10 มิ.ย. 2019 เวลา 12:35 • กีฬา
ไม่มีใครอยู่ยั้งยืนยง ในเมื่อสมาคมฟุตบอลของประเทศนี้มีการเลือกตั้ง ถ้าหากหมดวาระแล้ว บอลไทยไม่มีการพัฒนา ต่อให้มีอำนาจแค่ไหนก็คงต้องไป วิเคราะห์บอลจริงจังจะวิเคราะห์ให้ฟัง
"ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า"
ประโยคด้านบนนี้ยังใช้การได้เสมอไม่ว่าจะยุคไหน
คนบางคนมีอำนาจมาอย่างยาวนาน จนเราไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาลงจากตำแหน่งได้ แต่เชื่อไหมว่าถึงวันหนึ่งอำนาจนั้นก็หมดสิ้นลงไป
และเมื่ออำนาจหมดไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็จะมาถึง
สำหรับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เคยมียุคของวรวีร์ มะกูดีที่ครองอำนาจมานานถึง 8 ปี
ณ จุดนั้นหลายคนก็คิดว่า เราคงไม่มีทางหลุดพ้นจากบังยีได้หรอก เลือกตั้งนายกฯทีไร บังยี ก็ได้อันดับ 1 ทุกที
ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะวรวีร์มีอำนาจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาเป็นฟีฟ่าเมมเบอร์ มีสิทธิโหวตเลือกเจ้าภาพฟุตบอลโลก รวมถึงมีคอนเน็คชั่นที่ดีกับกลุ่มอาหรับ
ในสมัยยังหนุ่ม เขาเคยเป็นผู้เล่นสโมสรธนาคารกรุงเทพมาก่อน จากนั้นก็ทำงานเกี่ยวกับวงการฟุตบอลมาตลอด เป็นรองเลขาสมาคม ยุคชลอ เกิดเทศ จากนั้นพอเข้าสู่ยุควิจิตร เกตุแก้ว วรวีร์ก็ถูกดันเป็นเลขาสมาคมฯแทน
ผลงานที่เด่นที่สุดของวรวีร์ สมัยเป็นเลขาสมาคม คือช่วยผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน ในปี 1996 ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น AFF Suzuki Cup
การคิดค้นรูปแบบเอาชาติอาเซียนจับมาแข่งขันกันแบบเป็นทัวร์นาเมนต์ ถือเป็นสิ่งใหม่ของวงการฟุตบอลระดับภูมิภาค ณ ขณะนั้น นั่นทำให้วรวีร์ ได้รับเครดิตอย่างมาก จนชาติสมาชิกในเอเชีย สนับสนุนให้เขาก้าวขึ้นเป็นฟีฟ่า เมมเบอร์ และ กรรมการบริหารของ AFC พร้อมกันสองตำแหน่งในปี 1997
นอกจากนั้น เขาก็ยังสร้างผลงานเด่น ด้วยการดึงเอาทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ มาแข่งกระชับมิตรกับทีมชาติไทยได้อีกด้วย ในเดือนธันวาคมปี 2004
โดยก่อนหน้านั้นเยอรมันกำลังต้องการคะแนนเสียง เพื่อการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2006 โดยกำลังบี้อยู่กับอีกหนึ่งแคนดิเดทคือแอฟริกาใต้ ซึ่งวรวีร์เป็นคนมีสิทธิโหวต ในฐานะฟีฟ่าเมมเบอร์ ซึ่งเขาตัดสินใจโหวตให้เยอรมัน แลกกับการที่เยอรมันชุดใหญ่ต้องมาแข่ง 1 นัดกับทีมชาติไทยที่ราชมังคลากีฬาสถาน
นั่นทำให้แฟนบอลไทย ได้โอกาสเห็นผู้เล่นระดับโลกแบบเต็มๆตา เกมนั้น บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม และแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ ลงเป็นตัวจริง ก่อนที่จะถล่มไทย 5-1
ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย การได้เจอกับเยอรมันครั้งนี้ และบราซิลชุดใหญ่ในปี 2000 ถือเป็นที่สุด ของเกมอุ่นเครื่องแล้ว
ด้วยชื่อเสียงและผลงานที่ดีของวรวีร์ พอในอีก 10 ปีต่อมา กระแส VJ Out มาแรง ในที่สุดวิจิตร ก็ยอมลงจากตำแหน่ง และกลายเป็นวรวีร์ที่สืบทอดอำนาจ ขึ้นมาเป็นนายกสมาคมคนใหม่ในปี 2007
เราจะเห็นว่า Career Path ของวรวีร์ อยู่ในวงการฟุตบอลมาตลอด และมีผลงานจับต้องให้เห็น นั่นทำให้ช่วงแรกๆ คนในวงการ "พอจะยอมรับ" ได้บ้าง คือไม่ใช่ว่า เป็นใครที่ไหนไม่รู้
ยิ่งวรวีร์ได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของสมาคมฟุตบอล เขายิ่งมีพาวเวอร์มากขึ้น
เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสโมสรสมาชิกที่มีสิทธิโหวต และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชนในประเทศ
นั่นทำให้ในการเลือกตั้งหานายกสมาคมปี 2008 ผู้มีสิทธิโหวตทั้งหมด 123 คน โหวตให้วรวีร์ ได้เป็นนายกสมัยที่ 2 อย่างเป็นเอกฉันท์ เขาจะได้ดำรงวาระต่อเนื่องไปอีก 3 ปี
อย่างไรก็ตามหลังจากเขาได้รับตำแหน่งนายกสมัย 2 ก็เริ่มมีปัญหามากขึ้นเรื่องระบบการจัดการต่างๆ ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่
ตัวอย่างเช่นมีข่าวว่า 12 มิถุนายน 2008 ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ไม่สามารถหาสนามซ้อมได้ ก่อนเกมเตะกับญี่ปุ่น ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทำให้นักเตะทีมชาติ ต้องซ้อมที่พื้นปูนหน้าสนามราชมังฯ
กันยายน 2009 สมาคมปฏิเสธคำเชิญลงแข่งเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติจีน ที่จะได้คะแนนฟีฟ่า แต่ไปเลือกเตะเกมอุ่นเครื่องกับฮองอัน ยาลาย และ ยาดาร์นาบอนของพม่าแทน ที่ภูเก็ต ซึ่งแน่นอนว่า ก็ไม่ได้คะแนนฟีฟ่า
ธันวาคม 2009 เชิญทีมชาติซิมบับเวย์มาแข่งกระชับมิตรกับทีมชาติไทย แต่ปรากฏว่า เป็นซิมบับเวย์ปลอม สุดท้ายฟีฟ่าไม่รับรองผลการแข่งขัน
มีนาคม 2010 สมาคมลืมทำวีซ่าเข้าประเทศอิหร่านให้นักเตะทีมชาติและสตาฟฟ์ จนต้องเดินเรื่องวุ่นวายเสียเวลาไป 3 ชั่วโมง
1
กุมภาพันธ์ 2011 ทีมฟุตบอลโอลิมปิกทีมชาติไทย ถูกสั่งปรับแพ้ปาเลสไตน์ เพราะส่งสุจริต จันทกล ที่โดนโทษแบนลงสนาม จริงๆแล้ว 2 เกมกับปาเลสไตน์ เราชนะด้วยสกอร์รวม 3-1 แต่พอปาเลสไตน์ประท้วงขึ้นมา ปรากฏว่าเราผิดจริง จึงโดนปรับแพ้ จนตกรอบไปเลย
โอลิมปิก 4 ปีครั้ง แต่ต้องมาตกรอบด้วยเหตุผลไร้สาระแบบนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อมาก
ส่วนผลงานในสนามก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเราไม่มีลุ้นอะไรเลย ส่วนซีเกมส์ก็ตกรอบแรก 2 สมัยซ้อน เช่นเดียวกับเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ก็ไม่ได้แชมป์เลยสักหน
ด้วยผลงานที่แย่แบบเข้าตาขนาดนี้ ทำให้ฐานเสียงของวรวีร์เริ่มไม่มั่นคงเหมือนก่อน มีคนตั้งคำถามในการบริหารงานของเขามากมาย
17 มิถุนายน 2011 วรวีร์หมดวาระสมัย 2 การเลือกตั้งนายกฯสมาคมวนมาถึง มีผู้สมัครเข้าชิงสามคน ได้แก่วรวีร์ มะกูดี ,วิรัช ชาญพานิชย์ และ พิเชฐ มั่นคง
วรวีร์ได้คะแนนโหวต 123 เสียง, วิรัชได้ 44 เสียง และพิเชฐได้ 1 เสียง แปลว่ายกนี้วรวีร์ยังคงชนะ ได้เป็นนายกต่อไปอีก 3 ปี
แต่สิ่งที่เราเห็นคือ จากเดิมที่เคยได้รับเสียงสนับสนุนแบบเป็นเอกฉันท์ในปี 2008 ผ่านมาสามปี ผู้คนเริ่มคลางแคลงใจในความสามารถของเขาแล้ว
ถึงตรงนี้ มีคนในวงการเริ่มต่อต้านวรวีร์อย่างเปิดเผย
หนึ่งในนั้นคืออรรณพ สิงห์โตทองและกลุ่มชลบุรี ที่ออกแถลงการณ์ว่า "สมาคมฟุตบอลไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง"
และออกมาเรียกร้องให้สมาคมเปิดเผยรายรับ รายจ่าย ให้ทุกคนได้ตรวจสอบเพื่อการนำเงินงบประมาณไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับวรวีร์ แน่นอนเขายังคงมีพาวเวอร์อยู่ แต่บุญเก่าสมัยที่เขาเป็นเลขาสมาคม ค่อยๆจะหมดลงเรื่อยๆ
ผลงานของเขาก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น ยังมีประเด็นให้คนวิจารณ์ได้ตลอด
เมษายน 2012 เนวิน ชิดชอบ ส่งจดหมายทวงถามเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ของไทยพรีเมียร์ลีก จำนวน 200 ล้านบาท แต่เมื่อเปิดงบของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก กลับมีรายได้เข้ามา 18 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งวรวีร์ก็ไม่ได้ตอบว่าเงิน 182 ล้านที่เหลือหายไปไหน
มิถุนายนปี 2012 ปลดอดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ ประธานฟุตซอลทีมชาติที่พาโต๊ะเล็กไทยไปสู่ระดับโลก โดยมีการวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะตอนโหวตเลือกนายกฯสมัย 3 บิ๊กป๋อมไปสนับสนุนฝั่งชลบุรี
ทำให้คนมองว่าวรวีร์ตั้งใจเช็กบิล โดยไม่สนใจสิ่งที่อดิศักดิ์ทำเพื่อฟุตซอลไทยมาตลอด 10 ปี
ในปี 2013 ทีมชาติไทยมีโปรแกรมฟีฟ่าเดย์ทั้งสิ้น 0 เกม ไทยมีแข่งลงแข่งเอเชียนคัพรอบคัดเลือกตามโปรแกรมเท่านั้น แต่สมาคมไม่สามารถติดต่อ ดีลกับทีมชาติของประเทศอื่นมาอุ่นเครื่องกับเราได้เลยแม้แต่เกมเดียว ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ คนเป็นโค้ชจะทำงานยังไง เกมอุ่นเครื่องอะไรก็ไม่มี
1
สถานการณ์ตอนนี้ บอลไทยเริ่มแบ่งเป็นขั้วมากขึ้น คือกลุ่มยังซัพพอร์ทวรวีร์ กับ กลุ่มไม่เอาวรวีร์
ปี 2013 นี่เอง ที่ทางฟีฟ่า ได้แนะนำให้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย "เปลี่ยน" ธรรมนูญของสมาคมเสียใหม่ เพื่อความโปร่งใส
ในอดีต จะมีสโมสรที่มีสิทธิโหวตเกือบ 200 สโมสร แต่หลังการตรวจสอบแล้ว มีหลายๆทีม ที่มีสิทธิโหวต แต่เป็นทีมที่ไม่อยู่ในสารบบของฟุตบอลลีกไปแล้ว เท่ากับว่าสโมสรที่ไร้ตัวตนเหล่านี้ มี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากับ ทีมอื่นๆ
สมาคมจำเป็นต้องมีการแก้ระบบการเลือกตั้งใหม่ โดยปรับเหลือสโมสรมีสิทธิโหวตแค่ 72 สโมสรเท่านั้น แบ่งเป็น
- ไทยลีก 18 ทีม
- แชมเปี้ยนชิพ 18 ทีม
- แชมป์และรองแชมป์ถ้วย ก ข ค ง 8 ทีม
- ทีมตัวแทนจากลีกภูมิภาค 30 ทีม
นั่นทำให้เดือนตุลาคม 2013 ได้มีการเลือกตั้งหานายกฯคนใหม่ครั้งแรก ภายใต้ธรรมนูญใหม่โดยวรวีร์ มะกูดี ต่อสู้ชิงชัย กับวิรัช ชาญพานิชย์คนเดิม
วรวีร์ เป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง ด้วยคะแนน 42-28 สามารถยึดตำแหน่งนายกได้ต่อไปเป็นสมัยที่ 4
ถึงจุดนี้จะเห็นว่าระบบการเลือกตั้ง เริ่มมีความโปร่งใสมากขึ้น และช่องว่างของคะแนนจากเดิมที่วรวีร์ถล่มคู่แข่งเป็นร้อยแต้ม คราวนี้ห่างกันแค่ 14 เท่านั้น
แรงสนับสนุนของวรวีร์ ที่เคยเข้มแข้ง เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ซึ่งก็สอดคล้องตามผลงานที่เกิดขึ้นนั่นเอง
1
ในช่วง 3 ปี 2013-2016 นี่เอง ที่วรวีร์เจอมรสุมหนักที่สุด
ในสนามไทยนั้นผลงานดี แต่นอกสนาม วรวีร์ยังคงมีสงครามกับชาวเน็ตเหมือนเดิม แรงสนับสนุนจากคนรอบข้างนั้นน้อยลงมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคดีความเรื่องปลอมแปลงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสมาคมกีฬาฟุตบอล จนถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ ตัดสินให้มีความผิด
ตุลาคม 2016 ทำให้ฟีฟ่า สั่งแบนวรวีร์ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอล 5 ปี ทำให้เขาหมดสิทธิที่จะลงสมัครเป็นนายกฯสมาคม สมัยที่ 5
(ในภายหลัง ก.พ.2019 ศาลกีฬาโลก ได้ยกเลิกโทษแบนของวรวีร์ เนื่องจากมองว่า วรวีร์ ทำผิดจริง แต่อยู่ในระดับเล็กน้อยเกินกว่าจะมีการแบน จึงยุติการแบน เหลือแค่ปรับเงิน 5000 ฟรังซ์สวิสเท่านั้น)
การโดนฟีฟ่าสั่งแบนในช่วงปลายปี 2016 ทำให้แน่นอนแล้วว่า นายกฯคนต่อไป ต้องไม่ใช่วรวีร์
คนลงสมัครที่ผ่านการรับรองจากสมาคมฯ มี 5 คน แต่มีแค่ 2 คนเท่านั้นที่เป็นตัวเต็ง
คนแรกคือ สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ที่ได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มบุรีรัมย์ และกลุ่มชลบุรี ใช้จุดขายคือนโยบายแฟร์ โปร่งใสตรวจสอบได้
ส่วนอีกคนคือ ชาญวิทย์ ผลชีวินที่ใช้ทีมงานชุดเดียวกับของวรวีร์ โดยมีนโยบายคือเลือกความสงบ ลดความขัดแย้ง เชื่อมความสามัคคี
ถึงแม้ชาญวิทย์จะยืนยันว่า ไม่ใช่นอมินีของวรวีร์ แต่การใช้ทีมงานกลุ่มเดียวกัน ก็จึงทำให้คนเชื่อไปในทิศทางนั้น
สุดท้ายการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2017 โดย 72 เสียงสมาชิก ให้สมยศมากถึง 62 เสียง ส่วนชาญวิทย์ได้เพียงแค่ 4 เสียงเท่านั้น เป็นอันว่า สมยศ ได้รับเลือกให้เป็นนายกฯสมาคมคนใหม่
และขั้วอำนาจของฟุตบอลไทยก็เปลี่ยนแปลงไป ณ จุดนี้
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ วงการฟุตบอลไทยยุคนี้มีความโปร่งใส
และนายกสมาคมที่ได้มา ก็มาจากการเลือกของตัวแทน 72 สโมสร ที่มีตัวตนจริงๆในสังคมฟุตบอลไทย
ดังนั้น กับในกรณีของสมยศ แน่นอนเขามีส่วนดีและส่วนเสีย
ส่วนดีคือ เขาพัฒนาฟุตบอลไทยให้เป็นระบบมากขึ้น การจัดการภายในมีความเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิม
ฟีฟ่าเดย์มีเตะครบ ส่วนเรื่องพื้นฐานวีซ่า โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน ไม่เคยมีพลาด
แต่ส่วนเสีย คือเรื่องผลงานในสนามซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฟุตบอล
โดยเฉพาะกับทีมชาติ ที่นับวันจะฟอร์มตกต่ำไปเรื่อยๆ ในคิงส์คัพก็แพ้ทั้งเวียดนาม และอินเดียคาบ้าน
จริงอยู่ว่าโค้ชที่จัดแผนก็ควรรับผิดชอบผลงาน แต่ถามว่าใครกันล่ะที่แต่งตั้งโค้ช ไม่ใช่นายกสมาคมหรอกหรือ?
กระแสตอนนี้เมื่อพูดถึงสมยศ จึงแตกเป็นสองข้างคือ ควรอยู่ต่อ และควรโดนไล่ออกทันที ซึ่งก็เข้าใจเหตุผลของทั้งสองฝั่งได้
ส่วนตัวผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องไล่ คือเขาได้รับเลือกมาก็ทำงานให้ครบวาระของตัวเองก่อน จากนั้นในปี 2020 เมื่อการเลือกตั้งอีกครั้งมาถึง ถ้าหากสโมสรสมาชิกมองว่า ฟุตบอลไทยมันตกต่ำลงเรื่อยๆ และมีตัวเลือกที่ดีกว่า มีนโยบายน่าสนใจกว่า คะแนนเสียงก็จะโดนเทไปอีกฝั่งหนึ่งเอง
ขนาดวรวีร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีพาวเวอร์ขนาดนั้น ถึงวันหนึ่งเมื่อคนเห็นว่า เขาไม่มีความสามารถพอจะยกระดับฟุตบอลไทยได้ ก็หมดบทบาทกับวงการไปอย่างสิ้นเชิง
1
มาวันนี้ถ้าวรวีร์ลงเลือกตั้งนายกฯอีกรอบ คงจะยากถ้าจะมีคนเทคะแนนเสียงให้ถล่มทลายเหมือนแต่ก่อน
สำหรับสมยศ อาจเข้ามาด้วยความตั้งใจจริงที่อยากเปลี่ยนแปลงฟุตบอลไทย แต่แค่ความตั้งใจอย่างเดียวมันไม่พอ ผลงานมันต้องจับต้องได้ด้วย
ถ้าทีมชาติยังย่ำแย่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ในการเลือกตั้งนายกฯสมาคมครั้งต่อไป ถามว่าคนจะโหวตให้เขา 62 แต้มเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรอ? ไม่หรอก สโมสรที่มีสิทธิโหวตก็ไม่อยากให้บอลไทยตกต่ำเช่นกัน
สัจธรรมที่เราเห็นคือในทุกวงการ ไม่เคยมีใครยืนหยัดไปได้ตลอด
ค่าของคนวัดที่ผลของงาน ถ้าผลงานล้มเหลว ถึงจุดหนึ่งก็จะไม่มีใครสนับสนุนสมยศอีก ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขับไล่กันตอนนี้ เพราะเขาไม่ออกอยู่แล้ว สิ่งที่แฟนบอลทำได้คือรออย่างใจเย็น จนถึงวันที่เขาหมดวาระ
และถ้ามันตกต่ำจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
เชื่อเถอะว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็จะพัดมาอีกครั้ง
#ฟุตบอลไทย
โฆษณา