30 เม.ย. 2019 เวลา 15:53 • กีฬา
ดีลที่คุ้มสุดๆของวงการฟุตบอลในรอบทศวรรษนี้ คงไม่มีอะไรเกิน การ "แลกตัว" ของอิบราฮิโมวิช กับ ซามูเอล เอโต้ ที่ฝ่ายนึงกำไรเละเทะ อีกฝ่ายนึงขาดทุนย่อยยับ วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้ฟัง
การซื้อขายนักฟุตบอลของทีมใหญ่ในยุคปัจจุบัน ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ทีมใหญ่ กระชากนักเตะจากทีมเล็กกว่า แบบนี้ ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แค่จ่ายตัวเงินในราคาที่เหมาะสม ให้ทีมเหล่านั้นได้กำไรสมน้ำสมเนื้อ ส่วนใหญ่ก็สามารถซื้อได้แล้ว
นั่นเพราะทีมเล็กรู้ดีว่า ไม่ช้าก็เร็ว สตาร์ของตัวเอง ต้องย้ายไปทีมที่ใหญ่ขึ้นแน่ๆ ดังนั้น ถ้าเห็นว่าได้กำไรมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยอมปล่อยทั้งนั้น
แต่ปัญหาคือ ถ้าเป็นนักเตะจากทีมเล็ก ก็จะโดนคู่แข่งหลายทีมรุมแย่งกันอีก นักเตะมีพรสวรรค์ใครๆก็อยากได้ แล้วคุณจะทำอย่างไร ให้สโมสรของตัวเอง โดดเด่นกว่าทีมอื่นๆที่ยื่นข้อเสนอเข้ามา
แต่ดีลที่ยากไปกว่านั้น คือการเจรจาระหว่างทีมใหญ่ด้วยกัน
สำหรับทีมใหญ่น่ะ เงินหาไม่ยาก สิ่งสำคัญกว่าคือผู้เล่นคุณภาพ ถ้ามีนักเตะเกรดเออยู่ในทีมต้องเหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้ได้ เพราะต่อให้มีเงินแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะซื้อนักเตะระดับเดียวกันมาครองได้
ตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูลตอนขายหลุยส์ ซัวเรซ ให้บาร์เซโลน่า ในปี 2014 ตอนนั้นได้เงินมาประมาณ 65 ล้านปอนด์ ถามว่าเยอะไหม ก็ถือว่าเยอะ (ในเวลานั้น) แต่ คำถามคือ เงิน 65 ล้านก้อนนั้น ลิเวอร์พูลเอาไปซื้อใครได้ล่ะ?
มาริโอ บาโลเตลลี่ - 16 ล้าน
ริคกี้ แลมเบิร์ต - 4 ล้าน
ดิว็อค โอริกี้ - 10 ล้าน
ลาซาร์ มาร์โควิช - 20 ล้าน
อดัม ลัลลาน่า - 25 ล้าน
5 คนนี้มัดรวมกัน ราคา 75 ล้านปอนด์ แพงกว่าที่ได้เงินจากดีลซัวเรซเสียอีก แล้วถามว่า คุ้มมั้ย เมื่อเทียบกัน? เราก็คงตอบได้ชัดๆว่า ไม่คุ้มเลยสักนิด
1
นักเตะเกรดบี 5 คน ยังเทียบไม่ได้กับนักเตะ เกรดเอ แค่คนเดียว
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นทีมใหญ่ เรื่องเงินน่ะเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือนักเตะคุณภาพต่างหาก ถึงจะขายผู้เล่นได้แพง แต่ไม่มีคนแทนที่ได้มันก็เท่านั้น มันไร้ประโยชน์
เราจึงเห็นว่า การซื้อขายนักเตะระหว่างทีมใหญ่ด้วยกัน จึงเต็มไปด้วยดราม่าเสมอ
เคสเนย์มาร์ ย้ายไปเปแอสเช กว่าดีลจะจบก็ลากยาวเป็นเดือน หรือเคสป็อกบา ย้ายมาแมนฯยูไนเต็ด กว่าจะย้ายได้ ก็ต้องปั่นราคาจนอยู่ในระดับสถิติโลก
สำหรับดีล การซื้อขายของทีมใหญ่ ที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่ง คือการที่สโมสรบาร์เซโลน่า ซื้อซลาตัน อิบราฮิโมวิช สตาร์ของอินเตอร์ มิลาน
ในปี 2009 เรอัล มาดริด คู่ปรับตลอดกาลของบาร์ซ่า ซื้อ กาก้า ในราคาสถิติโลก 60 ล้านปอนด์จากเอซี มิลาน จากนั้นไม่กี่วัน ก็ทำลายสถิติโลกอีกรอบ ด้วยการซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในราคา 80 ล้านปอนด์จากแมนฯยูไนเต็ด
เท่ากับว่า มาดริด ซื้อนักเตะบัลลงดอร์ 2 คนไปสู่ทีม ยิ่งรวมกับสตาร์ที่มีอยู่แล้ว อย่างราอูล กอนซาเลส หรือ เซร์คิโอ รามอส ยิ่งทำให้ มาดริด มีสิทธิเป็นทีมป็อปปูลาร์อันดับ 1 ของโลกได้อย่างไม่ยากเลย
บาร์เซโลน่า เพื่อไม่ให้แบรนด์ของตัวเองต้องตามหลัง ก็จำเป็นต้องซื้อสตาร์มายันเอาไว้เช่นกัน ซึ่งตัวผู้เล่นที่มีในตลาดทั้งหมด คนที่มีความเป็นสตาร์ พอสูสีกับโรนัลโด้ และกาก้าอยู่ ก็มีเพียงแค่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จากอินเตอร์ มิลาน
ซลาตัน เป็นไอค่อนเบอร์ 1 ของกัลโช่ เซเรียอา เขาคือผู้เล่นที่เก่งกาจ เทคนิคดี และมีคาแรคเตอร์โดดเด่น เรียกว่าถ้าบาร์ซ่าได้ ซลาตันมาครอง ก็จะพอแย่งพื้นที่สื่อ มาจากมาดริดได้บ้างล่ะ
อย่างไรก็ตามปัญหาที่บาร์ซ่าต้องเจอ คือ อินเตอร์ ไม่อยากขาย
สาเหตุเพราะในปี 2009 อินเตอร์ คือทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของอิตาลี พวกเขาคือแชมป์เซเรียอา ติดกัน 3 สมัย
ณ เวลานั้น มัสซิโม่ โมรัตติ ประธานสโมสรอินเตอร์ มีเป้าหมายหลักคือ พาทีมไปถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้ ดังนั้นจึงคัดสรรทั้งโค้ชเกรดเอ (มูรินโญ่) และนักเตะระดับคุณภาพมาอยู่เต็มทีมไปหมด คือแข็งแกร่งตั้งแต่หลัง ยันหน้า
เมื่ออินเตอร์ อยากจะได้แชมป์ยุโรปแบบนั้น มันย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ที่พวกเขาจะปล่อยกองหน้าเบอร์ 1 ของทีมอย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิช ออกจากทีมไป คือถ้าขายทีมก็อ่อนแอลงสิ ใครจะไปยอมล่ะ
ซลาตันเป็นดาวซัลโวของกัลโช่ ในซีซั่นก่อนด้วย ยิ่งในสถานการณ์ที่ทีมปล่อยอาเดรียโน่ , เอร์นัน เครสโป และ ฮูลิโอ ครูซ ออกไปแล้ว ถ้าอิบราไม่อยู่แล้วใครจะยิงล่ะ?
ตัวอิบราน่ะอยากไปบาร์ซ่าใจจะขาดอยู่แล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเคยคุยกับโมรัตติเลยว่า "ผมมีความสุขมากกับอินเตอร์ มิลาน และผมก็ไม่สนใจเลย ถ้าแมนฯยูไนเต็ด หรืออาร์เซน่อลติดต่อเข้ามา แต่ถ้าบาร์ซ่า นั้นสนใจผมล่ะก็ อย่างน้อยคุณช่วยพิจารณาโอกาสการขายผมได้หรือไม่" ซึ่ง โมรัตติตอบตกลงในวันนั้น
แต่โมรัตตินั้นเป็นนักธุรกิจ เขายอมคุยกับบาร์ซ่าแน่ แต่จะขายให้หรือไม่ นั่นอีกเรื่อง
มีข่าวว่าตอนแรกบาร์ซ่ายื่นข้อเสนอเงินไป ราว 40 ล้านยูโร เพื่อขอซื้ออิบรา แต่แน่นอน ว่าอินเตอร์ปัดตกทิ้งอย่างรวดเร็ว
อินเตอร์มองว่า ขนาดโรนัลโด้ยังขายได้ถึง 94 ล้านยูโร ดังนั้นอิบราฮิโมวิช ก็ไม่ควรราคาหนีกันมาก ดังนั้นพวกเขาตั้งราคาขายไว้ที่ 80-90 ล้านยูโร หรือไม่ก็ต้องเป็นข้อเสนอที่สมน้ำสมเนื้อจนปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรบาร์ซ่า ต้องการอิบราฮิโมวิชมากๆ เขายอมแพ้มาดริด ในตลาดนักเตะไม่ได้เด็ดขาด แถมนักเตะเองก็มีใจขนาดนี้ มันต้องเอาตัวมาให้ได้สักทางสิ
ในเวลานั้น ซามูเอล เอโต้ กองหน้าคนสำคัญของบาร์ซ่า มีความขัดแย้งส่วนตัวกับเป๊ป กวาร์ดิโอล่า
เขาเหลือสัญญาอีก 1 ปี และโจน ลาปอร์ต้า รู้สึกกลัวว่า ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เอโต้ ไม่ยอมต่อแน่ๆ เพราะเขาคงไม่อยากจะเล่นในทีมที่มีเป๊ป เป็นเฮดโค้ช
ดังนั้น ถ้ารีบปล่อยตอนนี้ ยังพอขายได้บ้าง ดีกว่าเสียไปฟรีๆ
ลาปอร์ต้า จึงตัดสินใจยื่นไม้เด็ดคือ เอาซามูเอล เอโต้ บวกเงิน 35 ล้านยูโร ให้อินเตอร์ พิจารณา
สำหรับอินเตอร์ นี่เป็นดีลที่ใช่เลย ตอบโจทย์ทุกอย่าง
อินเตอร์ จะได้ทั้งนักเตะระดับท็อป แถมได้เงินอีกตั้ง 35 ล้าน เอาไปซื้อใครได้อีกเพียบ ถ้าคิดเร็วๆ ก็คุ้มทีเดียว
ถึงตรงนี้ สำหรับมัสซิโม โมรัตติ คือเกมวัดใจ เขาจะตอบรับไปเลยดีไหม เพราะข้อเสนอดีๆแบบนี้ อาจมีมาแค่ครั้งเดียว ถ้าเขาปฏิเสธไปแล้ว อาจไม่ได้ดีลดีๆแบบนี้อีกแล้ว
นักเตะอย่างเอโต้ ถ้าบาร์ซ่าคิดจะขายจริง ก็มีทีมอยากซื้อเพียบอยู่แล้ว นี่คือกองหน้าระดับท็อปไฟว์ของโลกเลยนะ
หรืออีกทางคือ จะเสี่ยงปฏิเสธไปเลย เพื่อยืนยันหนักแน่นว่า ซลาตัน มีคุณค่า และราคาที่มากกว่านั้น
คือสิ่งที่โมรัตติต้องคิดคำนวณ คือบาร์ซ่า อยากได้ "อิบรา" แค่ไหน มากขนาดที่จะยอมทุ่มสุดตัวด้วยข้อเสนอมากกว่านี้อีกหรือเปล่า
และในที่สุด โมรัตติ ปฏิเสธบาร์ซ่า เป็นครั้งที่ 2
เกมวัดใจระหว่างลาปอร์ต้า กับ โมรัตติ สุดท้าย โมรัตติเป็นฝ่ายชนะ เพราะบาร์เซโลน่าต้องการอิบราฮิโมวิชมากจริงๆ
พวกเขากลับมาอีกครั้งด้วยข้อเสนอหนที่ 3 คือ อิบราฮิโมวิช แลกกับ เงิน 49.5 ล้านยูโร + ซามูเอล เอโต้ + อเล็กซานเดอร์ เคล็บ (ให้ยืมตัว 1 ปี)
เงินก้อนโต 45 ล้าน บวกกับสองนักเตะคุณภาพ เป็นข้อเสนอที่อินเตอร์ ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว ในที่สุดโมรัตติตอบตกลง
แม้ในภายหลังตัวเคล็บ จะปฏิเสธไม่ขอมาอินเตอร์ มิลาน เพราะรู้ว่าคงจะปรับตัวไม่ได้ แต่อินเตอร์ ก็โอเค ขอแค่เงิน 49.5 ล้าน กับ เอโต้ ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
เงิน 49.5 ล้านยูโรที่ได้จากค่าตัวซลาตัน โมรัตติเอาไปเล่นแร่แปรธาตุซื้อนักเตะเข้ามาเพียบในซัมเมอร์นั้น
ดีเอโก้ มิลิโต้ - 13.5 ล้านยูโร
ติอาโก้ ม็อตต้า - 4.2 ล้านยูโร
เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ - 18 ล้านยูโร
ลูซิโอ - 7.85 ล้านยูโร
รวมกัน 4 ตัว ใช้เงินไปประมาณ 43.5 ล้านยูโร ยังไม่ถึงตัวเลข 49.5 ล้าน ที่ได้จากการขายอิบราเลยด้วยซ้ำ
เสียนักเตะเกรด A หนึ่งคน แต่ได้คืนมาเป็นเกรด A 4 คน แบบนี้ไม่เรียกว่าคุ้ม ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร
จริงๆแล้ว ถ้าสุดท้าย ซลาตัน ไปบาร์เซโลน่าแล้วประสบความสำเร็จมากๆ ดีลนี้บาร์ซ่าคงไม่เจ็บใจเท่าไหร่
แต่ปัญหาคือ ซลาตันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่บาร์เซโลน่า เขาไปไม่ถึงแชมเปี้ยนส์ลีกที่ตัวเองฝันไว้ ก่อนต้องระเห็จไปเอซี มิลานในอีกสองปีต่อมา
ขณะที่อินเตอร์ พอเสียซลาตันไป ในปีนั้น ด้วยฟอร์มของเอโต้ ทีมก้าวไปถึงแชมป์ยุโรปได้อย่างยิ่งใหญ่
1
มันเลยกลายเป็นโจ๊กที่ทุกคนพูดถึงจนวันนี้ ว่าบาร์ซ่าเสียค่าโง่ แลกตัวที่เก่งพอๆกันกับทีมอื่น แถมยังจ่ายเงินให้เขาอีกเกือบ 50 ล้าน
ดูๆแล้ว ไม่แปลกถ้าจะบอกว่า มันเป็นดีลที่ขาดทุนที่สุดในประวัติศาสตร์
ตรงกันข้ามกับอินเตอร์ นี่เป็นการซื้อขายที่เหนือชั้น และเป็นผู้ชนะอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขารอข้อเสนอที่ดีที่สุด แล้วค่อยตอบตกลง จนได้รับทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ
จริงๆเรื่องการซื้อขาย มันก็เดาไม่ได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทีมแมวมอง และสตาฟฟ์ของแต่ละสโมสรก็ต้องหักลบเหตุผลอย่างดีที่สุดแล้วว่า คนที่จะซื้อ มันเป็นตัวที่ใช่จริงๆ
แต่ท้ายที่สุดมันจะเป็นคำตอบที่ถูกหรือไม่ บางทีหาข้อมูลมาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
บางครั้ง ชะตาฟ้าลิขิต ชีวิตก็ขึ้นอยู่กับดวงนะ
#Ibrahimovic #Etoo
โฆษณา