25 มิ.ย. 2019 เวลา 09:30 • บันเทิง
#ฟอร์เรสท์กัมป์อัจฉริยะปัญญานิ่ม
"ในวันที่คุณไม่มีใคร หรือไม่เหลืออะไร คุณอาจอยากได้แรงบันดาลใจจากใครสักคน"
Forrest Gump | Robert zemeckis | 1994
Forrest Gump: My Mama always said you've got to put the past behind you before you can move on.
/ย้อนอดีตความนัยจากวลีอันเป็นอมตะ/ "คนเราต้องรู้จักวางอดีตลงเพื่อชีวิตจะได้ก้าวต่อไป"
ในสมัยหนึ่ง การพูดหรือเล่าเรื่อง Forrest Gump คือ การห้ามทุกคนพูดถึงเรื่อง Forrest Gump
.
เอ๊ะ...ยังไง อะไรมันจะลึกซึ้งถึงเพียงนั้น
.
“ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อคโกแลต เราไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างใน”
.
หนังเรื่อง Forrest Gump (1994) ก็เหมือนช็อกโกแล็ตอ่ะครัช
.
เราไม่รู้หรอกว่าข้างในมันเป็นไส้อะไร แต่เราก็กินมันอยู่ดี...
.
ตั้งแต่เด็ก คนก็มองฟอร์เรสท์ ว่าบ้าบอคอแตก เขาดูแตกต่างจากเด็กอื่น เมื่อโตขึ้น เขาเข้ามหาวิทยาลัย ไปเป็นทหาร ไปทำงาน ไปเล่นกีฬา และเริ่มออกวิ่ง คนรอบตัวฟอร์เรสท์ ก็ยังคงมองว่าเขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร
.
ตลอดเวลา ฟอร์เรสท์ ไม่เคยคิดว่าเขาทำอะไรไปเพื่อสิ่งใด แต่เขารู้ตัวเองดีว่า ตัวเองรักใคร และกำลังทำอะไร เขามุ่งมั่นและพร้อมที่จะรักคนเหล่านั้นไปตลอดกาล
.
นานมากแล้วที่คนมักพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่า "มันช่างลึกซึ้งกินใจ"
.
ลึกซึ้งแบบไหน ดูแล้วร้องไห้หรือเปล่า มันก็ไม่ใช่แบบนั้น
.
อันที่จริงมันเป็นภาพยนตร์เบาสมอง ต้องเรียกว่ามันมีความสุดยอดในการนำเสนอ ความเกี่ยวโยงกันระหว่าง " ความเชื่อ -อดีต -ปัจจุบัน -และความเป็นจริง"
.
ซึ่งในบทหนัง...เราจะได้เห็นความเชื่อมโยงกันไปมาได้เอง โดยคุณเท่านั้นที่ค้นพบและแปลความหมายนั้นออกมา
.
การดูหนังเรื่องนี้ อาจทำให้คุณคิดถึงวันที่คุณมุ่งมั่นทำอะไรซักอย่่างเหมือนตอนกัมป์มุมานะเล่นปิงปอง หรือคุณอาจคิดถึงตอนคุณออกไปซ้อมวิ่งและอินไปกับมันบ้างก็ได้ จนกระทั่งคุณรู้สึกว่า คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เมื่อกายใจคุณพร้อม
.
อันที่จริง...ชีวิตคนเรา บางเบาเหมือนขนนก เมื่อยามต้องลมพัดโบกก็ไม่รู้ว่าจะล่องลอยไปตกลงตรงไหน
.
ชีวิตไม่อาจฝืน ต้องปล่อยให้ล่องลอยไป ตามกระแสชีวิต
.
มันแผ่วเบาเคว้งคว้างไปตามยถากรรม อาจประสบความสำเร็จทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเลยสักนิด
.
หรือร่ำรวยได้แม้สติปัญญาช่างแสนอ่อนด้อย และถึงแม้คุณจะมีแนวคิดในมุมที่ไม่เหมือนคนอื่น คุณก็อาจจะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
.
มันเป็นความบังเอิญ หรือ โชคชะตา หรือเปล่า🔸🔸🔸
.
🍂 หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
.
.
.
นวนิยายเรื่อง Forrest Gump แต่งโดย Winston Groom
.
มันไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหนังสือขายดี แต่ "เวนดี้ ไฟเนอร์แมน" โปรดิวเซอร์หน้าใหม่ในสมัยนั้น ได้ค้นพบมันในปี 1985 ในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง
.
เธอต้องใช้เวลาถึงเก้าปีตระเวณหาผู้ที่สนใจมันเหมือนกับเธอ
.
ตอนนั้นไม่มีสตูดิโอไหนสนใจเลย โครงการของเธอจึงฝันค้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง "เอริค รอธ" ได้อาสาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี 1992 “สคริปต์นี้แหกทุกกฏ” รอธบรรยาย
.
"นี่คือเรื่องราวที่จะทำให้เราทั้งหัวเราะและร้องไห้ ต่อให้มันเป็นหนังที่ทำยากและมีต้นทุนสูง ฉันก็จะทำ” เวนตี้ได้เคยบอกผ่านความตั้งใจไปยังทุกคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ปีนี้...ครบรอบ 25 ปี Forrest Gump เจ้ากล่องช็อคโกแลตกับชีวิตที่ลื่นไหลไปตามชะตา
.
ณ วันนั้น วันที่ใครๆ ก็ยังไม่รู้จักผู้ชายคนนึ้ เรื่องราวของ ฟอร์เรสท์ จึงเคว้งคว้างไปทั่ว
.
จนกระทั่งไปอยู่ตรงหน้าผู้บริหารพาราเมาท์ ที่อนุมัติงบสี่สิบล้านดอลลาร์ และได้ -ทอม แฮงค์ส- เป็นผู้แสดงนำ
.
“ตัวผมเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆ”
.
แฮงค์สบอกเล่าความรู้สึกเมื่อได้อ่านบท “ถ้าเราไม่ทะเล่อทะล่าทำมันพัง นี่จะเป็นหนังที่ดีมากๆ เรื่องนึงอย่างที่มันเป็นอยู่ในหน้ากระดาษนี้”
.
แน่หละ....ทอม คุณทำมันได้ดี
.
ด้วยฝีมืิอผู้กำกับที่ผ่านการควานหาด้วยความเห็นชอบจากทั้งแฮงค์สและเหล่าโปรดิวเซอร์ พวกเขาเห็นว่า คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้คือ โรเบิร์ต เซเม็กคิส ด้วยความที่เขาช่ำชองในงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เซเม็กคิสจะสามารถสะท้อนประวัติศาสตร์อเมริกาที่ซ้อนทับได้อย่างแนบเนียน เขาทำให้ Back to the Future โด่งดังมาแล้ว
.
ดูๆ ไป ฟอร์เรสท์ กัมป์มีพล็อตเรื่องที่แปลก เพราะมันไม่มีพระเอก นางเอก ไม่มีผู้ร้าย ไม่มีภารกิจเสี่ยงตาย ตัวเอกไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น มองไปมันช่างชืดชา
.
เซเม็กคิส ตัดสินใจรับกำกับมันหลังจากอ่านมันจบลง
.
“ผมอ่านบทหนังแล้วถึงกับวางไม่ลง”
เขายืนยันเพิ่มเติมว่า “คือองค์ประกอบการดำเนินเรื่องมันแปลกมาก แต่ผมกลับอยากติดตามชีวิตของผู้ชายคนนี้ไปเรื่อยๆ”
.
ในที่สุดกระบวนการถ่ายก็เริ่มและจบลงด้วยแรงศรัทธา
.
มันสร้างความเหนื่อยยากให้ทีมงานและนักแสดงมาก เพราะพวกเขาต้องตระเวนถ่ายทำเรื่องนี้ทั่วสหรัฐฯ โดยต้องแข่งกับเวลาเนื่องจากงบประมาณที่มีอย่างจำกัด
.
แม้จะเหนื่อยล้า แต่ความศรัทธาและเชื่อมั่นทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จในที่สุด
.
“เราต้องทำงานกันสายตัวแทบขาด” แฮงค์สเปิดใจ “แต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้ก็คือเสียงหัวเราะ กองถ่ายนี้มีแต่ความครื้นเครง"
.
Forrest Gump กลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายรับสูงสุดในอเมริกาประจำปี 1994 ที่จำนวน 330 ล้านดอลลาร์และคว้ารางวัลออสการ์ถึง 6 ตัว
.
คนมากมายพร้อมใจกันหลั่งไหลไปชมชีวิตของ ฟอร์เรสท์ กัมป์ และคนรอบข้างเขาอย่างใกล้ชิด
.
พวกเขาให้แง่คิด...ทั้ง คุณแม่, ผู้หมวดแดน, บับบ้า และเจนนี่
.
ที่สุดแล้วทุกคนทำได้เพียงโอบรับสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่สายตา ด้วยประสาทรับรู้ ด้วยใจที่เข้าใจความหมาย
.
หากจะเปรียบ ฟอร์เรสท์ ก็เหมือนดั่งขนนก ซึ่งไม่ฝืนทิศทางที่ถูกพัดพาไป กัมป์แค่ปล่อยวางอย่างเปิดใจ ดังคำแม่สอน ... เท่านั้นเอง
.
.
เรื่องย่อ
ต้องเริ่มตั้งแต่ "ฟอร์เรสท์ กัมป์" กำลังนั่งรอรถเมล์สายนึงอยู่ เพื่อจะไปที่ๆ นึง แล้วเค้าก็เปิดกล่องช็อกโกแลตขึ้นมา
.
จู่ๆ คือ เขาดันถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆว่า เอาช็อกโกแลตไหม โดยเริ่มเปิดประโยคที่ว่า "ชีวิตมันก็เหมือนกับช็อคโกแลต เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเป็นรสอะไร จนกว่าจะได้กินมัน"
.
จากนั้นก็เวลาก็ย้อนกลับไปในวัยเด็กของฟอร์เรสท์ ทันที
.
ชีวิตในวัยเด็กของฟอร์เรสท์ กัมป์เริ่มต้นด้วยความพิการ เขาเป็นเด็กพิการที่ไขสันหลัง ทำให้ขาเดินแบบคนปกติไม่ได้ ต้องใส่เหล็กดามขา(ด้านนอก)ไว้ตลอดเวลา เพื่อให้เดินได้ แต่้พราะถูกดามขา ลักษณะการเดินของเขาจึงเหมือนหุ่นยนต์ จนถูกเพื่อนๆ ล้อและแกล้งตลอดเวลา
.
ความน่าจดจำของเขาในวัยเด็ก คือ กัมป์ มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่ไม่เคยดูถูกเขาเลย แถมคอยเป็นกำลังใจ และช่วยเหลือเขาตลอด ชื่อ เจนนี่ ซึ่งเจนนี่เกลียดที่บ้านมาก เพราะ พ่อเป็นขี้เมา เวลาเมาจะโมโหหนักมาก และจะทำร้ายทุบตีเธอ ทำให้เธอคิดอยากหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่เด็กๆ
.
ที่บ้านกัมป์ มีอาชีพด้วยการเปิดเป็นโรงแรมขนาดเล็กๆ ไว้รับแขกหารายได้เลี้ยงครอบครัว อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้ชายคนนึง เป็นนักดนตรี ได้เข้าพัก แล้วปรากฏว่า เขาถูกใจท่าเต้นของกัมป์ ที่เต้นทั้งที่ใส่เหล็กดามขาไว้ เขาเลยเล่นกีต้าร์และให้กัมป์เต้นให้ดู จนแม่มาเห็น และได้ดุกัมป์ เพราะเข้าใจว่า "กัมป์ถูกทำให้เป็นตัวตลก" เขาถูกต่อว่าและไม่ให้ทำแบบนี้อีก และสุดท้าย กัมป์  ก็ได้เห็นผู้ชายคนนั้นออกทีวี เป็นนักร้อง และต่อมาชายคนนั้น ก็ได้ถูกขนานนามว่า King of Rock 'n Roll
.
จนมาวันหนึ่ง กัมป์ โดนเพื่อนแกล้งปาหินใส่ ซึ่งเจนนี่ห้ามไม่อยู่ เลยบอกให้กัมป์หนีไป เขาได้วิ่งหนีิอย่างสุดชีวิต ซึ่งจากการวิ่งหนีด้วยความเร็วสุดฤทธิ์นี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยที่ว่า
.
"มันทำให้เหล็กที่ดามขาด้านนอกของเขาหลุดออก" และที่ส่งผลกับเขาที่สุดคือ "เขาสามารถวิ่งได้เหมือนคนปกติ" และวันนั้น "เขาก็วิ่งกลับไปถึงบ้าน"
.
ชีวิตของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทุกสิ่งเริ่มไม่เหมือนเดิม
.
เมื่อถึงวัยเข้าศึกษาต่อชั้นประถม แม่ของกัมป์ต้องการให้ลูกได้เข้าโรงเรียนของคนปกติ ทั้งๆ ที่ตัวกัมป์เอง ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าเขาเป็นเด็กพิเศษ โดยมีไอคิวต่ำกว่าปกติ "นิดหน่อย"
.
ทางครูใหญ่ จึงบอกแม่ของกัมป์ว่า เขาน่าจะไปเข้า รร.สำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะนะ แต่ แม่ของกัมป์ไม่ยอม เธอเริ่มมองหาวิธีให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ และแม่เขาได้แก้ไขประตูที่ปิดตายนี้ ด้วยการยอมนอนกับครูใหญ่ เพื่อให้กัมป์ "ได้เข้าเรียน"
.
ชีวิตในช่วงประถมและมัธยมของกัมป์ ก็เหมือนกับคนทั่วไป จนกระทั้งวันใกล้จะเข้าสอบเข้ามหาลัย
.
กลุ่มเพื่อนกลุ่มเดิม ที่เคยแกล้งกัมป์ ก็ยังทำแบบเดิมตั้งแต่เด็กๆ คือหาเรื่องมาแกล้งเขาทุกช่วงวัย แต่หนนี้ทุกคนจัดหนักหน่อย เพราะรู้ว่า กัมป์วิ่งเก่ง รอบนี้ จึงขับรถยนต์ไล่ล่า ทำให้กัมป์ วิ่งหนี วิ่งไป วิ่งไป แบบหนีสุดชีวิต จนวิ่งลงไปในสนามแข่งอเมริกันฟุตบอล "โดยไม่ได้ตั้งใจ"
.
เหลือเชื่อมาก เมิ่อเขาวิ่งหนีอย่างลืมตาย แซงผู้เล่นทั้งสนาม จนออกไปอีกฝากของสนามได้ จนทำให้โค้ชของทีมต้องถามว่า "เขาคือใคร" และด้วยสาเหตุบ้าบอคอแตกนี้ ทำให้กัมป์ ได้เข้าเรียนมหาลัยในที่สุด
.
ส่วน เจนนี่ หลังจากจบ ม.ปลาย ก็ได้ ออกจากบ้านไป แต่ก็ยังเขียน จม.มาถามสารทุกข์สุขดิบของกัมป์ ว่าเป็นอย่างไรบ้างเสมอๆ 
.
มีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นในรั้วมหาลัย ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาบ้าง โดยในระหว่างที่ กัมป์ เรียนมหาลัย ได้เกิดเหตุการชุมนุมประท้วงของนักศึกษา ในเรื่องการปิดกั้นเสรีภาพและการเหยียดผิว ซึ่งได้มีผู้ชายคนนึง ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้านักศึกษา และได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ กัมป์ ได้มีโอกาสโผล่หน้าอยู่ด้านหลังผู้ชายคนนี้ และหลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ได้กลายเป็น ประธานาธิบดีของสหรัฐ ผู้ซึ่งถูกลอบสังหารบนรถเปิดประทุน ในขณะที่กำลังโบกมือให้ประชาชนที่มารอรับ
.
หลังจากจบมหาลัย กัมป์ ก็ได้กลับมาอยู่บ้าน ซึ่งกัมป์ก็เหงามาก เพราะไม่ได้ทำงานอะไร วันๆ เขาได้แต่คิดถึงเจนนี่ จนกระทั่งเกิดสงครามเวียดนาม และกัมป์ได้ถูกเกณฑ์ไปที่นั่น
.
ที่เวียดนาม กัมป์ ได้พบกับเพื่อนผิวดำ ชื่อ บับบ้า และ ผู้หมวดแดน ซึ่งเป็นทหารที่คอยฝึกกัมป์ และเป็น ผบ.หมู่ที่เวียดนาม
.
กัมป์ ได้รู้ถึงความฝันของ บับบ้า ที่อยากมีเรือจับกุ้งเป็นของตนเอง เพื่อที่จะได้ทำให้ทางบ้านของตัวเองร่ำรวย พ้นจากฐานะคนรับใช้
.
และถึงแม้จะอยู่เวียดนาม แต่กัมป์ก็ยังคงคิดถึงเจนนี่เสมอ และเขียนจดหมายไปหาเธอตลอด (นอกจากคุณแม่) และเจนนี่ก็เขียนจดหมายตอบกลับมาหาเขาเช่นกัน โดยที่ เจนนี่ บอกกัมป์ว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น ในสนามรบ ให้วิ่ง วิ่ง และวิ่งหนี อย่าหันหลังกลับไปมอง และแล้วสงคราม ก็เกิดรุนแรงขึ้น ทำให้ หน่วยของกัมป์ ถูกโจมตีอย่างหนัก และกัมป์ ก็ได้นึกถึงคำของเจนนี่ คือวิ่งๆๆ และ พอการโจมตีที่ทำให้ หน่วยของกัมป์ เบาลง กัมป์ ก็นึกขึ้นได้ว่า บับบ้า หายไปไหน กัมป์ เลยวิ่งกลับไปตามหาบับบ้า
.
แต่ระหว่างทาง เค้าก็เจอ ทหารที่บาดเจ็บ นอนร้องของความช่วยเหลือตลอดทาง
.
และเขาก็ได้แบกทหารเหล่านั้น ออกมาคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งเขามาเจอ ผู้หมวดแดน ที่ถูกระเบิดขาขาดทั้ง 2 ข้าง ผู้หมวดไม่ยอมให้ กัมป์ช่วยเหลือ เขาต้องการที่จะตายกลางสนามรบ ตามบรรพบุรุษ รุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่กัมป์ก็ดื้อพาผู้หมวดออกมาจนได้
.
ต่อมาเขาหาบับบ้าเจอ ซึ่งบับบ้า โดนยิง บาดเจ็บหนัก และหลังจากที่พยายามแบกบับบ้ากลับมา กัมป์ก็ถูกยิงเข้าที่ "ก้น" แต่ก็ยังฝืนพาบับบ้าออกมาจนได้ แต่สุดท้ายบับบ้าก็เสียชีวิต โดยฝากฝังความฝันของเขาไว้กับกัมป์
.
เพราะถูกยิง ทำให้กัมป์ได้รับบาดเจ็บ ต้องมานอนอยู่โรงพยาบาลทหาร ซึ่งผลของมันทำให้กัมป์ได้รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมที่ทำไว้
.
หลังจากนั้น เขาก็ได้พบกับสิ่งพิเศษสุดสิ่งใหม่สำหรับเขา คือ ปิงปอง เขาเล่นปิงปองจนเก่ง เล่นจนติดทีมชาติ ได้ไปจีน ได้เป็นพรีเซนเตอร์ไม้ปิงปอง เรื่องนี้ทำให้แม่ของกัมป์ภูมิใจในตัวเขาอย่างมาก เอารูปขนาดเท่าตัวจริงของเขามา ติดโชว์แขกที่มาพักที่โรงแรมของเขาเลยทีเดียว
.
ช่วงหลังกัมป์ปังมาก ออกทีวี หลังจากได้รับเหรียญจากประธานาธิปดี เขาแต่งชุดทหารเต็มยศ ออกเดินเที่ยวต่อในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ถ่ายรูปต่างๆ ที่เขาสนใจ จนกระทั่งไปจ๊ะเอ๋กลุ่มแกนนำบุปผาชน ที่ไม่ต้องการให้สหรัฐส่งทหารเข้าไปในเวียดนาม ซึ่งกลุ่มนี้ได้แต่งตัวเหมือนทหาร และก็เข้าใจผิดว่า กัมป์เป็นพวกเดียวกัน
.
พวกเขาลากกัมป์ขึ้นรถไปที่หน้าเต้นท์ที่หน้าเวทีของผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่หน้าทำเนียบขาว และหน้าอนุเสาวรีย์แห่งทหาร (ที่เป็นเสาหินสี่เหลี่ยมแหลม) และได้ให้กัมป์พูดอะไรก็ได้เกี่ยวกับสงคราม ซึ่งกัมป์ก็ได้พูดถึงความโหดร้ายที่เขาไปเจอมาที่เวียดนาม ซึ่งปรากฏว่า เครื่องขยายเสียงดันมีปัญหา จนคนที่รอฟังหลายหมื่น ไม่รู้ว่ากัมป์พูดอะไร จนตอนสุดท้ายที่กัมป์ ได้พูดถึงว่า ในสงครามนั้น คนที่เขาคิดถึงและอยากเจอมากที่สุดคือ เจนนี่
.
ซึ่งท่อนนี้เสียงได้กลับมาเป็นปกติแล้ว หลังจากที่จบประโยคนี้ลง เจนนี่ซึ่งได้ฟังคำปราศรัยของกัมป์ ก็วิ่งออกมาจากแถวนั้น แล้วตะโกนเรียกชื่อกัมป์ แล้วต่างคนต่างก็วิ่งเข้าไปหากัน และกอดกัน ซึ่งพวกแกนนำที่ได้ฟังคำปราศรัยทั้งหมด และสิ่งที่แสดงออกถึงเจนนี่นั้น ดูน่าประทับใจมาก จนพากันตะโกนออกไมค์ กล่าวชื่นชมกัมป์
.
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น พร้อมใจกับ ปรบมือ โห่ร้อง แสดงความชื่นชม ในตัวเขาเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น กัมป์ กับ เจนนี่ ก็ได้พูดคุยกัน ถามถึงสาระทุกข์สุขดิบ ทำตัวจี๋จ๋าติดกันเป็นปาท่องโก๋
.
จนถึงเช้า เจนนี่ก็ได้บอกลากัมป์ เพราะเจนนี่ต้องไปขึ้นรถบัส ไปกับ พวกบุปฝาชนต่อ และแล้วเจนนี่ก็จากกัมป์ไปอีกเหมือนเดิม
.
ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้นั้น ได้ถูกถ่ายทอดสดออกทีวี จนเป็นสาเหตุให้กัมป์ถูกปลดประจำการในตอนหลัง และหลังจากปลดประจำการ ในวันคริสต์มาส กัมป์ ก็ได้พบกับผู้หมวดแดนในร้านเหล้า ซึ่งสภาพผู้หมวดแดน ต้องอยู่ในรถเข็น หมดอาลัยตายอยากในชีวิต และได้ออฟสาวๆ มาฉลองกับกัมป์ สองคน แต่กลับกลายเป็นผู้หมวดแดนถูกสาวๆ 2 คนนั้นดูถูก รวมถึงตัวกัมป์ ที่ถูกหาว่าปัญญาอ่อน จึงทำให้ผู้หมวดแดนโกรธ ไล่ทั้งสองคนออกไป แล้วก็ได้ปรับความเข้าใจกับกัมป์ แล้วกัมป์ก็นึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับบับบ้า ว่าจะทำกิจการเรือตกกุ้งที่ "อลาบาม่า"
.
ผู้หมวดแดนซึ่งไม่สนใจอะไร ก็อยากรู้ว่ากัมป์จะทำได้จริงๆ ตามที่สัญญาไว้หรือเปล่า ก็เลยตกลงใจจะลองสู้กับกัมป์ดูสักครั้ง จึงทำให้ทั้งคู่ย้ายไปสู้ชีวิตที่ อลาบาม่า โดย กัมส์เอาเงินที่ได้จากการเป็นพรีเซนเตอร์ปิงปอง มาใช้เป็นทุนซื้อเรือจับกุ้งเก่าๆ มาลำนึง แล้วผู้หมวดแดนก็บอกให้กัมป์ตั้งชื่อเรืิอว่าอะไรก็ได้ที่เป็นสิริมงคล และชื่อแรกที่กัมป์นึกถึงซึ่งเป็นชื่อที่สวยงามที่สุดก็คือ "เจนนี่"
.
"หนังยังดำเนินไปแบบเรียบง่าย อ้อยอิ่ง"
.
โดยหลังจากทำกิจการเรือตกกุ้งมาพักใหญ่ ทั้งสองคนก็พบแต่ความว่างเปล่า แทบจะจับเงินทองอะไรไม่ได้เลย
.
แต่มีสิ่งนึงที่ทำให้กัมป์ดีใจ ก็คือจดหมายจากเจนนี่ ทำให้เค้ามีกำลังใจสู้ต่อ
.
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นึง ที่เปลี่ยนชีวิตของการเป็นชาวประมงนักตกกุ้งของกัมป์กับผู้หมวดแดนไปตลอดกาลก็คือ วันนึงมีพายุโหมกระหน่ำเข้าใส่ชายทะเลแถบนั้น ราบเป็นหน้ากลอง เรือตกกุ้งทั้งหลายพังไม่เป็นท่าทั้งหมด ยกเว้น เรือของกัมป์ลำเดียว
.
และหลังจากวันนั้น ไม่มีวันไหนที่กัมป์กับผู้หมวดแดนจะตกกุ้งไม่ได้อีกเลย เขารวยขึ้น จนขยายกิจการเรือเพิ่มขึ้นเป็นสิบๆ ลำ
.
หลังจากนั้น กัมป์ ได้ทำตามสัญญา ที่ให้ไว้กับบับบ้า โดยยกหุ้นส่วนนึงของกิจการเรือตกกุ้ง ที่เป็นบริษัท ให้กับครอบครัวบับบ้า จนทำให้ครอบครัวบับบ้า ไม่ต้องเป็นคนรับใช้อีกต่อไป แต่กลายเป็นคนมีเงิน มีคนคอยรับใช้แทน
.
หลังจากนั้น ก็มีจดหมายด่วนถึง กัมป์ เกี่ยวกับคุณแม่ของเค้า ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคชราและจากไปอย่างสงบ ทำให้กัมป์ต้องทิ้งกิจการเรือตกกุ้ง กลับไปอยู่ที่บ้าน ส่วนผู้หมวดแดน ก็ดูแลกิจการต่อ และแนะนำให้กัมป์นำเงินบางส่วนซื้อหุ้นในบริษัทผลไม้แห่งหนึ่งเอาไว้ ซึ่งต่อมาบริษัทนั้น ก็ได้กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ค่ายผลไม้แหว่ง)
.
สุดท้าย หนังก็ตัดกลับมา ตรงจุดแรกที่ กัมป์ นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ และผู้ชายคนนึง ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมาแบบขำๆ ปนประชดว่า นี่เขานั้นนั่งอยู่ข้างมหาเศรษฐี เจ้าของบริษัทเรือตกกุ้งชื่อดังเลยเหรอ โม้หรือเปล่า และชายคนนั้นก็ลุกไป ผู้หญิงที่อยู่ถัดไปก็เลยขยับมาคุยด้วยต่อ กัมป์ ก็เลยบอกไม่เชื่อเหรอ และ กัมป์ก็เปิดกระเป๋า และหยิบนิตยสารฟอร์บ ที่มีรูป กัมป์กับผู้หมวดแดนให้ดู จนผู้หญิงคนนั้นถึงกับตกใจ ว่าตัวจริงเหรอ และนั่งฟังกัมป์เล่าเรื่องต่อไปอย่างมีอรรถรส
.
และหลังจากกลับมาอยู่บ้าน ด้วยความเหงาจับใจ คิดถึงแต่เจนนี่  วันหนึ่งสิ่งที่กัมป์ไม่นึกไม่ฝันก็มาถึง เพราะเจนนี่ได้กลับมาหาเค้า มาอยู่บ้านด้วยกัน คุยกัน ทำทุกอย่างด้วยกัน ซึ่งกัมป์ก็รู้สึกรักเจนนี่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ซึ่งในขณะที่เจนนี่อยู่บ้านกัมป์ ก็ได้พักคนละห้องกันตลอด แต่ เจนนี่ ก็มีหนุ่มๆ แอบมาหาบ้าง ซึ่งกัมป์เองก็รู้
.
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทั้งคู่ได้เปิดอกคุยกัน โดยกัมป์เริ่มพูดกับเจนนี่ว่า " ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นคน
โง่ แต่เค้าก็รู้ว่าความรักคืออะไร"
.
และหลังจากนั้น เจนนี่กับกัมป์ ก็ได้มีอะไรกัน แต่หลังจากนั้น เจนนี่ ก็ได้หายออกจากบ้านไปอีก ทิ้งไว้เพียงจดหมายหนึ่งฉบับถึงกัมป์ พร้อมทั้งขอโทษ ที่ตัวเองไม่ได้ดีแบบที่กัมป์คิด และอยากให้กัมป์ เจอกับคนที่เหมาะสม และแล้วเจนนี่ก็จากไปจากชีวิตของกัมป์อีกครั้งนึง
.
หลังจากอยู่บ้านจนเหงา ไม่มีอะไรทำ อยู่ๆ วันนึงกัมป์ ก็เกิดอยากวิ่ง เค้าจึงได้วิ่งออกจากบ้านไปจนสุดเขตเมือง พอสุดเขตเมืองแล้วก็คิดว่าทำไม ไม่ลองวิ่งไปจนสุดเขตรัฐบ้าง แล้วเขาก็ได้วิ่งไปเรื่อยๆ เช้าจรดเย็น หิวก็กิน กินเสร็จก็วิ่ง มืดที่ไหนก็นอนที่นั้น กัมป์วิ่งไป จนสุดเขตเมือง จากเมืองนึงไปอีกเมืองนึง ไปอีกรัฐนึง เรื่อยๆ จนสุดฝั่งทวีปอเมริกา จากแปซิฟิก ไปฝั่งแอตแลนติก แล้วกลับมาอีก จนมีรายการทีวี มาถ่ายทำ ถามว่า ทำไมเขาถึงวิ่ง เพื่ออะไร อยากเรียกร้องสิ่งใดให้กับผู้คนหรือเปล่า มีแรงจูงใจอะไร ซึ่งสิ่งที่เขา ตอบก็คือ เขาแค่อยากจะวิ่ง ก็เลยวิ่ง แค่นั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นๆ
.
เขาวิ่งไปเรื่อยๆ จากวิ่งคนเดียว ก็เริ่มมีคนวิ่งตามเขา จาก 1 คน เป็น 2 เป็น 3 เป็น 10 กลายเป็นร้อย
.
ทุกคนวิ่งตามเค้า ถึงขนาดมีผู้ชายคนนึงซึ่งกำลังท้อแท้ในชีวิต เนื่องจากกิจการขายเสื้อยืดที่เค้าลงทุนกำลังจะเจ๊ง เพราะขายไม่ออก เลยต้องการไอเดียหรือข้อความเด็ดๆ จากกัมป์ เพื่อเอาไปสกรีนขายในเสื้อยืด
.
ระหว่างนั้น มีรถบรรทุกวิ่งผ่านมา เหยียบขี้โคลน จนกระเด็นใส่ เละทั้งตัวทั้งหน้ากัมป์ ผู้ชายคนนั้นเลย ยื่นเสื้อยืดให้เค้าเช็ดที่หน้า และกัมป์ก็คืนเสื้อยืดให้เค้าไป และพูดออกมาว่า "ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหละ"
.
ซึ่งโคลนบนเสื้อยืดที่กัมป์เช็ดออกมาเป็นลายหน้าตลกๆ และหลังจากนั้น กัมป์ก็ได้ข่าวว่า ชายคนนั้นกลายเป็นมหาเศรษฐี จากการขายเสื้อยืด รวมทั้ง คำพูดของกัมป์ ก็กลายเป็นคำยอดฮิตติดท้ายรถบรรทุกไปเสียแล้ว
.
หลังจากกัมป์ ออกวิ่งมาร่วม 3 หรือ 4 ปี วันนึงกัมป์ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และเค้าก็หยุดวิ่ง และหันหลังกลับไปมอง เห็นคนที่วิ่งตามเค้าหยุดวิ่ง และ เค้าก็เอ่ยปาก บอกผู้ที่วิ่งตามมาว่า เค้าจะกลับบ้าน
.
บ้านที่เค้าไม่ได้กลับมานานแสนนาน และเมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาก็ได้พบกับจดหมายจากเจนนี่ ซึ่งรอคอยเขาอยู่ ในจดหมายอยากให้กัมป์ไปหา 
.
หนังตัดกลับมาที่เดิม ที่เก้าอี้ ที่กัมป์ นั่งเล่าเรื่อง และก็บอกว่า เค้ากำลังรอรถสายนึงอยู่ จะไปหาเจนนี่ ตามที่อยู่ตามนี้ ซึ่งพอผู้หญิงคนนั้น เห็นก็บอกว่า มันอยู่ห่างแค่ 2-3 บล๊อกเอง เดินไปก็ถึง จากนั้นกัมป์เลยขอตัว รีบเก็บของลงกระเป๋าและ ขอตัววิ่งออกไปในทันที
.
หลังจากถึงห้องของเจนนี่ กัมป์ก็เคาะประตู มีเด็กผู้ชายคนนึงตัวเล็กๆ เดินมาเปิดประตูให้ กัมป์ เข้าไป แล้วเด็กคนนั้น ก็กลับเข้าไปนั่งดูทีวีต่อ
.
กัมป์ได้พบกับเจนนี่ ซึ่งเจนนี่กำลังอยู่ในชุดสาวเสิร์ฟ เตรียมไปทำงาน เมื่อได้พบกัน ทั้งคู่ก็ได้กอดกัน และเจนนี่ก็เปิดรูปต่างๆ ของกัมป์ ที่เก็บไว้ในหนังสือ ที่ตัดมาจากนิตยสารบ้าง หนังสือพิมพ์ต่างๆ บ้างให้กัมป์ดู พร้อมทั้งบอกว่า เธอคอยติดตามดูกัมป์อยู่ตลอด แต่ไม่รู้จะติดต่อกัมป์ยังไง เลยได้แต่ส่งจดหมายไปที่บ้าน จนกระทั่งกัมป์มาในวันนี้
.
และ กัมป์ ก็ถามถึงเด็กผู้ชายที่ดูทีวีอยู่ว่าชื่ออะไร เจนนี่ก็บอกว่าชื่อ กัมป์ ตั้งชื่อตามพ่อของเด็ก พอได้ยินดังนั้น กัมป์ก็เลยถามว่า ลูกผมเหรอพร้อมทั้งดีใจ(ทั้งน้ำตา) แล้วก็ถามอีกว่า เค้า ฉลาดไหม (ถามด้วยสีหน้ากังวลว่า กลัวจะเป็นแบบตัวเอง) ซึ่งเจนนี่บอกว่า เค้าฉลาดมาก และก็บอกให้กัมป์ไปนั่งคุยกับลูกตามประสาพ่อลูก ส่วนเจนนี่ก็ขอตัวออกไปทำงาน พร้อมทั้งบอกลูกว่าอยู่กับน้าผู้ชายคนนี้นะ ซึ่ง กัมป์จูเนึยร์ตอบว่า ครับแม่ และกัมป์ ก็ค่อยๆ ขยับมานั่งลงข้างๆ ลูกชายของตัวเอง พร้อมทั้งค่อยๆ คุยและดูทีวีไปด้วย
.
หลังจากนั้น เจนนี่ และลูกก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของกัมป์ และทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจแต่งงานกัน โดยมีการจัดพิธีแต่งงานที่บ้านกัมป์ (ซึ่งตอนนี้ ไม่ได้ทำเป็นโรงแรมแล้วตั้งแต่แม่เสีย) โดยมีแขกมาร่วมงานมากมาย รวมทั้งผู้หมวดแดนที่เดินมาพร้อมกับแฟนสาว (โดยที่กัมป์ถึงกับตกใจและดีใจที่ผู้หมวดแดนกลับมาเดินได้ โดยผู้หมวดแดนก็ได้โชว์ ขาเทียมให้ดู) พร้อมทั้งอวยพรให้ทั้งคู่ พบแต่ความสุข และหลังจากนั้น ทั้งคู่ รวมทั้ง กัมป์จูเนียร์ ก็อยู่ด้วยกันไม่เคยห่าง แต่แล้วเวลาผ่านไป เจนนี่ ก็เริ่มป่วย ด้วยโรคจากไวรัสชนิดนึง ซึ่งรักษาไม่หาย ซึ่งหลังจากนั้นกัมป์ก็คอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายของเจนนี่ เขาได้นำเจนนี่ ไปฝังไว้ข้างๆ แม่ของเขา ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่เป็นความทรงจำตั้งแต่เด็กๆที่ทั้งสองเคยเล่นและปีนด้วยกัน
.
บทส่งท้าย ตัดมาที่ กัมป์ จูเนียร์ เดินไปขึ้นรถ เพื่อจะไปโรงเรียนวันแรก พร้อมกับคนขับรถคนเดิม คนที่เคยรับกัมป์ขึ้นรถ เขาแนะนำตัวว่า ผมชื่อ ฟอร์เรสท์ ฟอร์เรสท์ กัมป์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ
หากเราคิดทบทวน
ชีวิตคนเรา บางเบาเหมือนขนนก ยามต้องลมพัดโบกก็ไม่รู้ว่าจะล่องลอยไปตกลงตรงไหน
ชีวิตคนเรา แม้จะล่องลอยไปตามกระแสชีวิต เคว้งคว้างปลิดปลิว แต่ก็อาจประสบความสำเร็จได้ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ
คนที่มีสติปัญญาอ่อนด้อย และคิดในมุมที่ไม่เหมือนคนอื่น ก็อาจประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ขอเพียงใจมุ่งมั่น #แค่นั้นพอ
#25ปีฟอร์เรสต์กัมป์
โฆษณา