7 มิ.ย. 2019 เวลา 10:59 • ท่องเที่ยว
สงสัยจังน้อ? ทำไมบางสนามบินก็ตรวจค้นละเอียด บางที่ก็ไม่ค้นมากมาย
สนามบินเป็นเป้าหมายโจมตีที่ผู้ก่อการร้ายสมัยใหม่นิยม เนื่องจากเป็นที่รวมของทั้งชีวิตผู้คนและทรัพย์สิน และหากทำการยึดอากาศยานหรือไฮแจ็คได้สำเร็จ จะก่อให้เกิดความสูญเสียที่รุนแรงตามมามากมาย ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกกันว่า “September 11 attacks”
9/11 attacks
เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่สงบในบางพื้นที่ ก็จะส่งผลให้สถานที่สำคัญหลายๆแห่งต้องเพิ่มมาตรการป้องกันเหตุร้าย
การตรวจค้นนั้นไม่ใช่เฉพาะแค่ค้นหาวัตถุอันตราย แต่เป็นการค้นดูว่าเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ด้วย
สนามบินกำหนดระดับการรักษาความปลอดภัยเป็น 3 ระดับ ตามแต่สถานการณ์ในขณะนั้น
Normal Security Measures (Green) or Threat Level I
ระดับการรักษาความปลอดภัยปกติ (สีเขียว) หรือภัยอันตรายเลเวล 1
ในระดับนี้จะเป็นการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ต้องมี เช่น
ออฟฟิศทั้งหลายต้องมีการป้องกัน อาจจะเป็นการให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าทางเข้าออก หรือมีระบบล็อกอัตโนมัติ
พนักงานทุกคนต้องมีบัตรพนักงานที่ออกโดยต้นสังกัดแสดงให้เห็นเสมอ
สำหรับ Visitors ต้องมีการแลกบัตรชั่วคราว และแสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลาที่เข้าไปในสถานที่นั้นๆ
เครื่องตรวจโลหะก็อาจจะตั้งค่าในการตรวจจับไม่ละเอียดมาก ต้องเป็นวัตถุใหญ่พอสมควรจึงจะดัง
Enhanced Security Measures (Amber) or Threat Level II
ระดับการรักษาความปลอดภัยที่มากขึ้น (สีอำพัน) หรือภัยอันตรายเลเวล 2
ระดับนี้จะมีการตรวจบัตรพนักงาน และค้นสิ่งของของทุกคนที่เข้าออกในสถานที่นั้นๆด้วย
ต้องตรวจสอบจดหมายและพัสดุที่ส่งเข้ามาทุกชิ้น
1
และถ้าเป็นไปได้ ควรมีระบบบันทึกการสนทนาของโทรศัพท์ด้วย
เครื่องตรวจโลหะจะตรวจจับโลหะละเอียดขึ้น บางครั้งเครื่องก็ดังทั้งๆที่ครั้งก่อนไม่ดัง อันนี้อยู่ที่การตั้งค่าการตรวจจับครับ
Alert Security Measures (Red) or Threat Level III
ระดับการรักษาความปลอดภัยแบบเฝ้าระวัง (สีแดง) หรือภัยอันตรายเลเวล 3
ระดับนี้จะต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยแต่ละบริษัทจะต้องจัดหาเพิ่มเติม
มีการซ้อมอพยพในเหตุฉุกเฉินตามวงรอบ ซึ่งก่อนการอพยพจะต้องทำการเก็บรักษาเอกสารและทรัพย์สินของบริษัทให้ปลอดภัยก่อนอพยพด้วย
บางสนามบินที่มีภัยคุกคามและมีจำนวนผู้โดยสารเยอะ จะมีการติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์ไว้ด้วยซึ่งจะเห็นทะลุปรุโปร่งเลยล่ะครับ
อุต๊ะ!!!
เครื่องจับโลหะจะตั้งระดับการตรวจจับไว้ที่ความละเอียดสูงสุด และต้องถอดรองเท้าเข้าตรวจในเครื่องเอ็กซเรย์ด้วย
กระเป๋าและสัมภาระอาจจะถูกเปิดตรวจสอบได้ ถ้ากระเป๋าท่านเป็นล็อกแบบ TSA เจ้าหน้าที่จะเปิดได้ แต่ถ้าไม่ใช่เขาอาจจะต้องตัดแม่กุญแจของท่านได้ถ้าเขาต้องการตรวจ
เครื่องหมาย TSA สี่เหลี่ยมสีแดง
สาเหตุที่ต้องทำการเอ็กซเรย์รองเท้านั้น เนื่องจากเคยมีเหตุผู้โดยสารคนหนึ่ง ชื่อนายริชาร์ด รี้ด พยายามจะระเบิดเครื่องบิน
Richard Colvin Reid ได้ฉายาว่า Shoe Bomber เนื่องจากเหตุการณ์ที่เขาตั้งใจก่อการร้ายด้วยการซ่อนระเบิดไว้ในส้นรองเท้าผ้าใบ โดยนายรี้ดเป็นคนสัญชาติอังกฤษโดยกำเนิด แต่พ่อของเขาเป็นชาวจาไมก้าอพยพและยังเป็นเครือข่ายก่อการร้ายด้วย
ภายหลังรี้ดเปลี่ยนมาเป็นอิสลาม และเข้าร่วมเป็นสมาชิก อัล-เคด้า
ภาพจาก Wikipedia
ในวันที่ 22 ธันวาคม 2001 เขาได้โดยสารไปกับเที่ยวบินของอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 63 เดินทางจากปารีสไปไมอามี่ แต่เนื่องจากก่อนขึ้นเครื่องนั้นมีฝนตกในกรุงปารีส ทำให้สายชนวนเปียกน้ำ
AA airline
รี้ดผ่านด่านรักษาความปลอดภัยของสนามบินได้ทุกด่าน จนขึ้นไปบนเครื่องบินแล้ว แต่เนื่องจากสายชนวนที่เปียกน้ำ ทำให้ระเบิดไม่ทำงาน
รี้ดพยายามอยู่นานที่จะจุดระเบิดโดยมีการใช้ไม้ขีดไฟจุด ทำให้มีผู้โดยสารได้กลิ่นไหม้ ลูกเรือได้เข้าไปเตือนรี้ดว่าห้ามสูบบุหรี่
ภายหลังเขามีเรื่องทะเลาะกับผู้โดยสารอีกคนหนึ่ง เนื่องจากรี้ดเอนเบาะรบกวนเขาหลายครั้ง จึงเห็นว่ารี้ดพยายามทำอะไรบางอย่างกับรองเท้าของเขา ซึ่งมีสายทองแดงเชื่อมต่อกับเชือกผูกรองเท้า และยังมีไม้ขีดไฟที่จุดไปแล้วจำนวนมาก
ผู้โดยสารหลายคนจึงช่วยกับจับเขามัดไว้ด้วยสายรัดข้อมือ เครื่องบินจึงต้องขอไปลงที่ Logan international airport ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์แทน
รองเท้าของรี้ดนั้นมีระเบิด C4 ขนาด 10 ออนซ์ (283 กรัม) ซึ่งเพียงพอที่จะทำลายโครงสร้างของเครื่องบินจนทำให้เครื่องตกได้
รองเท้าที่รี้ดทำการดัดแปลง
หลังจากขึ้นศาล รี้ดถูกตัดสินว่ามีความผิดใน 8 ข้อหา และต้องโทษจำคุก 110 ปี ปรับข้อหาละ $250,000 รวมทั้งหมดเป็น $2 ล้าน
เพราะเหตุการณ์นี้ ทำให้บางสนามบินต้องทำการถอดรองเท้าก่อนเดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์นั่นเอง
โฆษณา