19 เม.ย. 2019 เวลา 05:26 • บันเทิง
นวนิยาย บันทึกเกสรโลหิต
แด่ประวติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน
บทนำ
ณ ซ่องคณิกาแห่งหนึ่งแถบเมืองหยางโจว
ด้านหน้าประดับโคมไฟเรื่อเรือง สีสันอาคารจัดจ้านฉูดฉาด กลิ่นดอกไม้หอมหวนชวนล่องลอย ดนตรีคลอเคล้าบรรยากาศ
เหล่าดรุณีน้อย-ใหญ่กำลังต้อนแขกขมีขมัน รายใดมีลูกค้าจับจองนางจะผลิยิ้มเบ่งบาน รายใดยังไร้ลูกค้า ใช่ยิ้มยั่วเย้าบนใบหน้าจะหุบหาย บุรุษหลายนายต่างมาหาความสำราญใจกับพวกนาง สำหรับบุรุษแล้วที่แห่งนี้ดุจสวรรค์ภพหนึ่งก็มิปาน
เสียงเชื้อเชิญหน้าร้านฟังเสนาะโสตกว่าพิณบรรเลงเป็นไหนๆ บางห้วงจังหวะยังแว่วเสียงกระเส่ายินไปทั่ว แม่เล้าเดินชดช้อยอรรถาธิบายถึงสรรพคุณนางในสังกัดถึงข้อดีหลายประการ นางคณิกาเหล่านั้นพยายามบิดเอวอ้อนแอ้น ชม้ายสายตาเชื้อเชิญ จีบมือสะบัดผ้าด้วยท่วงท่าพิศวาส ทุกกิริยาแสนยั่วยวนโปรยเสน่ห์เกินจริง พวกนางต้องรู้จักยิ้ม รู้จักเอ่ยวาจา ไปตลอดจนใช้เรือนร่างทุกสัดส่วนให้บุรุษได้สัมผัสรัดรึงตรึงใจ ทั้งหมดก็เพื่อสร้างหลักประกัน... อย่างน้อยพอได้ยาไส้ท้องไปอีกวัน และเพื่อประวิงแสงแห่งอนาคตมิให้มอดดับลง
สีหน้าผ่อนคลายพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าบุรุษแทบทุกราย บ้างกำลังออดอ้อนให้นางรินสุราให้ บ้างจับมือนางขึ้นเชยชมพลางยกยอถึงความเนียนนุ่มในสัมผัส จะอย่างไหน สุดท้ายต้องจบลงโดยการจูงกันเข้าห้อง
แม่เล้าพลอยชื่นมื่นเมื่อการค้าคึกคัก นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ประหนึ่งชีวิตมิได้พบพานเรื่องโศกเศร้า ยิ่งมีบุรุษทยอยกันมาไม่ขาดสาย เสียงนางยิ่งดัง คำสั่งการนางคณิกาสลับกับคำเชื้อเชิญพร่างพรูตามแต่นางจะนึกได้
กระทั่งจู่ๆ นางหยุดเสียงลงโดยพลัน ร่างนิ่งค้างชั่วขณะ สายตานางจับจ้องไปยังปากประตู
มีสตรีนางหนึ่งก้าวเข้ามาช้าๆ
แท้จริงแล้วซ่องคณิกามีไว้เพื่อใคร? ใช่สำหรับชายชาตรีโดยเฉพาะหรือไม่? เป็นการค้าเนื้อสดแก่บุรุษเท่านั้นหรือมิใช่?
กระนั้นเหตุใดมีสตรีแปลกหน้าปรากฏกายขึ้น?
นางเดินช้ากว่าเมื่อครู่ กวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิจารณา ขณะสายตาจดจ้องไปทั่ว เท้านางไม่หยุดเดิน นางเคลื่อนกายเข้าไปเรื่อยๆ รูปร่างของนางสมส่วนสตรี แผกเพียงการแต่งกายนั้นโทรมจนน่าอนาถา เสื้อมีรอยปะชุน ซ้ำเก่าคร่ำเหมือนไปขุดเอาจากสุสาน หน้าตาอิดโรยบ่งความทุกข์ระทม แววตาเลื่อนลอยดั่งล่องอยู่ในความฝัน การเดินช้าๆ ของนางยิ่งขับปริศนาแก่ผู้คนให้เข้มข้นขึ้นทุกฝีก้าว
ร้อนจนแม่เล้าเห็นท่าไม่ดี นางดูมีพิรุธติดตัว รีบเอ่ยปากถาม “แม่นาง ท่านมาผิดที่รึเปล่า?” เหล่านางคณิกาที่ยังไม่ถูกจับจองหันมองสตรีนางนั้นด้วยความสนใจไม่ผิดกัน
นางไม่ตอบ จ้องหน้าแม่เล้าด้วยกิริยาเฉยชา
คณิกานางหนึ่งกระถดเข้ามากระซิบกับแม่เล้า “หรือนางมาขอทำงาน?”
ิแม่เล้าฉุกคิด จ้องมองนางไม่วางตา ครู่หนึ่งจึงถามไปตามข้อสงสัยนี้ “หรือเจ้าคิดมาขอทำงาน?”
สตรีนางนั้นมองไปรอบๆ ทั้งชั้นบนชั้นล่าง แววตาลุ่มลึกยากแก่การทำนาย สุดท้ายนางหยุดสายตาไว้ยังแม่เล้า ส่ายศีรษะปฏิเสธ นางมิได้มาขอทำงาน ...แล้วนางมาทำไม?
“หรือนางมาตามสามี?” คณิกาอีกรายโพล่งขึ้น
แม่เล้าเปลี่ยนสีหน้าไปพลัน ขมวดคิ้วเคร่งเครียด ซ้ำเอ็ดด่าคณิกานางนั้น “เช้าฉุ่ย” จากนั้นหันมายิ้มสู้ใส่สตรีปริศนา “เรารับรอง ที่แห่งนี้มีไว้สำหรับบุรุษผู้ยังไม่ครองเรือน ที่นี่ไม่มีสามีเจ้า” ซึ่งความจริงที่นางกล่าวไม่มีวันเป็นไปได้ ซ่องคณิกาที่ว่าลึกลับปานใด ล้วนปรากฏผู้เป็นสามีต้องเคยเหยียบย่างเข้าไปใช้บริการ
สตรีนางนางนั้นรับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แล้วนางพูด “ข้ายังมิได้แต่งงาน”
คำตอบนางชวนให้แม่เล้าโล่งอก ประสบการณ์ภรรยามาทวงถามสามีนั้นไม่น่าจดจำ เคยมีรายหนึ่งถูกภรรยาจับตอนเป็นขันทีด้วยปังตอเล่มเดียว
“เจ้ามิได้มาตามหาสามีก็ดีไป แล้วเจ้าเข้ามาเจ้าต้องการอะไร? เจ้ามิรู้หรือนี่คือสถานที่ใด?” คณิกาข้างกายแม่เล้าช่วยเสริมคำให้
คราวนี้นางตอบในทันที “นี่คือซ่องคณิกา”
แม่เล้ารับลูกต่อ “เช่นนั้นเจ้าย่อมทราบ เรารับแต่บุรุษไม่รับสตรี นี่คือกฎของซ่องคณิกาทุกแห่ง”
“ข้าทราบ”
“ในเมื่อเจ้าทราบ เราขอให้เจ้าออกไปเสียดีๆ คงมิว่ากัน พวกเราจะได้ปรนนิบัติแขกเหรื่อต่อ สารรูปเจ้าชวนผู้คนแตกตื่นหมดแล้ว”
“ข้าทราบดีว่าพวกท่านรับปรนนิบัติแต่บุรุษ ข้าจึงมาตามหาบุรุษ”
แม่เล้าและนางคณิกาต่างตกใจในคำพูดนาง ทั้งผองมองตากันเลิกลั่ก มิทราบควรทำกระไรต่อไปดี
ขณะงุนงงอยู่นั้น สตรีปริศนาล้วงมือเข้าไปยังสายรัดเอว หยิบวัตถุออกมาถือไว้.....
กระบองสองท่อน!
ซ่องคณิกา สตรีแปลกหน้า กระบองสองท่อน
สัญญาณชั้นดีฟ้องถึงหายนะกำลังอุบัติขึ้น ไม่ว่าใครต่างสัมผัสได้ อย่าว่าแต่แม่เล้าเลย เหล่าแขกเหรื่อพร้อมใจกันหยุดความรื่นเริงตรงหน้าเพื่อชมดูเหตุการณ์ เครื่องดนตรีหยุดบรรเลงดื้อๆ เกิดความวังเวงน่าอึดอัดปกคลุมไปทั่ว
กระบองสองท่อนประดิษฐ์ขึ้นอย่างหยาบๆ ตัวกระบองเป็นด้ามไม้ยาวเกือบศอก ผิวมิได้ขัดเรียบ โซ่ร้อยกระบองเส้นเล็กไร้ความประณีต สนิมจับอยู่ประปราย แผกเพียงมือที่ถือกระบองสองท่อนเป็นมือสตรี แม้ไม่เรียวงามดูลุ่มลื่น ทว่ากำกระบองไว้มั่น ยากจะหาสิ่งใดในโลกโยกคลอนสองสิ่งนี้ให้คลายจากกันได้
เจ้าของกระบองเงยหน้ามองชั้นบน กู่ก้องขึ้นสุดเสียง “เจ้าจอหงวนเย่ยสือ ข้ารู้เจ้าอยู่ในนี้ เลิกเล่นจ้ำจี้แล้วออกมาพบหน้าข้าซะ!”
เสียงของนางสนั่นหวั่นไหว ยินไปรอบทิศ ทั้งหยุดทุกการเคลื่อนไหวลง หลากผู้คนหันมองดูนางด้วยความประหลาดใจระคนหวาดหวั่น ห้องหับต่างๆเริ่มเปิดประตูออกช้าๆ บางห้องแง้มไว้พอศีรษะพ้นออกมาเพื่อดูว่าเกิดอันใด บุรุษบางคนตกใจถึงขั้นยุติกามกิจ หอบเสื้อผ้าวิ่งเตลิดออกประตูหลัง อากาศอบอ้าวขึ้นยังกับสตรีแปลกหน้าบันดาลได้
“เจ้าต้องการพบจอหงวนเย่ยสือ?” เสียงบุรุษดังจากห้องชั้นบน การมีตัวตนของเย่ยสือ ส่อถึงเหตุการณ์อาจเลวร้ายลง
“ถ้าเจ้าใช่เย่ยสือ ใส่กางเกงแล้วออกมาซะ” สตรีแปลกหน้าดูเดือดดาลต่อเย่ยสือยิ่งนัก
ครั้นแล้วประตูห้องบานหนึ่งแง้มออกช้าๆ บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาปรากฏ ท่วงท่ากิริยาดูหยิ่งจองหอง แต่งกายแบบกงจื้อมั่งคั่ง เนื้อผ้าชั้นดีผิดคนทั่วไป หรือมันคือเย่ยสือ? มันยืนกอดอกมองลงมายังสตรีแปลกหน้า สายตาค่อยๆ เคลื่อนไปหยุดยังกระบองสองท่อนในมือนาง
“เจ้าหรือคือเย่ยสือ?” นางเงยหน้าขึ้นสบสายตา
“ข้าจะใช่เย่ยสือหรือไม่ มิใช่กงการอะไรของเจ้า เจ้ามาวางท่าใหญ่โตจนผู้คนแตกตื่น ใช่ข้าจะต้องกลัวเกรง ที่สำคัญข้ามิได้อ่อนด้อยถึงขนาดต้องกลัวสตรีถือกระบองสองท่อน” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี
“เจ้าใช่คนที่เขียนบันทึกตำราอะไรนั่น?” นางตวาดถาม
บุรุษผู้นั้นรับฟัง มือล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนหยิบของให้นางชมดู
...เป็นตำราเล่มหนึ่ง
สตรีแปลกหน้าสีหน้าแปรเปลี่ยนเคียดขึ้งเมื่อเห็นตำรา นางเงยหน้ากล่าวกับมัน “เจ้าใช่คนเขียนบันทึกจดหมายเหตุเล่มนี้?” นางถามย้ำ
มันค่อยๆ ก้าวเดินลงบันไดมาช้าๆ มือกอดอกดุจเดิม หลับตายิ้มพราย “ถ้าข้าใช่แล้วจะทำไม?”
สตรีแปลกหน้าตอบ “ถ้าเจ้าใช่ ข้าจะได้ไม่ทำร้ายผิดคน”
“เจ้าคิดว่าข้าสอบจอหงวนท่องแต่ตำรากระนั้นหรือ?” มันกล่าวแฝงเลศนัย ทำนองซ่อนงำเขี้ยวเล็บไว้ มิได้อ่อนแออย่างตาเห็น กระทั่งเดินมาหยุดเบื้องหน้านาง
“เห็นเจ้ากล่าวถึงวิธีถ่ายทอดลมปราณวิสุทธิ์จักรา?” ยอดลมปราณในตำนาน มีไม่กี่คนในตงง้วนที่ฝึกสำเร็จ เรื่องร่ำลือเกี่ยวกับลมปราณนี้ดังขึ้นในยุทธจักรเมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันแทบไม่มีใครพูดถึง
ชายหนุ่มแกว่งตำราในมืออย่างปลอดโปร่ง เมื่อนางไม่ต้องการพิสูจน์ลายลักษณ์อักษร มันจึงเปิดตำราช้าๆ ไม่ไยไพกับสตรีตรงหน้า “หรือที่ข้าเขียนมีอันใดผิดเพี้ยน?”
“ฮึ” สตรีแปลกหน้าหัวเราะในลำคอ “ท้ายเล่มเจ้ากล่าวถึง สุ่ยอี้เหวิน” นางพูดเน้นชื่อชัดถ้อยชัดคำ
ชายหนุ่มแย้มยิ้มพึงพอใจ มันหับหน้าสมุดลงก่อนกล่าวกับนาง “สุ่ยอี้เหวินผู้นี้เคยอยู่ในเหตุการณ์ปราบกบฏเมืองเหนือ ข้าได้ยินมาไม่ผิด”
“แต่เจ้ากลับระบุในบันทึกว่านางมียอดลมปราณวิสุทธิ์จักรา นางสามารถถ่ายทอดได้ ด้วยวิธีเสพสมกับนาง!” สตรีแปลกหน้ากล่าวคร่ำเครียด
“ลมปราณบางประเภทอาจต้องใช้วิธีพิสดารพันลึก” มันตอบไม่ยี่หระ
“แล้วเจ้าเคยรู้หรือไม่ สุ่ยอี้เหวินต้องทนลำบากมาตลอดหกปี เมื่อมีบุรุษหมายเสพสมกับนาง ไม่มาท้าสู้เพื่อเดิมพันกับร่างนาง ก็ทำทีเกี้ยวพาราสี หวังพิชิตให้นางมอบกาย สุ่ยอี้เหวินมิเคยได้หลับสบายเลยเพราะเจ้าเขียนบันทึกพิเรนทร์เช่นนี้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว แววตาพิศวงต่อน้ำคำของนาง “เฮ้ เดี๋ยวซี่ เจ้าไปรู้ความลำบากของนาง แสดงว่าเจ้ารู้จักสุ่ยอี้เหวิน นี่เจ้าหาสุ่ยอี้เหวินเจอแล้วหรือ?”
สตรีแปลกหน้าปล่อยกระบองท่อนหนึ่งห้อยลง “เพราะข้าคือสุ่ยอี้เหวิน!”
โฆษณา