12 พ.ค. 2019 เวลา 13:23
“No Mo Salah No Firmino No problem for Liverpool”
พลันสิ้นเสียงนกหวีดยาวที่แอนฟีลด์ ก็นับเป็นอีกครั้งที่ทีมสีแดงจากลุ่มน้ำเมอร์ซีย์ไซด์สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในรุ่งเช้าวันถัดมา ตามเวลาในเมื่อไทยได้อีกหนึ่งครั้ง...และนี้ไม่ใช่ครั้งแรก!!!
คุณยังจำค่ำคืนสุดแสนมหัศจรรย์ที่อิสตันบูลในปี 2005 ได้ไหม ?
จากตามหลังเอซี มิลาน 0-3 ในครึ่งเวลาแรก ลิเวอร์พูลใช้เวลาแค่ 6 นาทีจากการยิงลูกแรกจนถึงลูกที่สามสุดท้ายเสมอกันในเวลา 3-3 และเป็นฝ่ายลิเวอร์พูลที่ชนะการดวลลูกจุดโทษคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกไปครองได้อย่างอัศจรรย์และยังคงเป็นที่พูดถึงจวบจนถึงทุกวันนี้
คุณยังจำค่ำคืนอันน่าเลื่องเชื่อที่แอนฟีลด์ ณ วันที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านต้อนรับดอร์ทมุนด์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูโรป้าลีก ปี 2015-2016 ได้ไหม ?
หลังผ่านไป 57 นาทีเป็นทางฝั่งทีมเยือนดอร์ทมุนด์ที่สามารถยิงขึ้นนำเจ้าบ้านไปถึง 3-1 นั้นเท่ากับว่าถ้าลิเวอร์พูลต้องการที่จะเข้ารอบต่อไปต้องยิงให้ได้ถึง 3 ประตูภายในเวลาอีกประมาณ 30 นาทีที่เหลืออยู่ (นัดแรกลิเวอร์พูลบุกไปเสมอดอร์ทมุนด์ 1-1)
มาถึง ณ ตอนนี้จะมีสักกี่คนที่เชื่อว่าทีมที่จะได้เข้ารอบต่อไป คือ ลิเวอร์พูด ไม่ใช่ ดอร์ทมุนด์!!!
ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาวที่แอนฟีลด์คืนนั้น ลิเวอร์พูลสามารถพลิกนรกกลับมาแซงชนะดอร์ทมุนด์ไปได้ด้วยสกอร์ 4-3 จากการทำประตูชัยของเดยัน ลอฟเรน ปราการหลังทีมชาติโครเอเชียของลิเวอร์พูลในนาทีที่ 90+1
และ “This is Anfield!!!” ยังคงเป็นนรกสำหรับทีมเยือนอยู่เสมอ ปาฏิหาริย์ที่เป็นมากกว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งที่นี้กับคู่ต่อสู้ที่หลายคนบอกว่าเป็นทีมโคตรทีมจากต่างดาวอย่าง “บาร์เซโลน่า” ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดที่สอง
หลังจากที่นัดแรก ลิเวอร์พูลบุกไปแพ้บาร์เซโลน่ามาถึง 0-3 นั้นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลต้องยิงอย่างน้อยสามประตูโดยที่ไม่เสียประตูเลยเพื่อให้กลับมาเสมอและต้องยิงให้ชนะมากกว่าหรือเท่ากับสี่ประตูขึ้นไปถึงจะเป็นทีมที่ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้
ไม่ง่ายเลย ใช่ไหมครับ เป็นโจทย์ที่น่าจะท้าทายความสามารถของกุนซืออย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ มากที่สุดนัดหนึ่ง
แต่เค้าทำได้ ลิเวอร์พูลทำได้ ลิเวอร์พูลสามารถเปิดบ้านเอาชนะบาร์เซโลน่าไปได้ด้วยสกอร์ 4-0 เกิดอะไรขึ้น ภายในแค่สัปดาห์เดียวหลังจากแข่งนัดแรกที่คัมป์นูทำไมผลถึงออกมาเป็นแบบนี้ ไปลองดูกันครับ
ก่อนเกมแน่นอนว่าการที่ทั้งลิเวอร์พูลขาดตัวหลักอย่างซาลาห์และเฟอร์มิโน่ ย่อมเป็นปัญหาอย่างแน่นอน ยิ่งถ้ามองถึงสภาพความฟิตแล้วไม่ต้องพูดถึงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาลิเวอร์พูลต้องใช้พละกำลังอย่างมากกว่าจะบุกไปเอาชนะนิวคาสเซิลได้ แต่ในขณะเดียวกันบาร์เซโลน่าพักตัวหลักในเกมลีกสุดสัปดาห์เอาไว้มากมายเพราะพวกเค้าคว้าแชมป์ลาลีกา ของสเปนไปครองแล้วเรียบร้อย
เริ่มเกมมาได้แค่ 7 นาทีกลับกลายเป็นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากไหวพริบของ มาเน่ ที่อ่านเกมออกว่า จอร์ดี้ อัลบา จะโหม่งกลับคืนหลัง ทำให้สามารถไปฉกบอลมาได้ก่อนส่งต่อให้ เฮนเดอร์สัน ยิงไปติดเซฟ และก็เป็นดิว็อค โอริกี้ ที่ซัดจ่อๆไม่พลาด
ลิเวอร์พูลขึ้นนำอย่างรวดเร็ว 1-0 ณ จุดนี้เองหลายคนที่ตื่นขึ้นมาดูน่าจะเริ่มมีความหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่แอนฟีลด์อีกครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตรงข้ามจากนัดแรกก็คือทางฝั่งบาร์เซโลน่าเองก็มีโอกาสไม่น้อยเช่นกันแต่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้ไม่ว่าจะเป็นจาก จอร์ดี้ อัลบา ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก หรือ ซัวเรซ ในต้นครึ่งหลัง ซึ่งก็ยิงไปติดเซฟของอลิสซอน เบ็คเกอร์ ทั้งหมด ทำให้ลิเวอร์พูลยังคงอยู่ในเกม
และแล้วเมื่อถึงนาทีที่ 53 ก็เป็น จินี่ ไวจ์นัลดุม แปบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงามจากการส่งให้ของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
สังเกตดูดีๆครับ 2 ลูกแรกที่บาร์ซ่าเสียไปเกิดจากโดนเล่นงานฝั่งซ้ายของตัวเองทั้งนั้นเลยครับ หลังจากเสียลูกที่สองบาร์ซ่าเลยเทคนมาปิดฝั่งซ้ายของตัวเอง ทำให้เปิดพื้นที่โล่งทางฝั่งขวา ทำให้ มิลเนอร์ กับ ชาคิรี่เล่นง่ายๆ ก่อนโยน เข้าหัวไวจ์นัลดุมเต็มๆ สกอร์จึงขยับเป็น 3-0...บอกเลย ณ วินาทีนั้น เฮลั่นบ้านเลย ภาพจำที่อิสตันบูลกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
แต่ที่นี้คือแอนฟีลด์ไม่ใช่อิสตันบูล พลันวินาทีที่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ใช้หนึ่งในสุดยอดแทคติกหรือทริกหรือใครจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยไหวพริบและไม่ผิดกติกาแน่นอนในการเปิดลูกเตะมุมเร็วไปให้ ดิว็อค โอริกี้ ซัดจ่อๆเข้าไป สกอร์ขยับเป็น 4-0 หลังจากนั้นหงส์แดงก็เล่นดึงเวลาไปจนจบเกมก็กลายเป็นลิเวอร์พูลที่สามารถเข้าไปชิงชนะเลิศได้อีกครั้งหลังจากที่ปีที่แล้วแพ้ให้กับ รีล มาดริดไป โดยที่ในปีนี้นัดชิงชนะเลิศจะแข่งกันที่มาดริดในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ครับ
ย้อนกลับไปในนัดแรกที่คัมป์นู จำแอ็กชั่นสุดท้ายของเกมนั้น ที่อุสมาน เดมเบเล่ ยิงโล่งๆ จ่อๆ ไม่เข้า แต่ไปติดเซฟอลิสซอน นายทวารของลิเวอร์พูลได้ไหมครับ ?
จังหวะนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญของผลในเกมนี้เลยครับ เพราะถ้า เดมเบเล่ ละเอียดกับโอกาสที่ได้มาและไม่ประมาทในสถานการณ์ที่ได้เปรียบสุดๆแล้ว สุดท้ายถ้าลูกนั้นเป็นประตูไป บาร์ซ่าชนะได้ 4-0 ผลลัพธ์ ณ วันนี้อาจจบลงอีกแบบหนึ่งก็ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณมีโอกาส จงเต็มที่และละเอียดกับโอกาสที่คุณมีให้ได้มากที่สุด อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เพียงเพราะความไม่พร้อมหรือความไม่ตั้งใจขอตัวคุณเอง
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นเกมฟุตบอลหรือเกมชีวิต สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ไม่ว่าจะมีความหวังในชัยชนะเหลือน้อยแค่ไหน แต่ถ้ากรรมการยังไม่เป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน หน้าที่ของคุณก็มีแค่ลงไปเล่นในเต็มที่กับเวลาที่เหลืออยู่ ชีวิตก็เช่นกันตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ชีวิตก็ยังมีพรุ่งนี้ให้แก้ตัวได้เสมอ และสุดท้ายไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็ได้บอกกับตัวเองว่า “กูเต็มที่กับมึงแล้วนะ กูทำดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว!!!”
และแน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกในบ้านที่แอนฟิลด์ในวันอาทิตย์นี้หรืออีกไม่ถึงชั่วโมงนับจากโพสนี้เขียนเสร็จ
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อก็คือ นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนจะลงไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เฉกเช่นเดียวกันกับนัดนี้ และสุดท้ายไม่ว่าบทสรุปแชมป์พรีเมียร์ลีกของปีนี้จะเป็นเช่นไร ส่วนตัวผมเชื่อว่าเมื่อคุณทำเต็มที่กับสิ่งๆนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมสวยงามเสมอ...แล้วเจอกันที่มาดริดครับ !!!...You’ll never walk alone
ปล. สุดท้ายนี้อยากจะขอเชิญชวนทุกท่านมาแชร์มาเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นความหวังเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านในการฝ่าฝันความท้าทายต่างๆที่แต่ละคนต้องพบเจอเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ครับ
แบ่งปันปาฏิหาริย์ของตนเองเอาไว้ใน comment ได้เลยครับ
เกร็ดความรู้ด้านการเงินการลงทุน: คุณรู้หรือไม่ ในปี 2015 ซึ่งเป็นปีแรกที่ เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาคุมทีมลิเวอร์พูล นิตรสาร Forbes ได้จัดอันดับมูลค่าของสโมสรลิเวอร์พูลเอาไว้อยู่ที่ 982 ล้านยูเอสดอลล่า ก่อนที่ในปัจจุบัน มูลค่าสโมสรของลิเวอร์พูลจะขยับขึ้นไปเป็น 1,944 ล้านยูเอสดอลล่า หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่าภายในระยะเวลาแค่ 3-4 ปี
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าชายผู้นี้เข้ามาเปลี่ยนยักษ์หลับอย่างลิเวอร์พูลในกลายเป็นเครื่องจักรสีแดงอย่างที่แฟนบอลรุ่นเดอะหลายท่านคุ้นเคยกันอีกครั้ง
โฆษณา