8 พ.ค. 2019 เวลา 09:32 • ไลฟ์สไตล์
ภาพคนจีนในความคิดของคุณเป็นอย่างไร ขอให้ลืมไปก่อน
The Chinese เป็นคอลัมน์ใหม่ ที่ทีมงานตั้งใจนั่งจับเข่าขอคุยกับคนจีนหลากแบบหลายวัย เพื่อทยอยถ่ายทอดเรื่องราวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมประเทศใหญ่ และเพื่อสะท้อนภาพคนจีนให้ชัดขึ้น มากกว่าภาพความทรงจำที่เราเคยมี
...
1
[The Chinese] เด็กแนวในเมืองซัวเถา
ผู้หญิงซัวเถาส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากจากบ้านเกิด
แต่งงานกับคนซัวเถาด้วยกันหลังเรียนจบ สร้างครอบครัว และทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด คือเส้นทางสู่เป้าหมายของชีวิต
คนส่วนมากยังพูดภาษาจีนกลางไม่ได้เพราะใช้ภาษาแต้จิ๋วเป็นหลัก แม้แต่คนในวัยเดียวกันที่เกิดหลังปี 1990
กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประเทศอื่นมองว่า เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี และเข้าถึงสื่อทางอินเตอร์เน็ตมากมาย
แต่ที่ผ่านมา โลกภายนอกก็ยังไม่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนซัวเถาได้
“แต่ฉันอยากเดินในเส้นทางที่แตกต่าง”
ซึ่งดูเป็นความคิดที่แปลกแยกจากกลุ่มผู้หญิงในซัวเถา
อาจเป็นเพราะตอนเด็กๆ ฉันมักจมอยู่กับกองหนังสือที่เล่าถึงความสำเร็จของบริษัทอย่าง XiaoMi (เสียวหมี่), บริษัท JD และบริษัทที่สร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นในตลาดจีน หรือหนังสือประวัติบุคคลสำคัญระดับโลก
ฉันจึงเชื่อว่า โลกนี้กว้างใหญ่และจะต้องออกมาดูให้ได้
ท่ามกลางเสียงเกลี้ยกล่อมและเสียงคัดค้านจากญาติและคนในหมู่บ้าน
สุดท้าย ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท ฉันก็ได้เข้ามาเรียนหลักสูตรปริญญาโทในมหาวิทยาลัยปักกัง ที่เมืองหลวงของประเทศ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่โลกใบใหม่ที่กว้างกว่าเดิม
ย้อนวันเวลาไปถึงชีวิตที่ซัวเถา เราอยู่ด้วยกันในสังคมเล็กๆ เดินไปเรียนหรือนั่งรถไปกับเพื่อนๆ เวลาไปทางเดียวกัน
ช่างต่างกับการเดินทางวันแรกในเมืองปักกิ่ง ฉันกลัวการขึ้นรถเมล์มาก เพราะไม่เคยนั่งมาก่อน
ตื่นเต้นจนต้องขอให้คนเตือนเวลาถึงป้ายที่จะต้องลง
แต่หลังจากที่กล้าขึ้นรถเมล์ในวันนั้น ก็ทำให้ฉันกล้าเดินทางไปยังที่ที่ไกลขึ้น และไกลมากขึ้น
ฉันเดินทางจากปักกิ่ง ไปทำค่ายที่เทียนจิน หางโจว ซีอานและเมืองอื่นๆ
รวมทั้งเข้าโปรแกรมไปทำ Workshop ในต่างประเทศ อย่าง อิสราเอล
ในวันหยุดวันแรงงานที่ผ่านมา ฉันเดินทางจากปักกิ่งกลับบ้านที่ซัวเถา พร้อมเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นว่า ฉันได้งานใหม่ในปักกิ่ง ทำงานในบริษัทด้านรถไร้คนขับ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศจีน
แต่ไม่มีใครสนใจฟังและตื่นเต้นไปกับฉัน
บทสนทนาที่แม่และญาติอยากเล่าให้ฉันฟังก็คือ คนในหมู่บ้านคนไหนที่แต่งงานแล้ว มีลูกกี่คน หรือในสวนของคนข้างบ้านปลูกผักอะไรเพิ่มบ้าง
 
ถึงแม้ระยะทางระหว่างซัวเถาและปักกิ่งจะห่างกันเพียง 2,000 กิโลเมตร แต่ความคิดที่แตกต่างกัน ทำให้ฉันรู้สึกว่า...เราอยู่กันคนละโลก...
อาจเป็นเพราะวิถีคนเมืองทำให้สายตาของฉันจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ รับข่าวสารรอบด้าน มากกว่าที่จะสนใจคนรอบข้าง
แต่ผู้หญิงที่ซัวเถาอยู่ด้วยกันในสังคมเล็กๆที่อบอุ่น จึงมักให้ความใส่ใจ และดูแลกันอย่างใกล้ชิด
ในเช้าของวันที่ฉันต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อกลับมาทำงานที่ปักกิ่ง
แม่และญาติๆ ตื่นตีสี่มาเคี่ยวข้าวต้ม เตรียมผักดองและทำกับข้าวให้กิน ตามกิจวัตรที่แม่บ้านซัวเถาจะต้องเตรียมอาหารเช้าเพื่อส่งคนในครอบครัวก่อนออกเดินทาง
ตามประสาที่ฉันได้ใช้ชีวิตแบบคนเมือง ก็อดคิดไม่ได้ว่า มื้อเช้าแบบนี้หาซื้อขนมปังกินง่ายๆ ก็พอ ไม่ต้องลำบากกันขนาดนี้
แต่ความคิดของฉันก็เปลี่ยน ณ นาทีที่ตักข้าวต้มเข้าปาก
ข้าวต้มที่เคี่ยวจนเข้มข้นแบบนี้ คงมีแต่แม่เท่านั้นที่ทำได้ และอร่อยกว่าร้านไหนๆ ในปักกิ่ง
ฉันฉุกคิดว่า วิถีคนเมืองทำให้ฉันชินกับชีวิตง่ายๆ แต่แห้งแล้งมายาวนานขนาดนี้เลยหรือนี่...
เคยมีคนถามว่า จะยอมให้เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนสังคมซัวเถาหรือไม่?
ใช่ ฉันอยากให้เทคโนโลยีเข้ามาทำให้คนซัวเถารู้ว่า โลกนั้นกว้างใหญ่และมีอะไรที่ต้องเรียนรู้มากมาย
แต่ฉันคงรับไม่ได้ หากเทคโนโลยีเข้ามาแล้วกลายเป็นว่า แม่จะซื้อขนมปังเตรียมไว้ให้ฉันกินตอนเช้าแทนข้าวต้ม สุดยอดอาหารเช้าที่เป็นฝีมือของแม่
โฆษณา