20 มิ.ย. 2019 เวลา 05:03 • ประวัติศาสตร์
มาเฟียฮ่องกง เมื่อมาเฟียทำหนัง
ในยุค 80 และ 90 เป็นยุคที่หนังมาเฟียฮ่องกงเฟื่องฟูมาก โดยการกำกับของ จอห์น วู ฉีเคอะ แอนดรูส์ เลา ตู้ฉีฟง ภาพยนตร์ ทั้ง โหด เลว ดี กู๋ หว่า ไจ๋ สองคนสองคม ล้วนประสบความสำเร็จโด่งดัง ในยุคนั้นในวงการบันเทิงจะมีข่าวการเข้ามาของกลุ่มอิทธิพลมืดอยู่เบื้องหลังในวงการภาพยนตร์ฮ่องกงหลายต่อหลายครั้ง การข่มขู่ดารา เช่น การบังคับถ่ายภาพโป๊เพื่อแบล็คเมล์ของ หลิวเจียหลิง ผู้ช่วยสาววัย 26 ปีของหลิวเต๋อหัวได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลเมื่ออพาร์ตเมนต์ของเธอถูกวางระเบิดเพลิง ซ้ำยังมีดคีที่รุนแรงถึงชีวิต เมื่อผู้จัดการส่วนตัวของหลีเหลียนเจี๋ย(เจ็ท ลี) ถูกยิงเสียชีวิตในปี 1993
ในปี 2009 หลิวเต๋อหัวประกาศถึงการแต่งงานกับจู ลี่เชี่ยน และยอมรับผิดอีกทั้งให้เหตุผลว่าที่ต้องปกปิดเรื่องความรักของตนเพราะไม่ต้องการให้แฟนสาวพบกับเรื่องยุ่งยากเนื่องจากยุคหนึ่งวงการบันเทิงฮ่องกงถูกควบคุมโดยอิทธิพลมืดของมาเฟียซึ่งมักใช้ความปลอดภัยของครอบครัวคนรักของนักแสดงเป็นเครื่องมือต่อรองให้นักแสดงทำงานให้
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มมาเฟียในธุรกิจบันเทิงฮ่องกง
แล้วใครคือมาเฟียที่อยู่ในวงการบันเทิงฮ่องกงบ้าง ก่อนอื่นต้องเริ่มต้นถึงกำเนิดของกลุ่มมาเฟีย อย่างที่ทราบว่าชาวจีนมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนตามวัตนธรรมที่สืบต่อกันมาสำนัก พรรค ค่าย ในนวนิยายกำลังภายในล้วนเป็นภาพสะท้อนการดำรงอยู่เป็นกลุ่มก้อน อิทธิพลในแต่ละวงการต่างๆ
ย้อนกลับไปยังราชวงศ์แมนจูที่เกิดสมาคมลับที่ชื่อ “เทียนตี้ฮุ่ย” หรือ องค์กรสามเหลี่ยมสัจธรรมที่ประกอบด้วย ฟ้า ดิน และ มนุษย์ ที่ก่อตั้งกันขึ้นมาโดยอดีตแม่ทัพนายกองสมัยราชวงศ์หมิงเพื่อจะโค่นล้มและลอบสังหารคนสำคัญๆ ของชาวแมนจู ตามคติที่ว่า “โค่นชิง กู้หมิง”(ปรากฏในอุ้ยเสี่ยวป้อ ผลงานเรื่องสุดท้ายของท่านกิมย้ง) แม้ว่าสุดท้ายในยุคที่แมนจูรุ่งเรือง สมาคมลับดังกล่าวจะก่อการไม่สำเร็จ แต่อุดมการณ์ การจัดตั้ง และวิธีการเพื่อที่จะทำให้องค์กรลับที่ว่านี้อยู่เคียงคู่กับสังคมจีนก็ถูกก่อร่างสร้างตัวอย่างเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าทั้ง กรณีกบฎนักมวย กบฎกลุ่มอื่นๆ ที่ถูกแมนจูปราบก็ได้สมาคมลับฟ้าดินเป็นตัวประสานการก่อการทั้งสิ้น
จนกระทั่งในยุคที่ราชวงศ์แมนจูล่มสลาย จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีภัยคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกซึมเข้าสู่สังคมจีน บรรดาผู้มีอำนาจและกุมอำนาจรัฐในขณะนั้นก็ต้องสร้างองค์กรลับๆ ขึ้นมาเพื่อเข้าไปจัดการปัญหาการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์เช่นกัน จึงมีการก่อตั้ง “องค์กรสามเหลี่ยมสัจจะธรรม” หรือ Triads (ในภาพยนตร์ สองคนสองคม เรียกกลุ่มนี้ว่า ไตรภาคี) จากรากฐานเดิมในยุคสมัยก่อน
องค์ลับนี้เป็นตัวการสำคัญในการปฏิวัติจีน ภายหลังคนจีนแตกฉานซ่านเซ็นจากชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ กลุ่มอิทธิพลนี้ก็กระจัดกระจาย ออกไป ทั้ง ไต้หวัน ฮ่องกง และบางประเทศใหญ่ๆที่มีคนจีนอยู่อาศัยจำนวนมาก เพื่อเก็บค่าคุ้มครอง ดูแลกันเอง ไม่ให้กลุ่มอิทธิพลหรือคนชาติอื่นมารังแก
เรื่องราวของตำรวจและบรรดาแก๊งค์ทั้งหลายในฮ่องกงนั้นมีมาตลอดในวงการภาพยนตร์และเป็นความบันเทิงขนานใหญ่ที่ผู้ชมทั่วโลกชื่นชอบ ขณะที่ในชีวิตจริงทางตำรวจฮ่องกงก็ทำสงครามกับพวกแก๊งค์อย่างหนักอยู่ เพราะ ในแต่ละปีมีการจับผู้ร้ายในคดีก่ออาชญากรรมเป็นแก๊งค์ที่ว่านี้ราวๆ 2000 คดี (สถิติจากปี 2009)
ภายหลังจีนแผ่นดินใหญ่ได้รับส่งมอบเกาะฮ่องกงจากอังกฤษ และเห็นปัญหาแก๊งค์อิทธิพลในฮ่องกงเป็นปัญหาใหญ่จนต้องออกนโยบายที่แข็งกร้าวออกมาต่อต้านกับบรรดาแก๊งค์เหล่านี้ พวกเขาได้ออกนโยบายปราบปรามการก่ออาชญากรรมของแก๊งค์มาเฟียพวกนี้โดยต้องการจะลดสถิติการก่อความวุ่นวายให้ได้ 10 เปอร์เซนต์ต่อปีให้ได้ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
ใครบ้างที่ คนคิดว่าเขาคือมาเฟียที่อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงฮ่องกง God of Gamblers หรือที่ในชื่อไทย คนตัดคน ที่นำแสดงโดย โจวเหวินฟะ ในบท เกาจิ้ง ในหนังที่สร้างออกมาเป็นภาพยนตร์หลายภาค ที่ร่วมแสดงด้วยดารานักแสดงชื่อดังมากมายทั้ง หลิวเต๋อหัว, โจวซิงฉือ, หวังจูเสียน, กงลี่ แต่มีนักแสดงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่แสดงครบทั้ง 4 ภาค ได้แก่ ชาร์ล เฮียง ที่รับบทเป็น หลงอู่ บอดี้การ์ดของเกาจิ้ง ซึ่งเหตุผลที่เขามีบทบาทอยู่ในคนตัดคนทั้ง 4 ภาคก็เพราะบริษัท Win's Movie Production ที่ผลิตภาพยนตร์ชุดนี้ออกมาเป็นของเขานั่นเอง
ชาร์ล เฮียง เกิดมาในตระกูลมาเฟียที่คุมย่าน Sun Yee On แม้ที่ผ่านมาเขาพยายามจะแยกตัวออกมาจากภาพลักษณ์ของมาเฟีย เพื่อเป็นนักธุรกิจวงการบันเทิง แต่เขาก็เป็นที่รู้จักกันดีในวงการว่าเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลสูงสุดของฮ่องกง
เป็นที่รู้กันดีในหมู่แฟนหนังว่า ผลงานที่ออกมาจากบริษัทของ ชาร์ล เฮียง ไม่ว่าจะตั้งแต่ Win's Movie จนถึง China Star ของเขาต่างอุดมไปด้วยนักแสดงดังคับฟ้าของฮ่องกงทั้งสิ้น แม้เจ้าตัวจะเปิดเผยตลอดว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหล่านักแสดงชื่นชอบในตัวเขากันทั้งนั้น แต่ก็มีข่าวลือออกมาตลอดเช่นกันว่าด้วยอิทธิพลมืดที่ปกคลุมในวงการของเขานั่นเอง ที่เหล่านักแสดงได้รับ ข้อเสนอที่ปฎิเสธไม่ได้ จากเขามาแทบทั้งสิ้น ทั้งการที่ หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ เจ็ท ลี ซูเปอร์สตาร์กังฟูแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ เลือกที่จะเล่นหนังให้กับบริษัทของเขาเท่านั้น หลังจากที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อปี 1993 เช่นเดียวกับ หลิวเต๋อหัว ที่กลายเป็นนักแสดงประจำของ Win's Movie ไปโดยปริยาย หลังจากที่ผู้ช่วยสาววัย 26 ปีของเขาได้รับบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลเมื่ออพาร์ตเมนต์ของเธอถูกวางระเบิดเพลิง ซึ่งเจ้าหน้าที่ฮ่องกงต่างเชื่อว่า 2 เหตุการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งค์มาเฟียแน่นอน
อัลเบิร์ต เหลียง ก็เป็นอีกคนนึงที่คนฮ่องกงมองว่าเขามีส่วนกับอิทธิพลมืดเช่นเดียวกันกับ ชาร์ล เฮียง
เขาเริ่มต้นเปิดกิจการร้านนาฬิกาในปี 1964 จนขณะนี้คือจักรพรรดิแห่งธุรกิจนาฬิกา และเครื่องประดับ ธุรกิจของ อัลเบิร์ต เหลียงภายใต้การบริหารของ Emperor Group อันยิ่งใหญ่ ยังมีผลประโยชน์อยู่ในการลงทุนด้าน ภาพยนตร์, โรงแรม, ดนตรี และร้านอาหาร ผู้ครองตำแหน่งผู้มั่งคั่งที่สุดอันดับ 31 ของฮ่องกง จากการจัดอันดับโดย Forbes ด้วยทรัพย์สินถึง 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 40,000 ล้านบาท
อัลเบิร์ต เหลียง เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของ คิมยองอิล ผู้นำของเกาหลีเหนือ ความสนิทสนมครั้งนี้เอื้อประโยชน์ในการเข้าไปลงทุนในดินแดนคอมมิวนิสต์แห่งนั้น เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ต่อรัฐบาลจีน ที่คอยทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ต่อการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับแก๊งนอกกฎหมายของเขาตั้งแต่เข้ามาอยู่ในธุรกิจวงการบันเทิง อัลเบิร์ต เหลียง ถูกดำเนินคดีมาแล้วมากมาย ทั้งการปั่นตัวเลขยอดขายของศิลปินในค่าย ใช้เส้นสายให้ศิลปินในค่ายได้รับรางวัล เคยถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 9 เดือนเมื่อปี 1981 ในข้อหาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แต่รอดคุกไปได้หลังจากฝ่ายฟ้องร้องต่างปฎิเสธการเป็นพยานในเหตุการณ์ทั้งหมด และเคยรอดจากแผนการลักพาตัวมาแล้วเมื่อปี 1989 ก่อนที่จะมาก่อตั้ง Emperor Entertainment Group ในปี 1999 และส่งให้ศิลปินในค่ายประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Twins ของสาวอาเจียวนั่นเอง
เมื่อครั้งที่อังกฤษทำการคืนเกาะฮ่องกงให้กับประเทศจีน อัลเบิร์ต เหลียง และนักแสดงในค่ายอย่างโจวซิงฉือ ได้ทำเรื่องขอย้ายที่อยู่ไปตั้งรกรากที่ประเทศแคนาดามาแล้ว แต่ถูกศาลสูงที่นั้นปฎิเสธเนื่องจากประวัติทางอาชญากรรมของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นยังรวมไปถึงข่าวลือว่าเขาอยู่เบื้องหลังการตีพิมพ์ภาพดาราสาว หลิวเจียหลิง เมื่อครั้งที่เธอถูกลักพาตัวไปถ่ายภาพโป๊ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้มี “เฉิน ฮุ่ยหมิ่น”(陳惠敏) กู่หว่าไจ๋ มังกรตัวจริง หรือ มาเฟียฮ่องกงเรียกต้าเกอ และ อดีตดาวร้ายวงการภาพยนตร์ฮ่องกงยุค 70-80 คือ คนเข้าไปคลี่คลายเหตุการณ์ทั้งหมด
โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 25 เม.ย.1990 ขณะที่ หลิวเจียหลิง วัย 25 ปีกำลังมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงอย่างเต็มที่ ได้ถูกฉุดออกจากรถส่วนตัวเพื่อนำตัวเธอเข้าไปอยู่ในรถคันที่เกิดเหตุก่อนที่เธอจะถูกปิดตาแล้วจับแก้ผ้าถ่ายรูปเอาไว้โดยคนของแก๊งมาเฟียฮ่องกง 4 คน แต่ไม่มีใครที่แตะต้องตัวเธอเพื่อทำอนาจารแม้แต่น้อย จากนั้น 2 ชั่วโมงต่อมา เธอก็ถูกปล่อยตัว หลังได้รับอิสรภาพเธอได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ในตอนนั้นเหลียงเฉาเหว่ย ในฐานะคนรักที่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ ได้ขอร้องให้เฉินฮุ่ยหมิ่น เข้ามาช่วยเหลือ และ ให้ตำรวจจัดการกลุ่มมาเฟียใหม่นี้
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เฉิน ฮุ่ยหมิ่น โกรธมากที่มาทำกับนักแสดงรุ่นน้องในวงการบันเทิงเดียวกัน เฉินฮุ่ยหมิ่นรีบจัดการให้ทันที และสุดท้ายก็พบความจริงว่าการถ่ายรูปมีจริงแต่ไม่มีการข่มขืนตามข่าวลือ จนสามารถจับกุมดำเนินคดีลงโทษคนร้ายจำคุกทั้งหมด ส่วนฟิลม์รูปถ่ายวันเกิดเหตุ เขาได้นำมาคืนให้ เหลียง เฉาเหว่ย เก็บไว้
ขณะที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเก็บเป็นความลับกว่า 12 ปี แต่ใน ปี 2002 คนร้ายที่อุ้ม หลิว เจียหลิง พ้นโทษจำคุก ได้นำสำเนาฟิลม์ถ่ายรูปไปขายให้นิตยสาร East Week ที่อยู่ในสังกัดของ อัลเบิร์ต เหลียง เจ้าพ่อวงการสื่อแห่งอาณาจักร Emperor Entertainment Group ได้นำภาพดังกล่าวมาตีพิมพ์ลงหน้าปกจนเรื่องกลับมาแดงอีกครั้ง
แม้รูปที่ออกมาจะมีการคาดตาสาวที่อยู่ในภาพ แต่หลายๆ คนก็รู้ว่าคนที่อยู่ในภาพคือ หลิว เจียหลิง แน่ๆ และ หลังจากเก็บตัวเงียบอยู่หลายสัปดาห์ เธอก็ออกมายอมรับว่าเธอเป็นคนที่อยู่ในภาพนั้นจริงๆ จากความอัปยศที่เกิดขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมประท้วงต่อต้านการประพฤติผิดจรรยาบรรณของสื่อ ร่วมกับนักแสดงชื่อดังรายอื่นๆ ทั้ง แจ็คกี้ ชาน (เฉินหลง), เลสลี่ จาง และ เหมย เยี่ยนฟาง ซึ่งในการร่วมประท้วงครั้งนั้น จนเป็นข่าวใหญ่โต ในที่สุด Eastweek ที่ถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก ก็ลงเอยด้วยการหยุดพิมพ์ไประยะเวลาหนึ่ง ส่วนบรรณาธิการและทีมงานหลาย ๆ คน ก็ขอลาออกจากหน้าที่ไป
1
ซึ่งทั้ง ชาร์ล เฮียง และ อัลเบิร์ต เหลียง ต่างเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิงฮ่องกง ในที่สุดก็เกิดการกระทบกระทั่งกัน เหตุเกิดจากภาพหลุดคดีของเฉินกว้านซี
เพราะหนึ่งในสาวที่ถูกปล่อยภาพออกมาอย่าง จางป๋อจือ นั่นเอง ก่อนหน้านี้ดาราสาวหน้าหวานเป็นศิลปินในสังกัดของ China Star แต่เป็นทางค่าย EEG ที่ตามจีบเธอมาตลอด ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อ ชาร์ล เฮียง อย่างมาก ในทางกลับกันเมื่อถึงคราวที่ทาง China Star ต้องการที่จะยืมศิลปินแถวหน้าของ EEG อย่าง Twins ของอีกสาวที่เป็นเหยื่อของภาพหลุดอย่าง อาเจียว ทาง อัลเบิร์ต เหลียง ก็ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี จนกระทั้งสาว จางป๋อจือ ตกลงใจที่จะแต่งงานกับหนุ่ม เซี่ยถิงฟง ที่โด่งดังกับค่าย EEG เธอก็ทำการย้ายไปอยู่กับค่ายเดียวกับสามีทันที ซึ่งถือเป็นการหักหน้าคนอย่าง ชาร์ล เฮียง อย่างแรง
จากปัญหาข้อขัดแย้งที่บ่มมาตั้งแต่ต้น ทันทีที่ภาพสุดสยิวออกมากระหน่ำหน้าจอคอมพิวเตอร์ของแฟนหนังทั่วโลก "ทฤษฎีการสมรู้ร่วมคิด" ก็กลายเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายพูดถึง หลายคนเชื่อว่าฝ่าย China Star ได้จ่ายเงินแก่มือมืดที่ได้รูปภาพดังกล่าวมาตั้งแต่ปีก่อน
หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวในการแบล็กเมล์ต่อทาง EEG ภาพหวิวของสาวๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นศิลปินในสังกัดของค่ายนี้จึงถูกใช้เผยแพร่เพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับทาง EEG ทันที ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า China Star ศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา ที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไปเต็มๆ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งหมด
เรื่องดังกล่าวจึงกลายเป็นว่าหนุ่ม เฉินกว้านซี กลายเป็นแค่แพะรับบาปจากความซุกซนและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา ส่วนสาวๆ ก็ถูกใช้เพื่อเป็นเหยื่อของการล้างแค้นของ 2 เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการสื่อในฮ่องกงอย่างช่วยไม่ได้
กรุณาห้ามนำภาพหลุดดาราสาวท่านใดโพสในคอมเม้นต์ขอรับ ด้วยความเห็นใจดาราสาวเหล่านั้นไม่มีความต้องการให้ภาพส่วนตัวเผยแพร่สู่สาธารณชน บทความนี้เขียนเพื่อตีแผ่เรื่องราวหนึ่งในวงการบันเทิงฮ่องกงไม่ต้องการโจมตีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เฉิน ฮุ่ยหมิ่น (陳惠敏) กู่หว่าไจ๋ มังกรตัวจริง หรือ มาเฟียฮ่องกงเรียกต้าเกอ และ อดีตดาวร้ายวงการภาพยนตร์ฮ่องกงยุค 70-80
ดาราฮ่องกงกว่า 500 ชีวิต นำโดย เฉินหลง เหมยเยี่ยนฟาง เลสลี่ จาง เหลียงเฉาเหว่ย ร่วมให้กำลังใจ หลิวเจียหลิง และประท้วงนิตยสาร Eastweek magazine
การประท้วงใหญ่ ทำให้ในที่สุด Eastweek ที่ถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก ก็ลงเอยด้วยการหยุดพิมพ์ไประยะเวลาหนึ่ง ส่วนบรรณาธิการและทีมงานหลาย ๆ คน ก็ขอลาออกจากหน้าที่ไป
โฆษณา