15 ก.ค. 2019 เวลา 13:09 • ปรัชญา
"ยาย...คือคุณแม่ของคุณแม่"
ผมเกิดในครอบครัวที่คนสมัยนี้นิยามให้ว่า "ชนชั้นกลาง" ทั้งพ่อและแม่เป็นข้าราชการโดยอาชีพ ผมมีพี่หนึ่ง น้องอีกหนึ่ง รวมสามคนพี่น้อง
โดยลำพังเพียงเงินเดือนข้าราชการสองคนกับลูกสามคน ถือว่าพอไหวเท่านั้น พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟังว่าก็ลำบากพอดู ดีที่ได้ "ยาย" คอยช่วยในยามที่ลำบากหรือเข้าตาจน
ผมจำได้ว่า "ยาย" เป็นญาติผู้ใหญ่ที่ผมคุ้นเคยด้วยมากที่สุด เพราะทุกๆวันหลังกลับจากโรงเรียน ผมจะเจอยายนั่งยิ้มรอเราอยู่ในบ้านเสมอ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงสูงอายุคนนี้ จะเป็นคนอุ้มลูกจูงหลาน วิ่งหลบระเบิดลงหลุมหลบภัยจากการโจมตีทางอากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ยายไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ยายพออ่านได้ เขียนชื่อตัวเองได้ แต่ท่องสูตรคูณได้แม่นมาก เพราะเคยค้าขายมาก่อน ยายต้องทำงานเพื่อเลี้ยงลูกถึง 7 คน อาจจะเรียกว่าโดยลำพังก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเจอคุณตา เพราะท่านเสียไปนานแล้ว
ผมอยู่กับยายทุกเย็น ตามประสาเด็กๆที่กลับบ้านมาพร้อมความหิวโซ อาหารโปรดที่ยายมักทำให้ทานรองท้องตอนเย็นๆคือ "แคบหมูตำกับเกลือเม็ดโต" ใครเคยทานจะรู้ว่า เป็นอาหารพื้นๆที่อร่อยมากในความทรงจำและความรู้สึกในวัยเยาว์ โดยเฉพาะเวลากินกับข้าวเหนียวอุ่นๆนุ่มๆ
ยายสอนผมหลายอย่าง ทั้งเรื่องกิริยามารยาท ไปลามาไหว้ ยายห้ามไม่ให้ไปเล่นที่แม่น้ำ เพราะมีเด็กจมน้ำเสียชีวิตเป็นประจำ ดีที่ยายไม่รู้ว่าผมชอบไปมุดท่อระบายน้ำใต้รางรถไฟอยู่บ่อยๆ ถ้ารู้มีหวังโดนสวดยับ แต่จำได้ว่ายายไม่เคยตีผมเลย มากสุดแค่ดุด่าเท่านั้น
1
ยายสอนพื้นฐานทางการเงินให้ สอนให้เก็บให้ออม โดยผมจะเหลือเงินมาจากเงินค่าขนมไปโรงเรียน สมัยนั้นได้ไปวันละ 3 บาท เหลือ 1 บาทก็ฝากยายไว้ทุกวัน คอยทวนยอดคงเหลือ NAV ทุกๆวัน
จนถึงวันหนึ่งอยากได้ของเล่น ขอเบิกเงินที่ฝากไว้กับยาย แต่ที่ยายให้คืนมาคือ
"หมดแล้ว ซื้อข้าวให้สูกินหมดแล้วก่ะ"
น้ำตาของเด็กน้อยไหลริน ในตอนนั้นยอมรับว่าโกรธยายมาก เหมือนเราโดนหลอก แต่โตมาก็คิดได้ว่า ยายไม่ได้มีรายได้ ครอบครัวเรายังต้องพึ่งเงินเก็บของยายด้วยซ้ำ แล้วยายจะเอาที่ไหนมาคืนเรา คิดได้ตอนนี้ก็เสียใจมาก เพราะมันย้อนเวลากลับไปขอโทษยายไม่ได้เสียแล้ว
1
ผมได้ดูแลยายแค่ในเรื่องเล็กๆน้อยๆทั่วไปเช่น ยกข้าวไปให้ทาน เทกระโถนปัสสาวะ นั่งเล่นเป็นเพื่อน ทำได้เท่าที่เด็กชายวัยสิบขวบจะทำได้ในตอนนั้น
ผมจำภาพที่ยายนั่งบนชิงช้าเหล็กยาวเก่าๆที่วางอยู่ข้างบ้านได้เสมอ มือถือไม้เท้าเพราะขาที่เริ่มอ่อนแรง ยายออกมานั่งเพื่อรับลมเย็นตอนหัวค่ำ ผมสัญญากับยายไว้ว่าจะสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดให้ได้ตอนจบ ป.6 แต่ยายก็ไม่ทันได้เห็นความสำเร็จครั้งแรกของเด็กชายตัวเล็กจิ๋วที่ยืนอยู่ท้ายแถวก่อนเข้าห้องเรียนเสียแล้ว
เช้าวันหนึ่งในหน้าหนาวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผมได้ยินเสียงคุณแม่ของผมตะโกนโวยวายอยู่นอกห้อง
"อีแม่ อีแม่ อีแม่ตื่น อีแม่ตื่น!"
ผมเดินงัวเงียออกมาหน้าห้อง เดินไปห้องนอนคุณยายที่อยู่ติดกัน แม่กับพ่อพร้อมทั้งป้าที่อยู่บ้านติดๆกัน พากันร้องไห้ ผมยังสับสน เห็นแค่ยายนอนนิ่ง แต่เหมือนมีรอยยิ้มที่มุมปาก หลับตาราวกับกำลังฝันดี ตัวยังอุ่นๆตอนที่ผมสัมผัสท่าน แม่บอกว่า "ยายเสียแล้วลูก กราบยายสิลูก"
น้ำตาไหลออกมาไม่หยุดในตอนนั้น และแม้แต่ตอนที่กำลังเขียนในเวลานี้ ถึงเวลาจะผ่านมายาวนานมากแล้ว แต่ภาพหญิงชราที่นั่งยิ้มรอรับเราตอนกลับบ้าน บนม้านั่งไม้ตัวใหญ่กลางบ้าน ยังคงติดอยู่ในห้วงคำนึงเสมอ บางเวลาที่ผมอ่อนแอมากๆ ผมก็ร้องไห้ถึงท่าน "ยายจ๋า" ผมคิดถึงยาย
1
ถ้าวันนี้ท่านยังอยู่ หรือแม้ว่าท่านจะมองดูผมจากบนสวรรค์ชั้นไหนก็แล้วแต่ ท่านคงเห็นชายธรรมดา ที่พยายามดิ้นรนบนโลกที่แสนสับสนและวุ่นวายในทุกๆ วัน แต่ยายคงภูมิใจที่ผมสอบเข้าโรงเรียนมัธยมได้ตามที่สัญญาไว้ เติบโตมาเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนอย่างที่ยายอยากเห็น เป็นคนที่ตอบแทนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามสมควรแก่อัตตภาพ เป็นชายที่พยายามดูแลครอบครัว แม้จะไม่ได้ดีมากนักก็ตาม และที่สำคัญคือผม "ยังคิดถึงยายเสมอครับ" หวังว่ายายจะภูมิใจในตัวผม คนธรรมดาๆ คนนี้นะครับ
แด่คุณแม่ของคุณแม่
รักและคิดถึงยายครับ.....
ฝากถึงทุกคนที่ยังมีโอกาสได้ บอกรัก โอบกอด ขอโทษ และแสดงความรักกับคนที่เรารักได้ ขอให้ใช้โอกาสของคุณ ได้ใช้เวลากับคนที่เรารักให้คุ้มค่าที่สุด
1
วันที่เราต้องจากกันนั้นมาถึงแน่นอน เพียงเราใช้เวลาที่ยังเหลืออย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างที่อยากทำหรือยัง เพื่อที่ในวันข้างหน้า เราจะไม่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอีกว่า..
"ถ้าในวันนั้นฉัน....คงจะดี"
ขอให้มีเวลาดีๆกับคนที่เรารักได้ยาวนานกันทุกครับ
เปิดบันทึกความทรงจำโดย Deux @ storylog
ส่งต่อความคิดถึง และโอบกอดด้วยหัวใจ by เพจเรื่องสั้นๆ @ blockdit
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา