นั่นคือภาพจำแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักนักเขียนเจ้าของผลงานที่ตรึงตราตรึงใจของผมตลอดกาลอย่าง The Old Man and the Sea หรือ เฒ่าผจญทะเล, เฒ่าทะเล, ชายชรากับทะเล ฯลฯ อย่างที่หลายคนคง จะคุ้นหูคุ้นตากันดี
ซึ่งเมื่อผมได้อ่านงานของเขาก็ค้นพบว่าคำตอบนั้นมีแล้วใน The Old Man and the Sea ผลงานช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในวันที่ 10 ธันวาคม 1954 และได้รับยกย่องให้เป็นศิลปะการเล่าเรื่องแบบสมัยใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและสไตล์การเล่าเรื่องชั้นบรมครูที่ญาติน้ำหมึกทั่วโลกต่างให้การกล่าวขาน
The Old Man and the Sea เป็นนิยายขนาดสั้นที่เล่าถึงการต่อสู้ของชายชราประมงชาวคิวบาคนหนึ่งนามตาเฒ่าจอมดื้อดึง ‘ซานติอาโก’ ผู้อับโชคที่กำลังหวนหาชัยชนะครั้งสุดท้ายกับปลามาร์ลินยักษ์ กลางห้วง ทะเลลึก การต่อสู้นี้กินเวลาร่วมสามวันสามคืน ชายชราได้รวบรวมประสบการณ์ตกปลาทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับปลายักษ์
การที่ได้หวนกลับมาอ่าน The Old Man and the Sea อีกครั้ง ทำให้ผมเกิดความเชื่อบางประการว่า มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสาปให้ต้องมีเสรีภาพในการบรรลุศักยภาพที่ซ่อนในตัวของเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่เห็นได้ชัดก็คือมนุษย์สามารถเลือกทำในสิ่งที่เขาอยากทำหรือปฏิเสธในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ จริงอยู่ ที่มนุษย์เราล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนา แต่เราก็มีศักยภาพพอที่จะควบคุมมันและใช้มันในทางที่ถูกต้องได้