13 มิ.ย. 2019 เวลา 17:07 • ปรัชญา
"สมาธิ หาใช่สิ่งอื่นใด..."
ในสมัยพุทธกาล
มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า
'พระจูฬปันถก'
ท่านออกบวชตามพี่ชาย
แต่แม้คาถาสั้นๆง่ายๆ
ท่านกลับไม่สามารถท่องได้
จึงขึ้นชื่อว่า พระผู้มีปัญญาทึบ
หนักข้อเข้า พี่ชายเห็นว่า
จะเอาดีทางธรรมไม่ได้
จึงขับไล่ให้ลาสึก
พระจูฬปันถกเศร้าโศกเสียใจมาก
จึงมายืนร้องไห้อยู่หน้าวัดชีวอัมพวัน
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาจึงตรัสว่า
“ท่านมายืนร้องไห้ด้วยเหตุอันใด”
พระจูฬปันถกจึงเล่าที่มา
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงมาอยู่กับเราเถิด”
เมื่อท่องค่ถาแม้เพียงง่ายๆไม่ได้
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนพระจูฬปันถก
จึงคือวิธีที่แยบคายที่สุด
พระพุทธองค์ทรงประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวให้
พร้อมรับสั่งให้พระจูฬปันถกลูบผ้าผืนนั้นไปเรื่อย
พร้อมภาวนาว่า ‘รโชหรณัง’ แปลว่า ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่น
ด้วยผ้าหนึ่งผืน และคาถาสั้นๆ ตรงๆตัว
พระจูฬปันถกก็มีจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรียบง่ายเบื้องหน้า
จนก่อให้เกิดสมาธิแลเห็นอนิจลักษณ์ของผ้าว่า
แม้จะเคยขาวสะอาด แต่เมื่อผ่านกาลเวลา ย่อมหมองคล้ำ
สมาธิอันน้อมนำสู่การเห็นไตรลักษณ์เช่นนี้
นำไปสู่การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระจูฬปันถก
ผู้เปลี่ยนแปลงตนเองจากผู้มีปัญญาทึบ
กลายเป็นพระอรหันต์ผู้มีความเป็นเลิศ
หรือเอตทัคคะในด้าน ‘มโนยิทธิ’ หรือผู้มีฤทธิ์ทางใจ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
วิปัสสนาจารย์ชาวไทยจึงกล่าวว่า
“สมาธิ หาใช่สิ่งอื่นใด
หากคือการทำสิ่งที่สุขใจให้จดจ่อยาวนาน
จนจิตยู่ในอาการตั้งมั่น”
นี่คือ เคล็ดลับสำคัญเบื้องต้นของการทำสมาธิธรรมดา
โดยมิต้องหลับตาภาวนาหรือท่องบ่นคาถาใดๆ
Cr.ภิญโญ. ไตรสุริยธรรมา
วิชาจิ๋ว
โฆษณา