7 มิ.ย. 2019 เวลา 12:19 • การเมือง
ฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา
เนื่องด้วยช่วงนี้ข่าวการเมืองช่างอินเทรนด์เหลือเกินทั้งแต่ผู้เด็กเล็กน้อยมือเท้าฝาหอยไปจนถึงสาวแก่แม่หม้ายที่หอยเท่าฝ่ามือ เฮ้ย!
โทษทีที่พูดถูก เฮ้ย! ขอโทษที่กล่าวผิด เฮ้อ~
ช่วงนี้เรื่องราววุ่นวายแอดเลยมึนๆ ขออย่าได้เก็บเอามาใส่ใจ มะ!! เข้าเรื่องของเรากันดีกว่า
หากจะกล่าว เพื่อนๆที่ได้ผ่านตาข่าวการเมืองมาบ้าง ก็ดี หรือได้ฟังผ่านหูมาบ้าง ก็ดี คงจะพอคุ้นหูคุ้น ตา กับคำว่าฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวากันมาบ้างไม่มากก็ไม่น้อย
เอ้า! แล้วไอ้ฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาที่เขาพูดๆกันอยู่เนี้ย มันคืออะไร? มันมีที่มาอย่างไร? เพื่อนๆเคยสงสัยกันบ้างไหม?
วันนี้มาหาคำตอบกัน...
การแบ่งแยกเรียกขานตราหน้าว่าใครเป็น “ฝ่ายซ้าย” หรือ “ฝ่ายขวา” มีกันนมยานนานมาแล้ว
ที่โดดเด่นที่สุดคือในยุคสงครามเย็นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนสิ้นสุดลงเมื่อสัก 10 ปีมานี้เอง ในยุคนั้น “ฝ่ายซ้าย” คือบุคคลหรือประเทศที่เดินแนวทางสังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์ ส่วน “ฝ่ายขวา” คือบุคคลหรือประเทศที่เดินแนวทางทุนนิยมเป็นหลัก
แต่จุดเริ่มต้นจริงๆของการแบ่งแยกเป็น “ซ้าย” กับ “ขวา” ไม่ใช่เรื่อง “สังคมนิยม” กับ “ทุนนิยม” หรอกนะครับ
หากแต่เป็นเรื่องของ “ความคิดใหม่” กับ “ความคิดเก่า” เป็นสำคัญ
(ที่ว่า “ใหม่” กับ “เก่า” ข้างต้น ไม่ได้พูดถึงประเด็นถูกหรือผิดนะครับ)
จุดเริ่มต้นมาจากการจัดที่นั่งในการประชุมสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. 1789 (The French National Assembly of 1789)
เวลานั้นถือว่าเป็นช่วงต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ลือลั่นสนั่นโลก
การประชุมสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสในครั้งนั้นได้จัดให้กลุ่มขุนนาง นักบวช นั่งอยู่ฝั่งขวาของประธานในการประชุม
กลุ่มเหล่านี้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม (Conservative) ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งนี้เพราะต้องการดำรงสิทธิ อำนาจ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ของตนเอาไว้
ในขณะที่นั่งฝั่งซ้ายถูกจัดให้กับพวกสามัญชน
สามัญชนเป็นผู้มีแนวคิดต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมา ถูกกดขี่ ขูดรีด และลิดรอนสิทธิมาโดยตลอด !
การจัดแบ่งที่นั่งฝั่งซ้าย-ฝั่งขวาของประธานในที่ประชุมตามแนวคิดทางการเมืองเช่นนี้ ได้เริ่มแพร่กระจายไปตามประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ทำให้เกิดประเพณีการจัดที่นั่งการประชุมรัฐสภา ยกฝั่งขวาให้กับผู้มีแนวคิดในเชิงอนุรักษ์นิยม (Conservative) ส่วนที่นั่งฝั่งซ้ายสำหรับผู้มีแนวคิดเสรีนิยม (Liberal) ที่ถือเป็นแนวคิดใหม่ แนวคิดก้าวหน้า และแนวคิดเชิงปฏิวัติ ในขณะนั้น
ต่อมา ในยุคสงครามเย็น คำว่า “ฝ่ายซ้าย” กับ “ฝ่ายขวา”ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่กล่าวข้างต้น
ทีนี้หันมามองบ้านเรากันบ้าง
หากจะกล่าวบ้านเราแนวคิดฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาหากจะเปรียบก็ขอนำไทยและสเปนมาเป็นคู่เปรียบเทียบที่มีนัยสำคัญทางรัฐศาสตร์
ในงานเขียนเรื่อง "The Source of Democratic Consolidation" (2002) ของ Gerald Alexander ได้ประดิษฐ์กลไกความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (Causal Mechanism) โดยตั้งสมมุติฐานว่า ความพึงพอใจของฝ่ายขวา (Rightist Preference) ทั้งความปลอดภัยในรายได้ทรัพย์สินและความมั่นคงเชิงกายภาพใต้สภาวะเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ย่อมส่งผลกระทบต่อรูปแบบการปกครองและการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบประชาธิปไตย โดย Alexander ได้เลือกสเปนช่วงสงครามกลางเมืองในทศวรรษ 1930 กับช่วงเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยหลังระบอบฟรังโกในปี ค.ศ. 1978 เป็นกรณีศึกษาหลัก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง Alexander มองว่าหากกลุ่มพลังฝ่ายขวารู้สึกว่าสถานภาพและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองของฝ่ายตน มิได้ถูกคุกคามมากนักจากขบวนเคลื่อนไหวปฏิวัติฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา มักมีแนวโน้มที่จะยอมรับหรืออดทนอดกลั้นต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
แต่หากเมื่อใดที่การเคลื่อนไหวทางฝ่ายซ้ายส่งผลต่อความเสี่ยงในในลักษณะที่ว่าฐานอำนาจชนชั้นนำฝ่ายขวาหรือฐานรายได้ทรัพย์สินประชาชนฝ่ายขวาย่อมถูกคุกคามจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอันเป็นผลจากการก่อหวอดปฏิวัติของฝ่ายซ้าย
เมื่อนั้นกลุ่มฝ่ายขวาย่อมเลือกที่จะสนับสนุนระบบอำนาจนิยมหรือชักชวนให้ทหารออกมาทำรัฐประหารเพื่อสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่(คุ้นๆเหมือนเคยเห็นแถวๆนี้แหะ)
นอกเรื่องมาพอสมควรกลับมาๆ
ฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาใช่ไหม ก็กล่าวได้ว่าบทบาทหรือคำเรียกขานบทนิยามของฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา อาจแตกต่างกันในแต่ละบริบทของแต่ละประเทศ
ฝรั่งเศสสมัยก่อนอาจนิยายฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาแบบหนึ่ง อเมริกาอาจจะให้นิยามฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาอีกแบบหนึ่ง ไทยก็อาจจะให้นิยามอีกแบบหนึ่ง
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเรียกขาน
การแบ่ง “ฝ่ายซ้าย” หรือ “ฝ่ายขวา” จึงเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง (Political Discourse) ประเภทหนึ่ง ไม่อาจอรรถาธิบายลักษณะแนวคิดได้ชัดเจนตายตัว
ส่วนตัวแอดนั้นหลังจากนั่งพินิจมาสักระยะหนึ่งก็ได้ผลออกมาว่า แอบเบ้ซ้ายหน่อยๆ...
ของท่านผู้อ่านละครับเบ้ไหน...
reference : Wikipedia
: ตุลภาค
โฆษณา