22 เม.ย. 2019 เวลา 04:27 • ไลฟ์สไตล์
วันที่ผมลุกขึ้นมาจัดระเบียบบ้าน
1
“ถ้าตัวเราหายไป โลกใบนี้จะมีอะไรเปลี่ยนบ้างไหม”
เสียงนี้ดังลอยอยู่ในหัวของผมอยู่หลายครั้ง
เวลาอยู่บ้าน ผมจะขังตัวเองเอาไว้ในห้อง
จากเดิมที่ประตูคอยเปิดรับอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลับปิดสนิทแน่น มีเพียงแสงสลัวที่เล็ดลอดเข้ามาจากรอยช่องว่างของผ้าม่านตรงหน้าต่าง
มุมหนึ่งของห้องมีตำรากฎหมายหลายสิบเล่มและกองสำเนาเอกสารตั้งแต่เรียนปริญญาตรีซึ่งกองสูงท่วมหัว
ผมมองกองหนังสือและเอกสารบอกตัวเองทุกๆ ครั้งว่า “อย่าเพิ่งทิ้ง”
ผมเชื่อมาตลอดว่าตัวเองไม่เคยทำบ้านรก และไม่ได้มีข้าวของจำนวนมากจนน่าเกลียด ผมแค่ไม่ได้วางสิ่งของให้สวยงามเหมือนในนิตยสารแต่งบ้านก็เท่านั้น
ทำไมต้องวางให้เรียบร้อย ในเมื่อพรุ่งนี้ก็ต้องหยิบใช้อีก
ผมไม่ต่างจากคนทั่วไปที่มีเสื้อผ้าน้อยชิ้น ชอบวางชุดต่างๆ ให้ซ้อนทับกันแน่นเต็มกล่องและแขวนเบียดกันไว้ในตู้
ทุกครั้งที่แต่งตัว ผมต้องรื้อหากองผ้าเหล่านั้นอย่างหัวเสีย เพื่อหยิบเสื้อที่ซ่อนอยู่ล่างสุดเสมอ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมง่วงนอนตลอดเวลาและหลับระหว่างเวลาทำงาน ตอนขับรถ ผมมีอาการวูบแบบคนหลับใน ผมพยายามแก้ปัญหาด้วยการนอนให้เร็วขึ้น แต่อาการก็ยังเหมือนเดิม
ผมคิดว่าตัวเองทำงานหนักมากเกินไป
ในวันหยุดผมรีบนอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่ตื่นมาตอนเที่ยงของอีกวัน ลงมาอาบน้ำกินข้าว และเผลอหลับตั้งแต่บ่ายโมง ตื่นอีกครั้งคือเวลาหกโมงเย็น
พฤติกรรมการนอนแปลกๆ ที่รบกวนวงจรการใช้ชีวิตประจำวันมากๆ
ผมไม่ทันสังเกตเลยว่าพฤติกรรมของผมค่อยๆ เปลี่ยนไป
ขี้หงุดหงิด โมโหง่าย จุดเดือดต่ำ พูดจาขึ้นเสียง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเริ่มพูดจาโกหก ไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกตัวเองด้อยค่า และไม่มีความภาคภูมิใจ
1
ผมเริ่มมีปัญหาทะเลาะวิวาทกับคนในบ้าน มีปัญหาเรื่องความรัก โลเล สับสน ไม่กล้าตัดสินใจ อยากลาออกจากที่ทำงาน เพราะรู้สึกว่าหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานมองว่าเราเป็นพวกคนขี้โรค อ่อนแอ
2
ใจเสาะ ขี้แพ้ และไม่มีคนเข้าใจเราจริงๆ
พอสุขภาพกายแย่ สุขภาพใจก็ทรุด ความสัมพันธ์ก็รวนตาม
1
คนรอบข้างชวนออกกำลังกาย เล่นกีฬา เที่ยวหรือไปทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ “ปล่อยวาง”
ผมลองทำตามคำแนะนำของคนอื่นๆ ลองไปไหว้พระสวดมนต์เพื่อหาความสงบ นั่งสมาธิ
ฟังธรรมะทุกเช้า ออกเดินทางท่องเที่ยว ลองปรึกษานักจิตวิทยา
รวมถึงพบหมอเพื่อแก้ไขปัญหาการนอนหลับ แต่กลับไม่พบวิธีการสอนให้ตัวผมปล่อยวางอย่างที่คนอื่นพูดกันง่ายๆ ได้เลย
……………………..
ช่วงระหว่างรอผลตรวจการนอนหลับ ผมมานั่งทบทวนหาวิธีเอาตัวรอดเพื่อช่วยบรรเทาความว้าวุ่นใจจากปัญหาเหล่านี้ ให้จิตใจรู้สึกดีบ้างก็ยังดี
ผมเริ่มอ่านหนังสือการจัดระเบียบบ้านเรื่อง “ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว” ของคนโด มาริเอะ นักจัดระเบียบบ้านระดับโลกชาวญี่ปุ่น
ในหนังสือไม่ได้บอกเล่าเพียงวิธีการทำให้บ้านหายรก แต่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติของคนเราเป็นส่วนใหญ่ ตอนแรกที่อ่านจบ ผมไม่อยากจะเชื่อมากนักว่าแค่จัดบ้านให้โล่งจะทำให้ชีวิตคนเราดีขึ้นได้
แต่เวลาสายตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นกองเสื้อผ้าพร้อมกองเอกสารและหนังสือที่วางรก ก็รู้สึกถึงความว้าวุ่นใจมากๆ
หลายเดือนที่ผ่านมา ผมพยายามเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวด้วยการหนีปัญหา แล้วหวังว่าตัวเองจะรู้สึกดีขึ้น แต่สุดท้าย ปัญหาก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว ไม่ว่าผมจะทำงาน ไปเที่ยว อาบน้ำ กินข้าว หรือเข้านอน
ยิ่งอยากหนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความทุกข์ใจอยู่ดี
พอลองกลับมานั่งคิดอีกครั้ง การลองเก็บและทิ้งข้าวของรอบตัว ทำให้ห้องว่างโล่ง น่าจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น ห้องสะอาดเรียบร้อยคงทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง สบายตาสบายใจมากกว่าเดิม
ผมเริ่มต้นหยิบเสื้อผ้าทั้งหมดมาเทกองไว้ คัดสรร แยก ทิ้ง เก็บ ส่งต่อ บริจาค ฝึกหัดพับผ้าด้วยตนเอง รวบรวมหนังสือการ์ตูน ตำราเรียน หนังสือตั้งแต่สมัยประถม มากองเพื่อคัดแยก
การคัดสรรเสื้อผ้าทำได้ง่ายกว่าที่คิด เพราะผมไม่ได้มีเสื้อผ้ามากนัก แต่สิ่งที่สร้างความทรมานใจมากๆ กลับเป็นการคัดแยก
หนังสือ ต้องบอกลาหนังสือหลายเล่มที่เก็บไว้มานานหลายสิบปีและทิ้งเอกสารจำนวนมากที่เขียนด้วยลายมือของตัวเอง
สำหรับผม หนังสือเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ที่รู้จักคบหากันมาตั้งแต่เด็ก บางเล่มผมซื้อมาอ่านหลายรอบ ด้วยเงินน้อยนิด
บางเล่มออกไปตามหาในร้านหนังสือหายาก และบางเล่มเป็นตำราที่ใช้เวลาขลุกอยู่ทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้สอบผ่าน
1
ผมเติบโตมาพร้อมๆ กับหนังสือหลากหลายประเภท หนังสือจึงเป็นที่เก็บความทรงจำของผมในแต่ละช่วงเอาไว้ แต่เมื่อต้องมาตัดใจทิ้งหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งไป
เป็นโจทย์ยากและท้าทาย
2
สำหรับผม
หนังสือหลายเล่มมีคุณค่ามากๆ แต่ปัจจุบันผมไม่เคยได้แตะต้องหรือหยิบอ่านมานานหลายปี
หนังสือของคนโด มาริเอะบอกว่า หนังสือที่ไม่เคยได้หยิบอ่านเลย อาจเป็นเพราะมันได้ทำหน้าที่ครบถ้วนแล้ว ผมหยิบหนังสือขึ้นมา ถามตัวเองช้าๆ
1
ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้วเพราะแต่ละเล่มได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง?
ผมลูบหนังสือเล่มที่ไม่เคยได้อ่านมานานมากแล้วเพื่อกล่าวอำลาครั้งสุดท้าย ค่อยๆ วางลงบนกองบริจาค หัวใจของผมเหมือนจะสลาย
1
แต่วินาทีที่มือค่อยๆ ปล่อยหนังสือใส่ลัง หัวใจของผมกลับสัมผัสถึงสายลมที่แผ่วเบา จิตใจที่อึดอัดคับข้องมานาน กลับรู้สึกโล่งอย่างแปลกประหลาด
จู่ๆ ก็มีความคิด“ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาในหัวว่า “เฮ้ย นี่ไง สิ่งนี้แหละคือการปล่อยวางที่เฝ้าถามหา”
เหมือนเส้นผมบังภูเขา ผมเพิ่งเข้าใจว่าการปล่อยวางเป็นเรื่องของความ “ความรู้สึก” ไม่ใช่ “ความคิด” ที่ต้องใช้ตรรกะ เหตุผลหรือสมอง
1
……………………………………………..
หลังจากการจัดระเบียบบ้านครั้งใหญ่ ผมทิ้งกองเสื้อผ้าและหนังสือหลายสิบเล่ม
ผมมีเวลามานั่งคิดทบทวนและสังเกตตัวเองมากขึ้น มองปัญหาและตัดสินใจทิ้งเรื่องที่ไม่จำเป็นไปทีละเรื่อง
หลายสัปดาห์ถัดมา หมอแจ้งผลตรวจการนอนหลับให้ฟังว่า ผมมีปัญหาการหยุดหายใจขณะหลับทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่พอจึงส่งผลต่ออารมณ์ซึ่งต้องใช้เครื่องปรับแรงดันช่วยหายใจขณะนอนหลับ
พอรู้สาเหตุและหาวิธีการแก้ไขได้ สภาพร่างกายและจิตใจก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
การจัดระเบียบบ้านช่วยเยียวยาความรู้สึกและประคองจิตใจให้ผ่านพ้นช่วงวันเวลาแห่งความสับสนมาได้
สิ่งสำคัญคือทำให้ผมหัดชื่นชมชีวิตพร้อมกับสิ่งของรอบตัวมากขึ้น
หลังจากวันนั้น ผมฝึกจัดระเบียบบ้านอย่างจริงจัง ค่อยๆ เรียนรู้ ค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทดลองทำด้วยตนเอง ถามหาผู้รู้ ลองไปให้คำแนะนำแก่ผู้คนที่สนใจและพบเจอผู้คนอีกมากมายที่จมทุกข์อยู่กับข้าวของในบ้าน
สำหรับผม การจัดระเบียบบ้านไม่ใช่เพียงแค่การย้ายข้าวของที่รก หรือการทิ้งสิ่งของเพื่อทำความสะอาด แต่คือ หนทางช่วยสำรวจชีวิต ทำให้มองเห็นปัญหาและศักยภาพของตัวเอง
“การทิ้ง” คือ "การสร้างตัวตนใหม่ ในคนๆ เดิม" ให้กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่หวาดกลัวอนาคต และกล้าอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข
………………………………………
ติดตามสาระดีๆได้ที่
เพจ proud จัดระเบียบเปลี่ยนชีวิต
1
โฆษณา