนาง ไม่มาท้าสู้เพื่อเดิมพันกับร่างนาง ก็ทำทีเกี้ยวพาราสี หวังพิชิตให้นางมอบกาย สุ่ยอี้เหวินมิเคยได้หลับสบายเลยเพราะเจ้าเขียนบันทึกพิเรนทร์เช่นนี้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาพิศวงต่อน้ำคำของนาง “เฮ้ เดี๋ยวซี่ เจ้าไปรู้ความลำบากของนาง แสดงว่าเจ้ารู้จักสุ่ยอี้เหวิน นี่เจ้าหาสุ่ยอี้เหวินเจอแล้วหรือ?”
สตรีแปลกหน้าปล่อยกระบองท่อนหนึ่งห้อยลง “เพราะข้าคือสุ่ยอี้เหวิน!”