27 มิ.ย. 2019 เวลา 09:56 • บันเทิง
#ความเชื่อและวัฒนธรรมไวน์
มาต่อกันจาก post ก่อนเรื่องต้นกำเนิดไวน์ ด้วยเรื่องความเชื่อและวัฒนธรรมไวน์กัน
ไวน์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีตำนานมาอย่างยาวนาน ทั้งในเรื่องศาสนา ความเชื่อ อาณาจักรโบราณ ไวน์ในโลกตะวันออก รวมไปถึงตำนานการเกิดของไวน์โลกใหม่
เริ่มจากไวน์เป็นสิ่งที่สำคัญมากในศาสนาคริสต์ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบขนมปังเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์แล้ว ไวน์หรือเหล้าองุ่นก็เปรียบได้กับโลหิตของท่านเลยทีเดียว
ไวน์ยังเป็นสิ่งที่มนุษย์ในยุคโบราณใช้เพื่อการบวงสรวงเพราะไวน์มีสีแดง เปรียบเทียบได้กับสีของเลือด เพราะในสมัยก่อนมนุษย์เราออกล่าสัตว์เพื่อนำเนื้อมาทำอาหาร หนังและขนสัตว์นำมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม และด้วยความที่เราเห็นเลือดสัตว์ที่มีสีแดงคล้ายเราทำให้เราเกิดความกลัวการตาย จึงพัฒนามาเป็นความเชื่อในเทพเจ้าองค์ต่างๆ และบูชาเทพเจ้าด้วยสัตว์ที่ตายเหล่านั้น พร้อมทั้งถวายเหล้าองุ่นที่มีสีคล้ายเลือดสัตว์
สีแดงของไวน์หรือเหล้าองุ่นแทนความตายและการเกิดใหม่เหมือนต้นองุ่นที่ตายในฤดูหนาวแต่กลับผลิบานงอกใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ
ต่อให้ไวน์ในสมัยก่อนจัดเป็นน้ำลึกลับเพราะทำให้คนมึนเมา แต่ในศาสนาคริสต์ก็ยังอนุญาตให้คนดื่มไวน์ได้ในโบสถ์ จึงได้มีการกล่าวถึงไวน์มากมายในพระคัมภีร์ไบเบิล
แม้แต่ในยุคสมัยของการปฏิวัติศาสนาคริสต์ โดย ชอง กัลแวง (Jean Calvin) นักปฏิรูปศาสนาที่ห้ามให้มีการร้องเพลง และให้คนหันมาเคร่งศาสนา ก็ยังอนุญาตให้ดื่มไวน์ได้ โดยที่หน้าร้านเหล้าต้องมีไบเบิลตั้งไว้
ราวปี 1000 ประชากรยุโรปเพิ่มสูงขึ้นทำให้ความต้องการดื่มไวน์เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของศาสนาเช่นกัน โดยอารมจะเป็นศูนย์กลางการเพาะปลูกองุ่น มีการใช้ไวน์ในการประกอบพิธีทางศาสนา และพระเองก็มีส่วนร่วมในขั้นตอนการผลิตไวน์อีกด้วย
ในสมัยกรีก-โรมันโบราณก็มีความเชื่อเรื่องไวน์กับเทพเจ้าเช่นกัน
ชาวกรีกนักถือไดโอนีซัส ซึ่งเป็นเทพเจ้าเเห่งไวน์ ที่เป็นบุตรของมหาเทพซุสกับมนุษย์อย่างสิมิลี
ส่วนในสมัยโรมันก็นักถือแบคคัสซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไวน์เหมือนในสมัยกรีกเช่นกัน
แต่ไวน์ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกสาเหตุก็มาจากการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ การค้นหาทวีปใหม่ๆก็ทำให้ไวน์แพร่ไปด้วยจนทุกเขตที่มีการผลิตไวน์ก็คือเขตที่มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นั่นเอง
ส่วนไวน์ในโลกตะวันออก อย่างจีนและญี่ปุ่นนั้น มีสาเหตุมาจากการผลิตมากกว่าทางด้านศาสนา โดยจีนได้มีการผลิตเหล้าองุ่นมาตั้งแต่ยุคโบราณ แต่การผลิตแบบตะวันตกเพิ่งจะเข้ามาเมื่อมิชชันนารีเริ่มเข้าประเทศ
ส่วนในเรื่องทัศนคติที่มนุษย์มีต่อไวน์นั้นเปลี่ยนไปในยุคทศวรรษ 1820 เพราะเดิมมนุษย์เชื่อว่าไวน์ที่ทำจากผลไม้โดยที่ไม่เติมอะไรเข้าไปเลยนั้นไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ ทั้งที่คนส่วนมากรู้ว่าในวิสกี้มีแอลกอฮอล์แต่กลับไม่คิดว่าไวน์ หรือโลหิตพระเจ้า จะมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย ทัศนคติที่คนมีต่อไวน์จึงเปลี่ยนไป ประกอบกับปี 1849 เกิดโรคแอลกอฮอล์เรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก ทำมห้เกิดการประท้วงให้เลิกดื่มไวน์ แต่ก็ทำได้ไม่นานนักเพราะไวน์ได้รับอนุญาตจากคัมภีร์ไบเบิลและแถมยังดีต่อสุขภาพ ทำให้คนอายุยืนขึ้น จนเกิดคำพูดที่ว่ากันว่าไวน์เป็น เฟรนช์ พาราด็อกซ์ (French Paradox) ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ผิดจากสิ่งธรรมดาในฝรั่งเศส เพราะแทนที่คนดื่มแอลกอฮอล์จากไวน์จะเกิดโรคต่างๆ แต่ไวน์กลับทำให้ผู้ที่ดื่มอายุยืนขึ้น เลยทีเดียว
#อ่านแล้วมาย่อยจากหนังสือโลกของไวน์
Cr: photo :google
โฆษณา