18 พ.ค. 2019 เวลา 07:47
เสิร์ฟกาแฟร้อนไปก็โดนฟ้องได้?
เคยได้ยินเรื่องที่แมคโดนัลถูกฟ้องเนื่องจากเสริฟกาแฟร้อนไปไหม? เรื่องนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและผู้หญิงคนที่ฟ้องแมคโดนัลได้เงินมาตั้งเกือบสามล้านเหรียญ...อะไรทำให้เธอตัดสินใจฟ้อง ลองมาหาคำตอบกันครับ
ในปี1992 คุณยาย Stella Liebeckวัย 79 ปี ได้สั่งกาแฟร้อนจากแมคโดนัลไดร์ฟทรู แต่เธอไม่ได้เป็นคนขับรถในรถคันที่คุณยายนั่งไม่มีที่วางแก้วและรถก็ไม่ได้แล่นอยู่ขณะที่กาแฟหก ทำให้คุณยายต้องตั้งกาแฟไว้ที่ตัก โดยใช้ขาหนีบเอาไว้ เพื่อที่จะเปิดฝาขณะเติมนมและน้ำตาล
โดยขณะที่เปิดฝาออกมานั้นกาแฟได้หกใส่ตักของคุณยาย และเนื่องจากคุณยายใส่การเกงวอร์มที่สามารถดูดซึมน้ำได้ดี ทำให้กาแฟร้อนซึมเข้าไปในกางเกงของคุณยายแนบไปกับผิวหนังช่วงต้นขาและอวัยวะบริเวณนั้น ส่งผลให้คุณยายกรีดร้องและช็อค ทำให้หลายชายที่เป็นคนขับรีบพาคุณยายส่งห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
การโดนกาแฟร้อนลวกของคุณยาย ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป เมื่อแพทย์แจ้งว่าแผลของคุณยายเทียบเท่ากับแผลไฟไหม้ระดับสาม (แผลไฟไหม้ระดับสามคือแผลที่ร้ายแรงที่สุด) แผลกินบริเวณถึง 6% ของร่างกาย คุณยายต้องออกจากงานและเข้าการรักษาที่โรงพยาบาล
คุณยายไลเบคและครอบครัวจึงเขียนหนังสือถึงแมคโดนัล เพื่อขอให้แมคโดนัลช่วยตรวจสอบอุณหภูมิของกาแฟ และช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวน 10,000 เหรียญให้กับเธอด้วย แมคโดนัล ส่งจดหมายกลับมาว่า จะตกลงยินยอมที่ 800 เหรียญเท่านั้น
คุณยายไลเบคจึงได้จ้าง Ken Wagner และ Reed Morgan เพื่อให้มาเป็นทนายของเธอ ซึ่งรีดได้เคยมีประสบการณ์การทำคดี "กาแฟร้อน" ของแมคมาก่อนแล้ว และครั้งนั้นได้เงินชดเชยเพียง 27,000เหรียญ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
ทนายของคุณยายไลเบคยื่นความจริงที่ว่า ระเบียบในการทำกาแฟของแมคนั้นต้องเสริฟในอุณหภูมิ 180-190 องศาฟาเรนไฮต์ซึ่งน้ำในอุณหภูมินี้หากโดนผิวหนังเป็นเวลาเพียง3-7วินาทีจะทำให้เกิดแผลไฟไหม้ระดับ3ทันที ทนายของคุณยายได้ทำการซักผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพของแมคโดนัล และพบว่าแมคโดนัลรู้แจ้งแก่ใจดีอยู่แล้วว่าการเสริฟกาแฟที่อุณหภูมิสูงเท่านั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ และยังให้การต่ออีกว่าลูกค้าไม่ควรจะดื่มกาแฟทันทีที่เสริฟ เพราะมันร้อนมาก ลูกค้าควรทำให้กาแฟเย็นลงเสียก่อนแล้วค่อยดื่ม
1
ทนายความของแมคโดนัล Tracy Jenks ได้กล่าวว่า มันเป็นมาตราฐานทั่วไปอยู่แล้วที่จะเสริฟการแฟในอุณหภูมิเท่านี้ และร้านอื่นๆเช่นเบอร์เกอร์คิงก็เสริฟกาแฟในอุณหภูมิเท่านี้เช่นกัน เป็นคุณยายเองที่ประมาททำให้กาแฟหกรดตัวเอง และคุณยายควรจะถอดกางเกงทันทีจะได้ไม่เป็นแผลร้ายแรงขนาดนี้
หลักฐานอีกชิ้นที่ทนายของคุณยายยื่นต่อลูกขุนคือ เอกสารที่แสดงว่าตั้งแต่ปี 1982-1992 เวลาเพียง10ปี แต่มีคนยื่นข้อเรียกร้องถึงแมคโดนัลว่าโดนกาแฟลวกถึง 700 ราย แมคโดนัลได้จ่ายค่าเสียหายไปมากกว่า 500,000 เหรียญ ยิ่งเป็นการตอกย้ำไปอีกว่าแมคโดนัลรู้ทั้งรู้ว่าเครื่องดื่มของตนสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ แต่ไม่ใส่ใจที่จะแก้ไข
โดยฝั่งแมคโดนัลได้แย้งว่า วันๆนึงแมคขายกาแฟได้ตั้งหลายล้านแก้ว เทียบกับ 700 คนที่บาดเจ็บแล้วถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
แต่ลูกขุนกลับไม่เห็นเป็นอย่างนั้น
หนึ่งในคุณลูกขุนให้สัมภาษณ์ว่า ตอนแรกคิดว่า นี่เป็นเรื่องไร้สาระมากที่จะต้องมานั่งฟังคนเถียงกันเรื่องกาแฟหก แต่หลังจากฟังการพิจารณาคดีก็ทำให้ลูกขุนเริ่มเปลี่ยนความคิด ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่า อาการบาดเจ็บของคุณยายเป็นเหตุผลหลักแต่เป็นเพราะว่า
เป็นการเพิกเฉยต่อความปลอดภัยต่อลูกค้าของแมคโดนัล
คำตัดสินของลูกขุนจึงออกมาว่า แมคโดนัลต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 200,000 เหรียญ โดยปรับลดลงให้เหลือง 160,000 เหรียญเพราะคุณยายทำกาแฟหกเอง และต้องจ่ายค่าปรับ(ถือเป็นบทลงโทษ)ให้กับคุณยายไลแบคอีกเป็นจำนวนเงิน 2.7 ล้านเหรียญ
เมื่อมาถึงตรงนี้ คุณยายไลแบคจะได้เงินเป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,860,000 เหรียญ นับว่าคุณยายกลายเป็นเศรษฐีได้จากคดีนี้เลย สื่อตื่นเต้นมากกับเงินจำนวนนี้จึงพากับประโคมข่าว (บ้างก็ว่าเป็นแผนของทนายฝ่ายแมคโดนัล) ทั้งข่าว รายการทีวี ซีรีย์ ต่างมีการนำเรื่องของคุณยายไปทำเป็นโจ๊ก เป็นเรื่องตลก แต่งเป็นเพลงล้อเลียนก็มี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าลูกขุนจะตัดสินให้คุณยายได้เงินไปเกือบ 3 ล้านเหรียญ แต่ผู้พิพากษาลดราคาลงไปเหลือแค่ 640,000 เหรียญ ซึ่งสื่อไม่ได้รายงานถึงเรื่องนี้เลย คู่ความได้ขออุทรธ์และสุดท้ายทั้งสองฝ่ายตกลงกันที่เงินจำนวน 600,000 เหรียญ
เราเรียนรู้อะไรในกรณีนี้บ้างครับและถ้าเรื่องนี้เกิดที่ประเทศไทย ผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้หร่อเปล่า?...ลองเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ
บทความต้นฉบับ: https://storylog.co/story/58c8daee646642a715701e57
โฆษณา