4 มิ.ย. 2019 เวลา 10:27 • กีฬา
ทุกประสบการณ์ในชีวิตจะทำให้คุณแกร่งขึ้น นี่คือเรื่องราวของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงครั้งแรก
คล็อปป์เริ่มต้นคุมทีมจากไมนซ์ แล้วข้ามมาที่ดอร์ทมุนด์ในปี 2008
จากดอร์ทมุนด์ที่เกือบจะตกชั้นในยุคโทมัส โดล เขาใช้เวลาแค่ 3 ปี ในการพาทีมพลิกมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จ
พอได้แชมป์ครั้งแรก ดอร์ทมุนด์ได้สิทธิเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกจริงๆของคล็อปป์ที่ได้สัมผัสถ้วยใหญ่ที่สุดของยุโรป
ชปล.ครั้งแรกของคล็อปป์ ถูกจับสลากมาอยู่ในกลุ่มเอฟ ร่วมกับอาร์เซน่อล, มาร์กเซย และ โอลิมเปียกอส ซึ่งด้วยคุณภาพของตัวผู้เล่น มีโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, มาริโอ เกิตเซ่, ชินจิ คากาวะ และ มัตส์ ฮุมเมิลส์ อยู่ในทีม คิดตามความน่าจะเป็น พวกเขาน่าจะเข้ารอบได้ง่ายๆ
แต่คล็อปป์ก็ได้บทเรียนสำคัญ ว่าชปล. มันยากกว่าที่คิด 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ดอร์ทมุนด์มีแค่ 4 แต้ม จบด้วยการเป็นบ๊วย
ณ เวลานั้น เขาไม่มีประสบการณ์เลยเรื่องการโรเทชั่น
คล็อปป์เปลี่ยนตัวไปมา โรเทชั่นซ้ายขวา มั่วไปหมด คือเขาไม่รู้ว่าควรจะโฟกัสที่บอลยุโรป หรือบอลลีกในประเทศ
สรุปผลงานเลยออกมาแย่มากๆทั้งสองรายการ ยุโรปก็แพ้ บอลลีกก็แพ้
จนหลังจากตกรอบ ในชปล. ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้น คล็อปป์ ถึงกลับมามีสติอีกครั้ง และดอร์ทมุนด์ก็ค่อยๆ Back on track กลับมาสู่จ่าฝูงได้สำเร็จ
ถึงตรงนั้น คล็อปป์จึงเข้าใจว่า พอมีเกมยุโรปแล้ว มันต้องมีทีมที่มีคุณภาพมากขึ้น และต้องมีจำนวนผู้เล่นที่เยอะกว่าเดิม
ตัวสำรองต้องทดแทนตัวจริงกันได้เลย ไม่ใช่ว่าแตกต่างอย่างเห็นชัดขนาดนั้น
ขณะที่แท็กติก ก็ต้องละเอียดขึ้น เขี้ยวขึ้น และต้องเล่นเพื่อผลการแข่งมากขึ้น จะมาเล่นบอลสวย บอลบุกอย่างเดียวมันใช้ไม่ได้ผล
ซีซั่น 2011-12 ดอร์ทมุนด์ได้แชมป์ลีก และกลับไป ชปล.เป็นรอบที่ 2
ในตลาดนักเตะคล็อปป์ไปซื้อมาร์โค รอยส์ เข้ามาเสริมเพิ่มอีก 1 ขณะที่แท็กติกในสนามก็ละเอียดขึ้น
ในรอบแบ่งกลุ่ม ดอร์ทมุนด์มาอยู่ในกรุ๊ป ออฟ เดธ ร่วมกับ เรอัล มาดริด , อาแจ๊กซ์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถ้าดูจากผลงานในซีซั่นก่อน ดอร์ทมุนด์ไม่รอดแน่
แต่คล็อปป์ได้เรียนรู้แล้วว่า เกมระดับนี้คุณไม่ต้องบุกบ้าคลั่ง การเน้นผลการแข่งสำคัญกว่าความสวยงาม
6 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม
- ดอร์ทมุนด์ 1-0 อาแจ๊กซ์
- แมนฯซิตี้ 1-1 ดอร์ทมุนด์
- ดอร์ทมุนด์ 2-1 เรอัล มาดริด
- เรอัล มาดริด 2-2 ดอร์ทมุนด์
- อาแจ๊กซ์ 1-4 ดอร์ทมุนด์
- ดอร์ทมุนด์ 1-0 แมนฯซิตี้
ถ้าไม่นับเกมเยือนอาแจ๊กซ์ ดอร์ทมุนด์ยิงได้แค่เกมละ 1 ลูก 2 ลูก แต่ก็เพียงพอในการได้แต้มทุกนัด
สุดท้ายในกลุ่มดี ดอร์ทมุนด์จบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม มี 14 คะแนน ซึ่งหากเทียบกับปีก่อน ที่ได้ 4 คะแนน จะเห็นว่าทีมพัฒนาการมาแบบคนละเรื่อง
จากนั้นในรอบน็อคเอาต์ ดอร์ทมุนด์ เอาชนะชัคเตอร์ โดเน็ตส์ , มาลาก้า และ เรอัล มาดริด มาเข้าชิงกับบาเยิร์น มิวนิค ที่เวมบลีย์
ถึงตรงนี้ ดอร์ทมุนด์เองก็ไม่ได้กลัวใคร จะเป็นบาเยิร์น หรือทีมไหนๆในโลก เกมแค่นัดเดียว พวกเขาพร้อมลุยอยู่แล้ว
คล็อปป์ในตอนนี้ มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งความเขี้ยวเรื่องแท็กติก และคุณภาพของตัวผู้เล่นในสนาม
อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่เขายังไม่มี คือเรื่องของเกมจิตวิทยา
ในเกมฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ ทุกรายละเอียดมีความหมายหมด
ความสามารถ สภาพร่างกาย สภาพความฟิต รวมไปถึงเรื่องของจิตใจด้วย
หลังจากดอร์ทมุนด์โค่นมาดริด เข้าชิงได้สำเร็จ ก็มีข่าวที่ช็อกโลกลูกหนัง
หน้า 1 ของหนังสือพิมพ์บิลด์ พาดหัวตัวโตว่า "เกิตเซ่จะย้ายไปบาเยิร์น"
คล็อปป์เองไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นักเตะอันดับ 1 ของทีม เด็กปั้นจากอคาเดมี่ของสโมสรเนี่ยนะ จะย้ายไปทีมคู่แข่งตัวฉกาจ
ที่สำคัญดอร์ทมุนด์จะแข่งกับบาเยิร์น อีกไม่กี่วันนี้ มันเป็นไปได้หรอ ที่ข่าวย้ายตัวจะมาเกิดเอาในเวลานี้ มันผิดที่ผิดทางเป็นอย่างมาก
คล็อปป์ส่งข้อความหา มาร์โค รอยส์ ทันที เพราะรอยส์กับเกิตเซ่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมีเอเยนต์คนเดียวกัน
"นี่เรื่องจริงหรอ!" คล็อปป์ถาม
คำตอบของรอยส์ ทำให้คล็อปป์ต้องช็อก "มันเป็นเรื่องจริงบอส ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน"
ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งผลรุนแรงต่อสภาพจิตใจของคล็อปป์และทั้งทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์เป็นอย่างมาก
จริงๆไม่ใช่ว่าผู้เล่นดอร์ทมุนด์จะไม่เคยย้ายไปบาเยิร์น แต่กับกรณีของเกิตเซ่ มันต่างกันออกไป เพราะ เกิตเซ่ไม่เพียงแค่เป็นอัจฉริยะในรอบทศวรรษ แต่เขาอยู่กับทีมเยาวชนของดอร์ทมุนด์ตั้งแต่ 8 ขวบ ดังนั้นควรเป็นคนที่เข้าใจจิตวิญญาณของสโมสรมากที่สุด
คล็อปป์และดอร์ทมุนด์ตั้งใจจะสร้างทีมในอนาคต โดยมีเกิตเซ่ เป็นจุดศูนย์กลาง
คล็อปป์เองให้คำสัญญากับเกิตเซ่ว่า เขาจะดูแลเกิตเซ่อย่างดีที่สุด และจะพัฒนาให้เกิตเซ่เป็นนักเตะระดับโลกให้ได้ ดังนั้นเขาไม่คิดจริงๆว่า เกิตเซ่จะย้ายไปบาเยิร์น มิวนิค
ถ้าเทียบในปัจจุบัน ก็ไม่ต่างอะไรกับลีโอเนล เมสซี่ ประกาศว่าจะย้ายไปเรอัล มาดริด ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจริง แฟนบาร์ซ่ารู้สึกอย่างไร แฟนดอร์ทมุนด์ก็รู้สึกแบบนั้น ณ เวลานั้น
"ผู้เล่นของเราบางคน นอนไม่หลับเลยตอนรู้ข่าว" คล็อปป์เผย "สำหรับผมเอง เหมือนโดนเอามีดแทงหัวใจ ผมพูดอะไรไม่ออกเลย"
เกิตเซ่ ณ เวลานั้น อายุ 20 ปี แต่เขามีค่าฉีกสัญญา 37 ล้านยูโร ดอร์ทมุนด์เองก็ไม่คาดคิดว่า บาเยิร์นจะกล้าจ่ายค่าฉีกสัญญามหาศาลขนาดนั้น ให้กับผู้เล่นดาวรุ่ง แต่บาเยิร์นกล้าทำจริงๆ
สภาพจิตใจของผู้เล่น และตัวคล็อปป์ ถือว่าปวดร้าวเลยทีเดียว จริงอยู่ล่ะ ว่าในโลกฟุตบอลการย้ายทีมมันเกิดได้ตลอด แต่มันไม่ใช่กับเกิตเซ่ และมันไม่ใช่ในเวลานี้
"การเสียผู้เล่นสักคนที่เข้าใจความเป็นดอร์ทมุนด์ แต่ยังเลือกย้ายไปอีกทีม มันทำใจยากจริงๆ คือถ้าชินจิ คากาวะ หรือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ย้ายทีม เราก็จะเสียใจนะ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะพวกเขาไม่ใช่คนเยอรมัน แต่กับเกิตเซ่ มันต่างกันจริงๆ" ฮุมเมิลส์กล่าว
1
แม้บาเยิร์น จะบอกว่า การซื้อเกิตเซ่ เป็นสิทธิอันชอบธรรม ที่สามารถทำได้ ซึ่งใช่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาทำตามกฎทุกอย่าง จ่ายเงินค่าฉีกสัญญาอย่างถูกต้อง แต่ฝั่งดอร์ทมุนด์เองก็มีสิทธิที่จะโมโหเดือดดาล
ดอร์ทมุนด์ทั้งโกรธตัวเกิตเซ่ ที่เลือกไปบาเยิร์น และ โกรธบาเยิร์นที่มาเจรจาย้ายตัวเอาก่อนแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงจะแข่งกันอีกไม่กี่วันนี้
"บาเยิร์นตั้งใจจะทำลายเรา" ฮันส์ โยอาคิม-วัตซ์เค่ ผู้บริหารของดอร์ทมุนด์ไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
คล็อปป์พยายามจะยื้อจนถึงหยดสุดท้าย ด้วยการไปดึงกับเกิตเซ่ และเอเยนต์
ไม่ใช่ว่าอยากจะขัดขวางความสำเร็จของผู้เล่น แต่ในกรณีนี้ คล็อปป์มองว่า เกิตเซ่เลือกจะไปบาเยิร์น ทั้งๆที่รู้ดีว่าดีลนี้ บาเยิร์น คิดอย่างไรกับเขา แน่ใจหรือเปล่าว่า บาเยิร์นไม่ได้ต้องการได้ตัวเกิตเซ่เพียงเพื่อจะลดทอนพลังของดอร์ทมุนด์?
อย่าลืมว่า บาเยิร์น มีตัวรุกที่สุดยอดอย่างอาร์เยน ร็อบเบน กับฟรองค์ ริเบรี่ ที่การันตีตัวจริงอยู่แล้ว แถมยังมีโทมัส มุลเลอร์ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของสโมสรอีก แล้วถ้าเกิตเซ่ย้ายไป จะมีอะไรการันตีว่าเขาจะได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเกิตเซ่ ไม่ได้เล่นสม่ำเสมอ โอกาสที่จะพัฒนาไปสู่ผู้เล่นระดับโลก ก็คงหมดไปอย่างน่าเสียดายซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่คล็อปป์ไม่อยากให้เกิดเลย
"นายกำลังจะทำเรื่องผิดพลาด" คล็อปป์ย้ำ และอยากให้เกิตเซ่คิดให้ดีอีกที
แต่มันสายเกินไปแล้ว เพราะเกิตเซ่ ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ฝั่งบาเยิร์น กำลังครื้นเครง พวกเขาได้แชมป์บุนเดสลีกามาสวยๆ ขณะที่ผลงานนอกสนามก็ไปกระชากคีย์แมนของคู่แข่งสำคัญมาได้ ทุกอย่างพร้อมเต็มที่สำหรับนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก
ตรงข้ามกันเลยกับดอร์ทมุนด์ พวกเขาเสียสมาธิเละเทะไปหมด ทั้งโค้ช นักเตะ และแฟนบอล
ก่อนชปล.นัดชิง 2 สัปดาห์ ดอร์ทมุนด์มีโปรแกรมบุนเดสลีกา พบกับบาเยิร์น ตามปกติทีมที่จะแข่งกันในลีก จะมีประเพณี ที่ผู้บริหารทั้ง 2 ทีม จะนัดกันทานมื้อเที่ยง
แต่ดอร์ทมุนด์ยกเลิกมื้อเที่ยงตามประเพณีทิ้งซะ โดย วัตซ์เค่กล่าวว่า "จะไม่มีมื้อเที่ยงนั้นเกิดขึ้น คือทำไมเราต้องแกล้งทำว่าทุกอย่างสงบสุขด้วยล่ะ ในเมื่อความจริงมันไม่ใช่ แค่จับมือกันตามมารยาทก็พอแล้วล่ะ"
ขณะที่ในสนามเกมในสนามทั้ง 2 ทีมก็เล่นกันโหด อัดกันจนฟาวล์ปลิวว่อน มีเหลือง 6 ใบ แดง 1 ใบเกิดขึ้นในเกมก่อนเสมอกันไป 1-1
ส่วนเจอร์เก้น คล็อปป์ ไปฟาดปากกับมัทเธียส ซามเมอร์ ผู้อำนวยการกีฬาของบาเยิร์น โดยโจมตีว่าเป็นคนให้ท้าย ช่วยทีมเสือใต้ในการมาซื้อเกิตเซ่ตอนนี้
บรรยากาศในห้องแต่งตัว เป็นไปอย่างหดหู่มาก ส่วนที่สนามซ้อม มีกลุ่มอุลตร้าของทีมตั้งใจไปด่าเกิตเซ่ จนคล็อปป์ต้องเข้าไปเบรกแฟนๆที่กำลังโมโห
หลังจบเกมกับบาเยิร์น นัดที่ 32 ของซีซั่น ดอร์ทมุนด์เหลือโปรแกรมลงเล่นในบุนเดสลีกาอีก 2 นัด ปรากฏว่าพวกเขาเสมอ โวล์ฟสบวร์ก และ แพ้ฮอฟเฟ่นไฮม์คาบ้าน
ความมั่นใจแหลกสลายไปหมดสิ้นแล้ว และด้วยสภาพแบบนี้น่ะหรอ ที่จะลงแข่งนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกได้
ต่อให้ตัวนักเตะดีแค่ไหน และโค้ชมีแท็กติกเขี้ยวเพียงใด แต่เมื่อจิตใจโดนทำให้หวั่นไหว มันก็ยากจริงๆที่จะชนะใครได้
หลังจากได้ตัวเกิตเซ่ไปแล้ว แต่เกมนอกสนามยังคงดำเนินอยู่
ก่อนเกมกับบาเยิร์นจะเริ่มแค่ไม่กี่วัน ไมค์ บาร์เทล เอเยนต์ส่วนตัวของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ให้สัมภาษณ์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า "เราตั้งใจจะย้ายทีมซัมเมอร์นี้"
และทีมที่เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ที่จะได้ตัวเลวานดอฟสกี้ ก็คือบาเยิร์น มิวนิคอีกเช่นเคย
วัตซ์เค่ เผยว่าคล็อปป์รู้สึกหงุดหงิดกับข่าวที่เกิดขึ้นมากๆ ขณะที่นักเตะในทีมก็ไม่เข้าใจว่า จะมีข่าวย้ายตัวอะไรกันมากมายในเวลานี้
รู้ตัวอีกที ก็ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2013 เกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกก็มาถึงแล้ว
ดอร์ทมุนด์เริ่มต้นได้ดี ได้บุกหลายต่อหลายครั้ง แต่ปิดไม่ลง ก่อนโดนบาเยิร์นนำไปก่อน 1-0 จากมาริโอ มันด์ซูคิช นาทีที่ 60
ดอร์ทมุนด์ได้จุดโทษ นาทีที่ 69 ก่อนอิลคาย กุนโดกันยิงเข้าไปให้ตีเสมอเป็น 1-1
แต่แล้วด้วยการเสียสมาธิในช่วงท้ายเกม ทำให้ดอร์ทมุนด์พลาด เสียประตูในนาทีที่ 89 ให้อาร์เยน ร็อบเบน และสุดท้ายก็แพ้นัดชิงไปเลย
และจากนั้นมาก็เป็นจุดขาลงของดอร์ทมุนด์ พวกเขาไม่สามารถกลับมาสู่จุดพีกนี้ได้อีกแล้ว
คล็อปป์เป็นผู้จัดการทีมที่เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง
ตอนที่ทีมตกรอบแบ่งกลุ่ม เขาพัฒนาทีม พัฒนาแท็กติก จนทีมพลิกมาเข้าชิงได้ในซีซั่นต่อมา
และจากบทเรียนนัดชิงกับบาเยิร์นในปี 2013 เขาเรียนรู้ว่า เรื่องสภาพจิตใจ ของตัวเองและนักเตะมีผลอย่างมากต่อเกมที่ตัดสินกันนัดเดียว
ดังนั้นในเรื่องอะไรก็ตามที่อาจส่งผลต่อจิตใจของผู้เล่น เขาจะออกมาเคลียร์ให้ชัดเจนทันที โดยไม่รอให้บานปลาย
ก่อนเกมสเปอร์ส ในนัดชิง ชปล. 2019 มีข่าวแปลกๆเกิดขึ้นหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ข่าวว่าเขาไม่พอใจที่โม ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ ถือศีลอดอย่างจริงจังก่อนแข่งแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งอาจส่งผลให้ลงเล่นในเกมนัดชิงได้แบบไม่เต็มร้อย
คล็อปป์มาสยบข่าวลือทันที โดยบอกว่า เขาไม่มีปัญหากับการที่ 2 ผู้เล่นตัวหลัก ยึดถือหลักศาสนาของตัวเอง เพราะในโลกนี้มีหลายสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าฟุตบอล
การพูดแบบนี้ เป็นการแสดงความเชื่อมั่นลูกทีมแบบเต็มร้อย คล็อปป์ไม่ต้องการให้ใครมีอะไรติดอยู่ในใจ
หรืออย่างที่มีกระแสในโลกออนไลน์ว่า ลิเวอร์พูลควรเปลี่ยนกัปตันทีม โดยโละเฮนเดอร์สันออก แล้วให้เวอร์จิล ฟาน ไดค์เป็นกัปตันทีมแทน
คล็อปป์ก็ออกมายืนยันว่า กัปตันทีมของเขาคือจอร์แดน เฮนเดอร์สันเท่านั้น แสดงความชัดเจน แสดงจุดยืน เพื่อไม่ให้นักเตะมีความหวั่นไหวใดๆ ก่อนเกมสำคัญที่จะมาถึง
มันก็จริงที่ คล็อปป์ผิดหวังในเกมนัดชิงมาเยอะ แต่การพ่ายแพ้ทุกครั้ง มันก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ ว่าการแข่งมันไม่เคยตัดสินที่เกมในสนามอย่างเดียว
การคอนโทรลสภาพจิตใจของทั้งนักเตะให้ไปในทางเดียวกัน คือเคล็ดลับของการประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
ทำให้ผู้เล่นได้สบายใจ เคลียร์ปัญหาในใจทุกอย่าง เพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับการแข่ง เช่นเดียวกับตัวเขาเอง ก็ไม่ต้องเอาปัญหาอื่นๆมาทำให้จิตใจว้าวุ่น สิ่งที่ควรโฟกัสมีแค่คู่แข่งตรงหน้าเท่านั้น
จริงอยู่ ฟุตบอลอาจเล่นกันด้วยเท้า
แต่ที่จะยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย คือคนที่มีจิตใจสมบูรณ์ที่สุดต่างหาก
#KLOPP
โฆษณา