10 พ.ค. 2019 เวลา 06:41 • ความคิดเห็น
อาป๊าในความทรงจำ
ฉันเกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535 เวลาทุ่มกว่าๆ เป็นลูกสาวคนที่ 4 ของที่บ้าน คืนนั้นอาม๊าต้องจ้างรถสามล้อไปคลอดฉันที่โรงพยาบาลเอง เพราะอาป๊าไปชลบุรีเพื่อตะลอนซื้อรถมือมอเตอร์ไซค์มือสองมาขาย โดยมีเงินติดตัวไปไม่ถึงสองหมื่น ไปโดยที่อาป๊าไม่เคยไปชลบุรีมาก่อนในชีวิต และพูดภาษาไทยได้ไม่กี่คำ แม้แต่ชื่ออำเภอที่จะไปยังพูดไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ แต่อาป๊าก็กล้าที่จะเดินทางออกไปโดยไม่กลัวอะไร เพราะต้องดูแลอีกหกชีวิตที่รออยู่ที่บ้าน อาป๊าเคยเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า “เงินไม่ถึงสองหมื่นอั้วได้รถมาเป็นสิบคัน”
ก่อนที่จะมาขายรถมือสอง อาป๊าทำงานมาแล้วสารพัดตั้งแต่ลานมันยันดองมะม่วง ขายของตลาดนัด แต่ยุคที่ฉันเกิดเรียกว่าเป็น “ยุคทอง” เลยก็ว่าได้ อาป๊ายังเคยแซวฉันบ่อยๆ ว่ารู้จักเลือกเวลาเกิดเพราะตอนที่ฉันเกิด ที่บ้านมีทีวีแล้วนะ ดูการ์ตูนได้ด้วย
อาป๊าไม่เคยสอนลูกๆ เป็นคำพูด อาป๊าไม่เคยบอกว่า “ลื่อต้องเป็นเด็กดี” แต่การกระทำของท่านเป็นสิ่งที่สอนฉันและพี่ๆ มาโดยตลอด
อาป๊าเป็นคนขยัน อดทน และเข้มแข็งมาก ภาพที่ฉันคุ้นตาตั้งแต่จำความได้คือ อาป๊าใส่แต่เสื้อผ้าเดิมๆ สลับกันไปไม่กี่ชุด ขนของขึ้นรถเข็นสีเขียวไปตลาดนัดตั้งแต่เช้าตรู่ ขายของทั้งๆ ที่พูดไม่ชัด รู้ภาษาไทยไม่กี่คำ ถึงแม้ในตอนนั้นครอบครัวเราจะยากจนมาก คำว่ายากจนของเราคือไม่มีกิน แต่อาป๊าก็สู้ไม่ถอย ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูทุกคนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ฉันและพี่ๆ จะไม่มีเคยมีดินสอสีครบทุกสีใส่กล่องสวยๆ อย่างเพื่อนๆ แทบไม่มีโอกาสได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่ชุดนักเรียนที่ตกทอดกันมาสองสามรุ่นปักชื่อใหม่ซ้ำๆ จนขาดเป็นรูต้องหาผ้ามาปะ ใส่รองเท้าแตะหูคีบไปเรียนจนถูกครูดุ แน่นอนว่าตอนเด็กๆ ฉันอาจจะเคยนึกน้อยใจในโชคชะตาบ้าง แต่พอนึกย้อนกลับไปฉันก็รู้สึกภูมิใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เองมันหล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันอย่างเช่นทุกวันนี้
เมื่อฉันอายุได้สามขวบ ครอบครัวของเราก็พอลืมตาอ้าปากได้จากฝีมือการขายรถมอเตอร์ไซค์มือสองของอาป๊า แต่เหมือนโชคชะตาก็ส่งบททดสอบใหม่มาให้เราอีก เมื่อบ้านที่เราอยู่ถูกไฟไหม้ เพลิงลุกลามจากบ้านที่อยู่ติดกัน บ่ายวันนั้นฉันพอจำความได้ ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ฉันกับพี่สาวรีบเก็บของเล่นใส่กล่องเมื่ออาม่าบอกให้รีบหนีออกจากบ้าน อาป๊าวิ่งเข้าไปเข็นรถมอเตอร์ไซค์ออกมาจากกองเพลิงได้ไม่กี่คัน ท่ามกลางเพลิงไฟที่ลุกไหม้ซึ่งมีเพียงรถดับเพลิงหนึ่งคันที่คอยสกัดเปลวเพลิงเท่านั้น หลังจากวันนั้นครอบครัวเราก็ประสบกับความลำบากอีกครั้ง
ถือว่าเรายังพอโชคดีอยู่บ้างที่อาป๊าเช่าบ้านไว้อีกหลังหนึ่ง คืนนั้นครอบครัวเราทั้ง 7 ชีวิตจึงมีที่ให้นอน ฉันเคยถามอาป๊าว่าถ้าตอนนั้นเราไม่มีบ้านเช่าจะทำยังไง อาป๊าบอกว่าคงต้องพาไปอยู่วัดก่อน สำหรับฉันอาป๊าเป็นนักแก้ไขปัญหา อาป๊าไม่เคยเสียเวลาตัดพ้อโชคชะตาหรือจมอยู่กับความทุกข์นานๆ เพราะท่านจะลุกขึ้นมาสู้จนกว่าจะผ่านโชคชะตาแย่ๆ นั้นไป
อาป๊ากับอาม๊าเริ่มทำงานหนักอีกครั้งหลังเรารอดชีวิตจากกองเพลิง อาม๊ากลับไปขายของที่ตลาดนัดขายพวกเมล็ดผัก บัวรดน้ำอุปกรณ์การเกษตรต่างๆ ในขณะที่อาป๊าเริ่มลงทุนปุ๋ยมาขายเพิ่ม ฉันกับพี่ๆ จึงมีของเล่นใหม่เป็นภูเขากระสอบปุ๋ยกับมองจับปลา มันคือปราสาทองค์หญิงของฉันและพี่ๆ เลยเชียวล่ะ แต่ละวันฉันปีนถุงปุ๋ยเล่นจนผื่นขึ้นแต่สนุกจนลืมความคันไปเลย
ในขณะที่ธุรกิจขายอุปกรณ์การเกษตรดำเนินไปพร้อมๆ กับขายรถมือสอง สถานะการเงินครอบครัวเราก็เริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง อาป๊าทำงานหนักทุกวันทั้งแบกกระสอบปุ๋ยส่งลูกค้า ซ่อมรถ พ่นสีอะไหล่รถ จนกระทั่งอาป๊าเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง และเริ่มสร้างบ้านเป็นของตัวเอง เรากำลังจะมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่ไม่ต้องเช่า มีบ้านในปี พ.ศ. 2540
ปี พ.ศ.2540 ฟองสบู่แตก เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด รถขายไม่ได้ ของก็ขายไม่ได้ ที่บ้านใช้เงินเก็บออกมาใช้จ่าย ลูก 4 คนต้องเข้าโรงเรียน ราคาข้าวสูง อาป๊าเริ่มซื้อข้าวเปลือกตุนไว้เพื่อเก็งกำไร ตอนนั้นฉันและพี่ๆ มีของเล่นใหม่อีกแล้วคือการกรอกข้าวเปลือกใส่กระสอบข้าวแล้วขนขึ้นรถ เราเก็บข้าวเปลือกไว้นานพอสมควร แต่โชคไม่เข้าข้าวเรานัก เพราะราคาข้าวเปลือกตกลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังถูกความชื้น ทำให้การลงทุนครั้งนี้เรียกได้ว่าขาดทุน
ฉันแทบจำไม่ได้ว่าเรารอดมาได้ยังไง จนกระทั่งช่วงที่ฉันอายุ 11-12 ขวบ อาป๊าเริ่มลงทุนขายบะหมี่ พี่สาวคนที่ 2 ใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็เยอะขึ้น ฉันลวกบะหมี่เป็นตั้งแต่อายุ 12 ตักน้ำซุปใส่ถุงอย่างคล่องแคล่วเชียวล่ะ ตอนเช้าเราจะขายที่บ้าน ตอนเย็นเราจะไปเช่าที่ขายหน้าซอย ช่วงไหนมีงานกาชาด หมอลำ จะขายดีเป็นพิเศษซึ่งฉันรู้สึกสนุกมาก วันไหนมีการบ้านก็เอาไปนั่งทำด้วย ช่วงไหนมีสอบก็เอาหนังสือไปอ่านด้วย ฉันจะอยู่ถึงสี่ห้าทุ่มไม่เกินเที่ยงคืนถ้าวันถัดไปมีเรียน ส่วนอาป๊าอาม๊าจะอยู่ถึงตีหนึ่งตีสองแล้วแต่ว่าวันไหนขายดีขายไม่ดี ดึกสุดคือตีสามกว่าช่วงที่มีคนจีนมาแสดงกายกรรม หลังจากนั้นอาป๊าก็จะเก็บของล้างชาม อาม๊าก็ไปตลาดขายส่งเพื่อซื้อของเตรียมในวันถัดไป ชีวิตดำเนินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งฉันเรียนมัธยม 3 พี่สาวคนที่ 3 จะเข้ามหาลัยในปีถัดไป คนช่วยขายบะหมี่เริ่มไม่มี ประกอบกับอาป๊าได้เงินลงทุนมาก้อนหนึ่ง อาป๊าจึงเลือกที่จะเปิดร้านขายของชำซึ่งเป็นอาชีพที่ทำจนวาระสุดท้ายของชีวิตอาป๊า
อาป๊าทำชั้นวางของเอง ออกแบบเอง อ๊อกเหล็กเอง ส่วนฉันกับพี่ๆ ก็ทาสีชั้นวางของอย่างสนุกสนาน จำได้ว่าผมเป็นสีเขียวไปหลายเดือนเพราะมันติดผมไปด้วย
บ้านเราก็ขายของมาเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันเรียนจบ และโต๋เต๋หางานอยู่หลายเดือน อาป๊าบอกว่าถ้าฉันได้งานอาป๊าจะเกษียณตัวเองซะที กระทั่งวันหนึ่งที่ทำงานปัจจุบันเรียกสอบสัมภาษณ์ แม้ปากจะบอกว่าสัมภาษณ์ไปก็ไม่รู้จะได้ไหมแต่ดูอาป๊าตื่นเต้นกว่าฉันหลายเท่า วันสัมภาษณ์อาป๊ามาส่งฉันแต่เช้าและรอจนฉันสัมภาษณ์เสร็จ พอฉันออกจากห้องสัมภาษณ์ก็บอกอาป๊าว่า “ไม่น่าได้หรอกป๊าเค้าถามจนไม่รู้จะตอบยังไง” อาป๊าก็หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เป็นไร กลับไปขายของบ้านเราก็ได้ วันนั้นฉันกลับบ้านด้วยความสิ้นหวัง ในหัวแพลนจะทำธุรกิจเต็มไปหมดเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ผ่านสัมภาษณ์จนมีโทรศัพท์แจ้งมาว่าฉันได้เข้าทำงานอาป๊าตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าฉันเสียอีก อาป๊าจะไปขอใบรับรองแพทย์และเตรียมเอกสารต่างๆ แทนฉัน จนฉันต้องบอกอาป๊าว่าใจเย็นๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง วันถัดมาอาป๊าก็ไปตะลอนหาซื้อรถมอเตอร์ไซค์มือสองให้ฉันทั้งวัน อาป๊าบอกว่าต้องให้ได้สภาพสวยๆ หน่อยทำงานแล้วเดี๋ยวอายเขา อาป๊าเข้าออกหลายร้านจนกระทั่งได้รถสภาพที่ถูกใจมาให้ฉัน แม้จะไม่ใช่รถใหม่แต่เรียกได้ว่าใหม่ที่สุดในชีวิตที่ฉันเคยขี่เลยก็ว่าได้
ฉันเริ่มทำงานซึ่งต้องมาอยู่หอพักใกล้ที่ทำงาน ฉันจะกลับบ้านทุกวันศุกร์และมาทำงานวันจันทร์ ฉันทำงานได้เพียงปีกว่าๆ อาป๊าก็เริ่มป่วย ช่วงหลังๆ อาป๊าดูไม่ค่อยสบายทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน มีอาการปวดตามเนื้อตัวบ้าง ไอแห้งๆ บ้าง เวียนหัวบ้าง ซึ่งหลายครั้งฉันต้องกล่อมไปหาหมอ
จนกระทั่งวันที่ 1 มีนาคม 2560 อาป๊าเวียนหัวจนล้ม จึงได้ไปตรวจละเอียด เอ็กซ์เรย์พบก้อนในปอดข้างซ้าย ภายหลังหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดระยะลุกลาม ซึ่งลุกลามไปยังสมองแล้ว อาจจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ 1 เดือน ความรู้สึกในตอนนั้นมันชาและมึนงงไปหมด แต่อาป๊าเข้มแข็งมาก...เข้มแข็งกว่าฉันที่ไม่ได้ป่วยเสียอีก อาป๊าต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับผลข้างเคียงของการรักษาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต อาป๊ายอมรับความตายได้อย่างสงบ อาป๊าจากไปเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560 เวลา 18.05 น. มากกว่าที่หมอพยากรณ์ 27 วัน
ฉันรับรู้ ฉันเห็นมาตลอดมาอาป๊าทำงานหนัก แต่ฉันไม่รู้ว่ามันหนักขนาดไหนจนวันที่ฉันต้องมาอยู่ในจุดที่อาป๊าอยู่ มาทำในสิ่งที่อาป๊าเคยทำ ฉันได้รู้ว่ามันหนักมากจริงๆ หนักจนรู้สึกท้อแท้ แต่ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะไหว ฉันจะเป็นนักแก้ปัญหาเหมือนอาป๊า...
โฆษณา