14 พ.ค. 2019 เวลา 03:27 • ประวัติศาสตร์
ย้อนรอยประวัติศาสตร์การล่า"เเม่มด"ในยุคกลาง พร้อมตีเเผ่ความจริงของมนุษย์ที่โหดร้ายกว่า
"เเม่มด" (ฉบับปรับปรุง)
3
ในตอนยุคกลางของยุโรปนั้นถูกปกครองโดย
ศาสนจักร ซึ่งความเชื่อเรื่องปรากฎการณ์ต่างๆตามธรรมชาตินั้น เกิดจากฝีมือของสิ่งลี้ลับ ซึ่งหากเป็นสิ่งดี ก็เเสดงว่าเกิดจากพระเจ้า หากเกิดสิ่งไม่ดีก็จะกล่าวหาว่า เกิดจากซาตานนั่นเอง...
ในยุโรปยุคนั้น เเน่นอนย่อมมีผู้ที่เชื่อในศาสนา เเละไม่เชื่อปะปนกันไป เเต่ในเมื่อศาสนจักรมีอำนาจในยุโรปตอนนั้น ก็อยากจะกำจัดพวกนอกศาสนาออกไป เช่นพวกไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่เชื่อในคัมภีร์ไบเบิล ตัวอย่างก็ กาลิเลโอ ครับ ที่บอกว่าโลกกลม เเละโลกก็ไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งขัดกับคำสอนในศาสนาที่ว่า โลกเเบนเเละเป็นศูนย์กลางของจักรวาล..
ซึ่งวิธีการกำจัดพวกนี้โดย ไม่ให้คนที่นับถืออยู่ เเล้วรู้สึกว่ามีความโหดร้ายเกิน หรือไร้เหตุผลในการกระทำ ก็ง่ายมากเเค่"ใส่ร้าย" ว่าเป็น เเม่มดนั่นเอง
ภาพการสอบสวนเเม่มด
เเต่ไม่ใช่มีเพียงผู้หญิงนะ ผู้ชายก็โดนด้วย โดยกล่าวหาว่าเป็นพ่อมด ซึ่งเชื่อว่าผู้เป็นพ่อมดเเม่มด คือสมุนของซาตาน เเละเป็นต้นเหตุของโรคร้าย หรือภัยพิบัติต่างๆนานา
3
หลักเกณฑ์การดูว่าใครเป็นพ่อมดเเม่มดบ้างในช่วงสมัยต้นๆ สามารถดูได้จาก ลักษณะภายนอกเช่น รูปร่างหน้าตา คือ อัปลักษณ์ หรือสวยเกิน ซึ่งเเน่นอนว่า ผู้มีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากสุด คือหญิงชรานั่นเองละครับ นอกจากนี้ผู้ญิงที่มีหน้าตาดี ก็จะโดนด้วยเพราะมีความเชื่อว่า เเลกวิญญาณกับรูปร่างที่สวยงาม (เเอดละปวดใจ)
ต่อมานอกจากรูปร่างหน้าตาเเล้ว ยังดูจากพฤติกรรมด้วย เช่น ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง ซึ่งส่วนมากเป็นคนชรา เพราะสติเริ่มเลอะเลือน
ตัวอย่างเฉยๆนะครับ
ต่อมาประมาณปี 1487 มีการตีพิมพ์เเละเผยเเพร่บัญญัติการล่าเเละวิธีทรมาน เพื่อให้ผู้ต้องสงสัยสารภาพ ว่าตนเองเป็นพ่อมดเเม่มดจริง ไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า "Malleus Maleficarum" หรือภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า The Hammer of Witches
ซึ่งตกเป็นหนึ่งในหนังสือที่อันตรายมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้...
โดยหนังสือบอกวิธีสังเกตว่าผู้ใดเป็นเเม่มดพ่อมดบ้าง หลังจากนั้นเมื่อจับกุมตัวมาเเล้ว ก็จะเค้นให้สารภาพ ซึ่งมีเพียงเเค่คำสารภาพก็มากพอเเล้วที่จะกล่าวหาว่าเป็น พ่อมดเเม่มด โดยไม่ต้องมีหลักฐานเลยก็ได้... วิธีที่ทำให้สารภาพมีหลายวิธี ทั้งพูดด้วยดีเพื่อให้สารภาพ หรือใช้ความโหดร้าย ซึ่งเเน่นอนอีกว่ามักเป็นในอย่างหลังมากกว่า เพราะง่ายต่อการที่จะทำให้ผู้ต้องสงสัยรับ สารภาพ
ขั้นตอนเเรกคือ นำตัวผู้ต้องสงสัยไปถ่วงน้ำหากใครลอยขึ้นเเสดงว่าเป็น พ่อมดเเม่มด หากใครไม่เป็นก็จะจม (พูดง่ายๆคือ คนธรรมดา ตายตรงนี้เเหละครับ) จากนั้นหากใครลอยขึ้นก็จะถูกนำไปสอบสวนต่อ โดยเค้นให้สารภาพ หากไม่ปริปากสารภาพ ก็จะโดนทรมานร่างกายคือ ตอกเล็บ ยืดเเขนขาออก บีบขมับ หรือที่ร้ายเเรงอาจถึงตายเลยก็คือ วิธีที่เรียกว่า "เเสตปตาโด" คือ นำมือของผู้ต้องสงสัยไว้บนรอก หลังจากนั้นหาอะไรที่มีน้ำหนักถ่วงขาเอาไว้ นับว่าโหดร้ายที่สุด
ซึ่งจะทรมานจนกว่าผู้นั้นจะสารภาพ..(ถ้าใครโดนเเบบนั้นก็คงต้องสารภาพเเล้วล่ะ) ซึ่งมันมีผลไม่ต่างกันนัก ยังไงก็ตายอยู่ดี หลังจากสารภาพเเล้ว ผู้นั้นจะถูกนำตัวไปเผาไฟทั้งเป็น ที่ลานโล่งเพื่อให้ผู้คนได้ดูผลจากการเป็นเเม่มด(พวกนอกศาสนา)
อย่างไรก็ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 การล่า
เเม่มดพ่อมดเริ่มเสื่อมลงหลังจาก ผู้คนใช้เหตุผลกันมากขึ้น รวมถึงมีการค้นพบความรู้ใหม่ที่ช่วยไขความลับของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ผู้คนจึงเชื่อเรื่องเเม่มดพ่อมดน้อยลง จนยุคเเห่งการล่าจบลง
เเต่กว่าจะเอาชนะความเชื่อเเบบเดิมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นักวิทยาศาสตร์หลายคนถูกเผาไป โดยการกล่าวหาเช่นนี้ เพราะวิทยาศาสตร์ขัดต่อคำสอนของศาสนจักร อย่างสิ้นเชิง...
นี่เป็นเพียงเรื่องราวส่วนหนึ่ง ที่ผมสรุปรวบรวมมาเพื่อที่จะขยายความคำๆนี้คือ
"ฆ่าคนชั่วในนามของ ความดี" มันอาจดูไกลตัว เเต่มันใกล้ตัวเรามากๆ เช่น เราไปด่าคนที่ทำความไม่ดีในทีวีว่า เลวทราม ต่ำช้า สมควรตาย ซึ่งคนๆนั้นอาจเป็นอย่างที่ว่าจริง...
เเต่มันควรเเล้วหรือที่เรา จะใช้ความรุนเเรงทั้ง วาจา หรือร่างกายทำร้ายผู้นั้น ...
คำถามต่อมาคือ ...นี่หรือคือคนดี เค้าอาจทำร้ายร้ายคนชรามา เเต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขา เพราะนอกจากไม่เกิดประโยชน์อะไรเเล้ว ยังไงเขาก็ผิดเท่าเดิม มันมีเเต่จะทำให้จิตใจของเรา ทรามลงไปอยู่เเบบเดียวกับเขาเท่านั่นเเหละ
ในทางที่ดีเราควรจะใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งที่เค้าว่าโหดร้ายเพียงใด มาเป็นตัวอย่างเเละบทเรียนว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับใครอีก
เพราะมันไม่ต่างกันเลย ระหว่างคนชั่วที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์กับคนดีที่ฆ่าคนชั่ว... เเละยิ่งไปกว่านั้นหากคนๆนั้นเป็นเเพะมาอีกละก็....ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม
เขียนโดย@น๊อต
โฆษณา