12 มิ.ย. 2019 เวลา 04:35 • ศิลปะ & ออกแบบ
🎭 ละครตลกกับบทละครยาวเหยียด 🎬
ย้อนกลับไปครั้งที่ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ผมได้ลิ้มรสกับวรรณคดีฝรั่งเศสมาทุกยุคทุกสมัย ผมและเพื่อนๆก็พากันทำหน้าเจื่อนๆไปตามกัน เพราะเรียนวรรณคดี 3 เทอมกันเลยทีเดียว จนอาจารย์ปรารภออกมาว่า “ผมว่าพวกคุณเรียนวรรณคดีกันเยอะไป” ผมก็มองว่ามันก็เยอะจริงๆ เยอะจนผมต้องมีคดีความกับอาจารย์วรรณคดีฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่ง... กลับมาที่เรื่องที่จะกล่าววันนี้ดีกว่า ระหว่างเรียนผมได้ไปรู้จักกับ Molière (โมลีแยร์) หรือ Jean-Baptiste Poquelin (ฌ็อง บัปติสต์ ปอเกอแล็ง) รู้จักกันผ่านตัววรรณคดีนะครับ ถ้ารู้จักกันซึ่งๆหน้าเนี่ย เกรงว่าหัวจะโกร๋นกันยกห้องเป็นแน่ เขาผู้นี้เป็นกวีสมัยศตวรรษที่ 17 บนแผ่นดินพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือที่รู้จักกันในพระนาม กษัตริย์อาทิตยราช (le Roi Soleil)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
โมลีแยร์เป็นกวีสุขนาฏกรรม ความโด่งดังและกลวิธีการประพันธ์เทียบเท่ากับ Shakespeare ของฝั่งอังกฤษก็ว่าได้ แต่ของ Shakespeare จะเป็นแนวโศกนาฏกรรม อีกทั้งยังมีการขนานนามว่า Langue de Molière ภาษาของโมลีแยร์ ซึ่งหมายความว่า ภาษาฝรั่งเศส ส่วน Langue de Shakespeare ภาษาของเชคสเปียร์ ก็จะหมายความว่า ภาษาอังกฤษ อีกด้วย
Jean-Baptiste Poquelin หรือ Molière
โมลีแยร์เกิดเมื่อปีค.ศ.1622 (พ.ศ.2165) ในครอบครัวช่างทำพรมให้กับราชสำนักอยู่ที่ปารีส เข้าศึกษาที่วิทยาลัยเยซูอิต หลังจากนั้นก็ไปศึกษาวิชานิติศาสตร์ที่ออร์เลออง พออายุ 21 ปี ได้รู้จักกับ Madeleine Béjart (มาดแลน เบฌาร์) แล้วก็ร่วมกันสร้างคณะละคร Illustre Théâtre (อิลลูสท์ เตอาทร์) ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1644 (พ.ศ.2187) และพากันเดินสายตระเวนแสดงทั่วประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งปีค.ศ.1658 (พ.ศ.2201) โมลีแยร์กลับมาถึงปารีสและได้แสดงละครต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงรับโมลีแยร์เป็นกวีประจำราชสำนัก
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสวยพระกระยาหารร่วมกับโมลีแยร์
ผลงานของโมลีแยร์มีมากมายหลายเรื่อง ล้วนเป็นสุขนาฏกรรมทั้งสิ้น แต่บทละครที่ผมเรียนก็คือเรื่อง L’avare (ลาวาร์) แปลว่า คนตระหนี่ เป็นละคร 5 องก์ และในส่วนที่ผมเรียนนั่นก็คือ Monologue d’Harpagon คือ บทพูดคนเดียวของตัวละครที่ชื่อ “อาร์ปากง” ซึ่งฉากนี้เป็นฉากที่อาร์ปากงตามหาหีบเงินที่ตนซ่อนไว้ในสวนที่หายไป จึงเอ็ดตะโรลั่นบ้าน จนแทบจะเป็นบ้า และนี่คือตัวบทละครจากองก์ที่ 4 ฉากที่ 7 ที่ว่า
Au voleur ! au voleur ! à l’assassin ! au meurtrier ! Justice, juste Ciel ! Je suis perdu, je suis assassiné, on m'a coupé la gorge, on m'a dérobé mon argent. Qui peut-ce être ? Qu'est-il devenu ? Où est-il ? Où se cache-t-il ? Que ferai-je pour le trouver ? Où courir ? Où ne pas courir ? N'est-il point-là ? N'est-il point ici ? Qui est-ce ? Arrête. Rends-moi mon argent, coquin... (il se prend lui-même le bras.) Ah ! c'est moi. Mon esprit est troublé, et j'ignore où je suis, et ce que je fais. Hélas ! mon pauvre argent, mon pauvre argent, mon cher ami ! on m'a privé de toi ; et puisque tu m'es enlevé, j'ai perdu mon support, ma consolation, ma joie ; tout est fini pour moi, et je n'ai plus que faire au monde ! Sans toi, il m'est impossible de vivre. C'en est fait, je n'en puis plus ; je me meurs, je suis mort, je suis enterré. N'y a-t-il personne qui veuille me ressusciter, en me rendant mon cher argent, ou en m'apprenant qui l'a pris ? Euh ? que dites-vous ? Ce n'est personne. Il faut, qui que ce soit qui ait fait le coup, qu'avec beaucoup de soin on ait épié l’heure ; l'on a choisi justement le temps que je parlais à mon traître de fils. Sortons. Je veux aller quérir la justice et faire donner la question à toute ma maison : à servantes, à valets, à fils, à fille, et à moi aussi. Que de gens assemblés ! Je ne jette mes regards sur personne qui ne me donne des soupçons, et tout me semble mon voleur. Eh ! de quoi est-ce qu'on parle là ? De celui qui m'a dérobé ? Quel bruit fait-on là-haut ? Est-ce mon voleur qui y est ? De grâce, si l'on sait des nouvelles de mon voleur, je supplie que l'on m'en dise. N'est-il point caché là parmi vous ? Ils me regardent tous, et se mettent à rire. Vous verrez qu'ils ont part, sans doute, au vol que l'on m'a fait. Allons vite, des commissaires, des archers, des prévôts, des juges, des gênes, des potences et des bourreaux. Je veux faire pendre tout le monde ; et si je ne retrouve mon argent, je me pendrai moi-même après.
เป็นอย่างไรบ้างครับ ทั้งฉากตัวละครตัวเดียวพูดทั้งหมดนี้เลย บางท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าพูดอะไรบ้าง ผมก็ยินดีที่จะแปลให้เข้าใจตามอัตภาพและอรรถรสนะครับ (หยาบคายนิดหน่อยอย่าว่ากันนะครับ)
ขโมย! ขโมย! คนร้าย! ฆาตกร! ตำรวจ พระผู้เป็นเจ้า! ฉิบหายหมดแล้ว กูโดนฆ่าแล้ว ไม่รู้ใครมาตัดคอกู ใครมาเอาเงินกูไป จะเป็นใครดีล่ะ มันเป็นใคร มันอยู่ไหน มันซ่อนอยู่ไหน จะทำยังไงดี วิ่งไปไหนดี หรือไม่วิ่งไปไหนดี ตรงนี้ก็ไม่มีเหรอ นี่ก็ไม่มีเลยหรือไง นั่นใคร หยุดนะ เอาเงินกูคืนมาเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย... (แล้วจับแขนตัวเอง) อ้าว! กูเองนี่หว่า ในหัวมันวุ่นวายไปหมดละ ฉันไม่สนว่าฉันอยู่ไหนและฉันทำอะไรด้วย โธ่เอ๊ย! เงินที่น่าสงสารของฉัน เงินที่น่าสงสารของฉัน เพื่อนรักของฉัน! ไม่รู้ว่าใครพรากเธอไปจากฉัน และตั้งแต่เธอไปจากฉัน ฉันสูญเสียคนสนับสนุน คนปลอบขวัญ คนที่ทำให้ฉันมีความสุข ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว และฉันไม่อยากจะอยู่ต่อบนโลกใบนี้อีกแล้ว! ไม่มีเธอ ฉันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป จบแล้ว ฉันไม่สามารถอยู่ได้แล้ว ฉันกำลังตาย ฉันตายแล้ว ฉันถูกฝังแล้ว ไม่มีใครคิดจะทำให้ฉันฟื้นด้วยการคืนเงินฉันหรือบอกฉันว่าใครเอาไปเลยเหรอ ฮะ คุณว่าอะไรนะ ไม่มีใครเลยเหรอ เอาล่ะ ไม่ว่าใครก็ตามที่เอาเงินกูไป กูจะต้องสอบสวนอย่างละเอียด โดยจะเริ่มจากเลือกช่วงเวลาที่กูกำลังตกลงกับลูกกูก่อน ไปกันเถอะ กูจะไปสถานีตำรวจ และสอบสวนกับทุกคนในบ้าน คนใช้ ขี้ข้า ลูกชาย ลูกสาว และตัวกูด้วย (มองไปทางคนดู อย่าลืมว่านี่เป็นบทละครเวทีนะครับ) คนมันเยอะอะไรขนาดนี้! ผมจะจับตาดูพวกคุณซึ่งมีพิรุธ และทุกคนต้องสงสัยว่าเป็นขโมย เฮ้ย! ทางนั้นคุยอะไรกัน พูดถึงขโมยกันหรือเปล่า เสียงอะไรข้างบนน่ะ ขโมยอยู่ตรงนั้นเหรอ ได้โปรดเถิด ถ้าใครรู้เรื่องขโมย บอกผมเถอะ ผมกราบล่ะ มันไม่ได้ซ่อนอยู่กับพวกคุณเลยเหรอ พวกเขาต่างมองมาที่ฉัน และพากันหัวเราะใส่ พวกคุณก็จะโดนร่างแหเดียวกันกับผมแน่นอน ไปเร็ว ตำรวจ พลธนู สารวัตรทหาร ผู้พิพากษา แท่นทรมาน ที่แขวนคอ และเพชฌฆาต ฉันอยากจะแขวนคอทุกๆคน และถ้าฉันไม่เจอเงินของฉัน ฉันก็จะแขวนคอฉันเองตามไปด้วย
ผมขออภัยอีกครั้งที่ใช้คำไม่สุภาพ เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกถึงอรรถรสและอากัปกิริยาของคนที่คลั่งเพราะหีบเงินหาย เห็นไหมครับว่า อาร์ปากงนั้นคลั่งขนาดไหน คลั่งจนพูดผิดๆถูกๆ อย่างตรงที่ว่า “วิ่งไปไหนดี หรือไม่วิ่งไปไหนดี” หรือ คว้าไปจับแขนตัวเองแล้วว่าเป็นขโมย โมลีแยร์ต้องการจะสื่อว่าอาร์ปากงมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเงิน เสมือนกับเงินเป็นบุคคลหนึ่งๆ ด้วยความโลภ ความหลงใหลในเงินของอาร์ปากงที่รักมากกว่าลูกๆ จึงทำให้กลายเป็นพ่อที่ไม่น่าเคารพ น่ารังเกียจ และเข้ากับคนในครอบครัวไม่ได้ ใจความของบทละครอันยาวเหยียดนี้ ก็คืออาร์ปากงเผชิญกับปัญหา (หีบเงินหาย) จนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ในหัวสับสนไปทุกอย่าง และกลายเป็นคนบ้า แต่เสน่ห์ของบทละครนี้คือ การได้ “แซะ” ความขี้เหนียว ความต้องการเงิน (ซึ่งหาได้ยากมาก) ของคนสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพ่อค้า จนต้องขนานกันว่า “ในขณะที่ท้องพระคลังยังว่างเปล่า แต่พ่อค้ากลับมีเงินเยอะที่สุด” โมลีแยร์จึงต้อง “แซะ” คน (ขี้เหนียว) เหล่านี้ (ผมคิดว่าโมลีแยร์คงจะหมั่นไส้คนแบบนี้มาก) และท้ายที่สุดในละครเวทีเรื่อง L’Avare นี้ โมลีแยร์รับบทเป็น “อาร์ปากง”...
อาร์ปากง รับบทโดย Louis de Funès ใน L'Avare เมื่อปี 1980 (พ.ศ.2523)
Il faut manger pour vivre et non pas vivre pour manger.- L'Avare Acte III, Scène 1
"จงกินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน"
โฆษณา