11 ก.ค. 2019 เวลา 05:44
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคสมัยที่ยังไม่มียานพาหนะใดๆ มีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง มีความมุ่งมั่นปรารถนา อยากจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ด้วยวิธีผจญภัยแบบไม่ต้องใช้เงิน
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้น่าจะใช้เวลาเป็นเดือน ท่านเศรษฐีจึงให้คนรับใช้คนสนิท เป็นผู้จัดการเตรียม สัมภาระที่จำเป็นรวมถึงเสบียงอาหารให้เพียงพอ
ซึ่งในส่วนของสัมภาระ เสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นนั้นมีน้ำหนัก ประมาณ 20 กิโลกรัม ส่วนเสบียงอาหารนั้น มีน้ำหนักถึง 50 กิโลกรัม
ท่านเศรษฐีจึงได้จ้างคน มาช่วยแบกของเพิ่ม โดยให้คนรับใช้คนสนิทเป็นผู้เลือกก่อนว่าจะแบกอะไร
คนรับใช้ตัดสินใจ ที่จะเลือกแบบเสบียงอาหาร ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า
ท่านเศรษฐีรู้สึกไม่พอใจ ในการตัดสินใจของคนรับใช้ จึงให้เลือกใหม่อีกครั้ง
แต่คนรับใช้ก็ยังยืนยัน ที่จะขอแบกเสบียงอาหาร ท่านเศรษฐีรู้สึกโกรธมาก ทั้งที่ตัวเองอุตส่าห์หวังดี อยากใหคนรับใช้ ไม่ต้องเหนื่อยแบกของหนัก
" ในเมื่อเจ้าตัดสินใจอย่างนั้นก็ตามใจเจ้า แล้วอย่ามาบ่นทีหลังให้ข้าได้ยินแล้วกัน"
เมื่อถึงวันเดินทาง คนรับใช้จึงแบกเสบียงอาหาร ขึ้นบ่า ส่วนลูกจ้างชั่วคราวก็แบกเสื้อผ้า ของใช้ไว้ข้างหลัง โดยมีท่านเศรษฐีขี่ม้าเดินนำหน้า
จนระยะเวลาผ่านไปครบ 1 เดือน เสบียงอาหารที่เตรียมไว้ ก็เหลือเพียงแค่ 1 ส่วนเท่านั้น แต่สัมภาระเสื้อผ้าของใช้ก็ยังคงมีน้ำหนัก 20 กิโลเท่าเดิม ซึ่งขณะนั้นท่านเศรษฐีก็เดินทางใกล้ จะกลับถึงบ้านแล้ว
วันนั้นถ้าเกิด คนรับใช้เลือกที่จะแบก สัมภาระเสื้อผ้าของใช้ ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่า เขาก็จะต้องแบกน้ำหนัก 20 กิโลนั้นไปตลอดเส้นทาง ในขณะที่เรี่ยวแรง ก็จะเริ่มถดถอยลงไปด้วยความเหนื่อยล้า
วันนี้ถ้าคุณยังเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ยอมเหนื่อย ไม่อดทนกับความยากลำบาก คุณอาจจะต้องเหนื่อยหนัก ในตอนที่คุณไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้วก็ได้นะครับ ขอบอก
โฆษณา