25 ก.ค. 2019 เวลา 13:01 • กีฬา
นี่คือบทสรุปของมหากาพย์ ไฟต์หยุดโลกมูฮัมหมัด อาลี กับ ซอนนี่ ลิสตัน
ในพาร์ทนี้ จะเล่าตอนจบของทุกอย่าง รวมถึงเหตุผลของอาลี ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนชื่อจากแคสเซียส เคลย์ เป็นมูฮัมหมัด อาลี และเปลี่ยนศาสนา จากคริสต์เป็นอิสลาม
ติดตามได้จาก Part Final ของซีรีส์นี้ในชื่อตอนว่า
"หนึ่งเดียวในโลก มูฮัมหมัด อาลี"
ในปี 1954 เอ็มเม็ตต์ ทิลล์ หนุ่มผิวดำวัย 14 ปี เดินทางจากชิคาโก้ มาเยี่ยมญาติในรัฐมิสซิสซิปปี้
ระหว่างการเดินทาง เขาแวะซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ที่เมืองเล็กๆชื่อ มันนี่ และมีโอกาสเจอกับสาวสวยผิวขาวชื่อ แคโรลีน ไบรอันต์ วัย 21 ปี ที่เป็นเจ้าของร้าน
ชิคาโก้ ในรัฐอิลลินอยส์ บ้านของเอ็มเม็ตต์ เป็นเมืองใหญ่ มีการเหยียดผิวไม่รุนแรง ตรงข้ามกับมิสซิสซิปปี้ ที่เอ็มเม็ตต์ยืนอยู่ขณะนี้ นี่เป็นรัฐที่การเหยียดผิวรุนแรงมากที่สุด
ด้วยความที่ไม่รู้จักความรุนแรงของการเหยียดผิวเลย เอ็มเม็ตต์ จึงแซวแคโรลีน ระหว่างที่เข้าไปซื้อของ พูดจา Flirt ตามประสาเด็กหนุ่มวัยรุ่น
แคโรลีน กำลังจัดสต๊อกสินค้าอยู่ เอ็มเม็ตต์พูดจาจีบ ถามว่า "ไปเดทกันมั้ย ที่รัก" ด้วยความกลัวแคโรลีน เดินหนีมาที่แคชเชียร์ เอ็มเม็ตต์เดินตามมาต่อ แล้วพูดว่า "เป็นอะไรล่ะสาวน้อย ผมเคยเดทกับสาวผิวขาวมาแล้วนะ"
บทสนทนาในร้าน และการซื้อของใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที เอ็มเม็ตต์เดินออกจากร้านไปขึ้นรถของตัวเอง และได้ผิวปากแซว แคโรลีนส่งท้ายไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนขับรถออกไป
ถ้าเป็นที่ชิคาโก้ เรื่องนี้จะไม่มีอะไรเลย เป็นบทสนทนาที่ปกติธรรมดามาก ชายหนุ่มจีบหญิงสาว ถ้าหญิงสาวไม่เล่นด้วยก็จบ ไม่ได้มีการบังคับขืนใจ ใช้ความรุนแรงต่อกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาประเมินผิดไป คือ นี่มันเป็นรัฐมิสซิสซิปปี้
สามวันต่อมา พบศพเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ ที่แม่น้ำทัลลาแฮทชี่
ร่องรอยจากการชันสูตร เอ็มเม็ตต์ โดนท่อเหล็กฟาดเต็มแรงหลายครั้งไปที่ศีรษะจนกะโหลกร้าว จากนั้นก็มัดขาไว้ด้วยซากเหล็กหนัก 30 กิโล จับถ่วงแม่น้ำ
ตอนที่ตำรวจไปพบศพ หน้าตาของเอ็มเมตต์โดนเหล็กฟาดเละเทะจนแยกไม่ออก ว่านี่เป็นศพของใคร แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่านี่คือเอ็มเมตต์ คือแหวนที่ศพใส่อยู่ เป็นแหวนที่คุณพ่อเขาให้มา
ตำรวจเริ่มการสืบคดี และเจอคนร้ายอย่างง่ายดาย ซึ่งได้แก่ รอย ไบรอันต์ สามีของแคโรลีน สาวน้อยในร้านขายของชำนั่นเอง
รอย ไบรอันต์ กับลูกพี่ลูกน้อง จอห์น มิลาม ไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด เขายอมรับว่าฆ่าเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ โทษฐานที่มาพูดจาจาบจ้วง และแซว ภรรยาของเขา
เป็นแค่คนดำ กล้าดีอย่างไร มาจาบจ้วงภรรยาของคนขาว ดังนั้นรอย จึงไปลักพาตัวเอ็มเม็ตต์ ก่อนที่จะฆ่าอย่างทารุณ และจับถ่วงน้ำเพื่ออำพรางคดี
การขึ้นศาลในคดีนี้ เป็นที่สนใจอย่างมาก ของคนในสหรัฐฯ เพราะเป็นการต่อสู้กันของคนผิวขาว กับ คนผิวดำ
ต่างคนก็ต่างมองว่า อีกฝ่ายทำผิด สุดท้ายจึงต้องตัดสินกันที่ศาล
ฝ่ายครอบครัวของเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ เรียกร้องให้ รอย กับ จอห์น มิลาม โดนประหารชีวิต ข้อหาฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
แต่ทนายฝั่งรอย ไบรอันต์ ให้เหตุผลว่า ผู้ต้องหาทำไปเพราะต้องการปกป้องเกียรติของภรรยาตัวเอง ที่โดนคนผิวดำลบหลู่
ในคดีนี้คณะลูกขุนทั้ง 12 คน เป็นคนผิวขาวทั้งหมด ซึ่งทั่วอเมริกาก็จับตาดูว่า สุดท้ายความถูกต้อง จะมีพลังเหนือสีผิวหรือไม่
จอห์น มิลาม ขึ้นให้การในศาลว่า "ผมไม่ใช่คนชอบกลั่นแกล้งใคร ผมไม่เคยทำร้ายพวกนิโกรมาก่อนเลยในชีวิต ผมชอบนิโกรนะ ถ้าพวกมันอยู่ในที่ของตัวเอง ในเมืองของผมนิโกรไม่มีสิทธิจะโหวต ซึ่งถ้าเราปล่อยให้พวกมันได้มีสิทธิมีเสียง ทั้งเมืองจะปั่นป่วนแน่"
"พวกมันไม่ควรได้สิทธิไปเรียนในโรงเรียนเดียวกับลูกของผม และถ้าหากพวกมันกล้าแซวผู้หญิงผิวขาวแบบนั้น มันก็ล้ำเส้นเกินไปแล้ว"
มิลาม บอกว่าตอนที่เขาลักพาตัวไปตอนแรก ตั้งใจจะแค่ทำร้ายสั่งสอน แต่เมื่อเอ็มเม็ตต์พูดจาตอบโต้ เขาจึงตัดสินใจฆ่าทิ้ง เพื่อให้คนผิวดำได้เห็นตัวอย่างว่า การที่จะลองดีกับคนผิวขาวในเมืองนี้ ต้องได้รับจุดจบอย่างไร
ในการแถลงสรุปของฝ่ายทนายจำเลย ได้กล่าวว่า "ผมมั่นใจว่า ท่านลูกขุนผิวขาวทุกคนในที่นี้ จะมีความกล้า ที่ปลดปล่อยชาย 2 คนนี้ให้เป็นอิสระ"
ขณะลูกขุนใช้เวลาปรึกษากัน 67 นาที และประกาศผลตัดสินว่า
"Not Guilty"
ชายผิวขาวที่ทำฆาตกรรม ไม่มีความผิด และถูกปล่อยตัวออกจากห้องขังทันที
คดีนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้อเมริกาอย่างรุนแรง มีการทวงถามว่าความยุติธรรมอยู่ที่ไหน คนที่ทำฆาตกรรมอย่างเปิดเผย กลับรอดคดี เพียงเพราะมีสีผิวเหมือนกับคณะลูกขุน
คนที่กระเทือนใจอย่างหนักอีกคน ได้แก่เด็กชายแคสเซียส เคลย์วัย 13 ปี เขาอายุห่างจากเหยื่อเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ แค่ 1 ปีเท่านั้น
เขาเริ่มตั้งคำถามถึงความเท่าเทียมกันของสังคม ว่าเพราะอะไรกันแน่ คนถึงได้เกลียดชังกันได้ขนาดนี้
เอ็มเม็ตต์ กับ ฆาตกร ล้วนเป็นคริสเตียนด้วยกันทั้งคู่ และนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่กลับไม่มีความรัก ความเมตตาให้แก่กัน
เรื่องนี้กลายเป็นปมในใจของเคลย์ตั้งแต่ อายุ 13 เรื่องของสีผิว พัฒนาไปสู่ประเด็นความเชื่อทางศาสนา
"ผมกับเอ็มเม็ตต์ เราอยู่ในวัยเดียวกัน ผมอ่านข่าวของเขาในหนังสือพิมพ์ ในภาพเขายังหัวเราะดูมีความสุขอยู่เลย แต่สุดท้ายเขากลับโดนฆ่า ที่มิสซิสซิปปี้" เคลย์กล่าว
ตอนอายุ 16 ปี เคลย์เดินทางไปแข่งชกมวย รายการโกลเด้นโกลฟส์ ที่ชิคาโก้
และมีโอกาสได้รู้จักกลุ่มที่ชื่อ Nation of Islam (NOI) ซึ่งเป็นกลุ่มของคนอิสลามผิวดำ ซึ่งมีฐานอยู่ในชิคาโก้
กลุ่มนี้นำโดย อีไลจาห์ มูฮัมหมัด และ มัลคอล์ม เอ็กซ์ สองนักขับเคลื่อนทางสังคม ซึ่ง NOI ไม่ได้เป็นแค่การรวมตัวกันของคนผิวดำที่นับถืออิสลามเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนดำในอเมริกาอีกด้วย
เคลย์เมื่อมีเวลาร่วมกับคนจาก NOI ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าที่เมืองอื่นในสหรัฐฯ คนผิวดำ มีสิทธิมีเสียง มากกว่าในรัฐเคนตักกี้ที่เขาอยู่มากนัก
นอกจากนั้นที่ NOI ทำให้เคลย์ ได้รู้จักวิถีของศาสนาอิสลามด้วย และเขารู้สึกว่า แนวทางของอิสลามตอบโจทย์เขามากกว่า
เคลย์มีความคิดจะเปลี่ยนศาสนาตั้งแต่ตอนวัยรุ่นแล้ว แต่ยังชั่งใจอยู่ เพราะครอบครัวของเขาทั้งหมด เป็นคริสเตียนมาหลายชั่วอายุคน
แต่เวลาผ่านไป เคลย์ก็เริ่มแน่ใจในตัวเองมาเรื่อยๆ ว่าเขาอยากเปลี่ยนศาสนาจริงๆ แต่เจ้าตัวก็ตั้งใจว่า ต้องการรอให้จบศึกชิงแชมป์โลกกับซอนนี่ ลิสตันก่อน แล้วจะประกาศอย่างเป็นทางการ
พอเอาชนะลิสตันได้ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เคลย์ได้บอกกับทีมงานของตัวเองว่า เขาจะประกาศกับสังคมแล้วนะ ว่าจะเปลี่ยนศาสนา
บิลล์ เฟเวอร์แชม ผู้จัดการส่วนตัวของเคลย์ เตือนว่า ถ้าเขาประกาศเรื่องเปลี่ยนศาสนา จะมีสปอนเซอร์ 2 ตัว ถอนจากเขาทันที และจะสูญเงินรายได้ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เคลย์ยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม
"รู้ไหม เวลาผมไปอยู่ร่วมกับกลุ่มคนมุสลิมแล้วผมเจอกับอะไร ผมเห็นคนที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ขณะที่ผู้หญิงก็แต่งตัวสำรวมเสื้อผ้ามิดชิด จากนั้นพอผมเดินออกมาจากจุดนั้น พวกคุณกลับมาบอกว่า ผมไม่ควรไปอยู่ตรงนั้นอย่างนั้นหรอ?" เคลย์ตอบ
"ผมมีคำตอบในใจของตัวเอง และผมไม่ต้องการที่จะเป็น ในสิ่งที่ทุกคนอยากให้ผมเป็น"
6 มีนาคม 1964 เคลย์ประกาศต่อสังคมว่า เขาจะเปลี่ยนศาสนา รวมถึงเปลี่ยนชื่อด้วย จากแคสเซียส เคลย์ เป็นมูฮัมหมัด อาลี โดยเขาให้เหตุผลว่า
"แคสเซียส เคลย์ เป็นชื่อของทาส ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ต้นตระกูลผิวดำของผม ไม่ได้มีนามสกุลเคลย์ตั้งแต่แรกแน่ ซึ่งเมื่อผมไม่ได้เลือกเอง ผมก็ไม่อยากได้ จากนี้ไป ผมคือมูฮัมหมัด อาลี ชื่อที่ผมเลือกเอง มันแปลว่า รักจากพระเจ้า และจากนี้ไปอยากให้ทุกคนเรียกผมด้วยชื่อนี้"
เมื่อเขาประกาศจุดยืน แคสเซียส เคลย์ ก็ไม่ถูกเรียกอีกต่อไป และทุกคนก็เริ่มใช้ชื่อ มูฮัมหมัด อาลี กันนับแต่นั้น
อาลี นับถืออิสลาม ในลัทธิของ Nation of Islam มาจนถึงปี 1975 ก็เปลี่ยนมานับถือนิกายซุนนี และ ในปี 2005 เปลี่ยนมานับถือลัทธิซูฟีย ก่อนจะเสียชีวิตในปี 2016
1
หลังจบไฟต์กับซอนนี่ ลิสตัน ที่ไมอามี่แล้ว ชื่อเสียงของมูฮัมหมัด อาลี ก็โด่งดังไปทั่วโลก
เขาคือแชมป์ที่มีคาแรกเตอร์ ปากดี พูดเก่ง แต่ก็ต่อยเก่งมากๆด้วย ดังนั้นจึงมีนักชกจำนวนมาก อยากจะขอท้าชิงแชมป์โลกกับอาลี
แต่สุดท้าย อาลี เลือกให้ซอนนี่ ลิสตัน แก้มือก่อนเป็นคนแรกในไฟต์รีแมตช์
ตามจริง WBA มีกฎว่าแชมป์โลก ห้ามรีแมตช์ทันทีกับคู่ชกคนเดิม แต่อาลีไม่สน ก็เขาจะชกกับลิสตัน ใครจะทำไม ทำให้ WBA ริบแชมป์โลกอาลี โทษฐานฝ่าฝืน จนเหลือแค่เข็มขัด 2 เส้นเท่านั้นคือ WBC กับ The Ring
สาเหตุที่อาลี เจาะจงเลือกลิสตัน เพราะเขารู้ดีว่าสังคมยังคงมีคำถาม ในไฟต์ที่แล้วลิสตันมีอาการบาดเจ็บจนรีไทร์ไปเอง มันเป็นชัยชนะที่ไม่เคลียร์ 100% ดังนั้น อาลี อยากพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า เขาไม่ได้แชมป์มาเพราะโชคหรือดวง
ไฟต์นี้ตกลงชกกันที่บอสตัน ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 1964 แต่ทว่าก่อนชกแค่ 3 วัน อาลีต้องเข้ารับการผ่าตัดลำไส้อย่างเร่งด่วน ทำให้ไฟต์ต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 25 พฤษภาคม 1965 แทน
1
ขณะที่สังเวียนก็ต้องเปลี่ยนจากบอสตัน การ์เด้น เป็น เซ็นทรัล เมน ยูธเซ็นเตอร์ ในเมืองลูวิสตัน รัฐเมน
ในงานแถลงข่าวก่อนการชก อาลี กับลิสตัน นั่งอยู่ด้วยกัน โดยนักข่าวก็จะยิงคำถามใส่ทั้งคู่
นักข่าวถามอาลี เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับ Nation of Islam ซึ่งอาลี ได้สวนกลับไปว่า "ทำไมคุณต้องถามเรื่องความเชื่อของผมล่ะ เวลาคุณไปสัมภาษณ์นักการเมือง คุณเคยหยิบเรื่องความเชื่อมาถามแบบนี้ไหม?"
4
ลิสตันเห็นอาลีกำลังหงุดหงิด จึงได้ที ล้อเลียนใส่ทันควัน "รู้อะไรไหม ผมไม่อยากสู้กับนักมวยชื่ออาลี มิลาเหม็ด อะไรนี่หรอก ผมรู้จักเขาในฐานะแคสเซียส เคลย์ ก็ต้องการปิดบัญชีกับเขาบนสังเวียนในฐานะแคสเซียส เคลย์เช่นกัน"
นักข่าวเมื่อเห็นแววดราม่า จึงถามเคลย์ทันทีว่า ลิสตันดูหมิ่นคุณแบบนี้ คุณรู้สึกอย่างไร
"เขาไม่ได้ดูหมิ่นหรอก" อาลีตอบ "เพียงแต่เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมจะทำ"
"เอาเป็นว่าต่อจากนี้ ผมอยากให้ทุกคนเรียกผมว่า มูฮัมหมัด อาลี ก็แล้วกัน"
ในการชกไฟต์นี้ สำนักพนันยังให้ลิสตันเป็นต่อ แม้จะเป็นผู้ท้าชิงก็ตาม
ราคาของอาลี อยู่ที่ แทง 5 ได้ 13 ถ้าเทียบกับภาษาบอลก็เป็นรองประมาณครึ่งลูก
ซึ่งถ้าเทียบกับเรตลูกครึ่งเมื่อไฟต์ก่อน จะเห็นว่า ช่องว่างของสองคนนี้ ลดลงมากกว่าเดิมเยอะ
สาเหตุที่ลิสตันเป็นต่อ เพราะประสบการณ์บนสังเวียนมวยอาชีพนั้นโชกโชนกว่า อีกทั้งคราวนี้เขาไม่ประมาทอีกแล้ว หลังจากเสียแชมป์ลิสตัน กลับไปฟิตซ้อมอย่างหนัก มีการศึกษาข้อมูลอาลีอย่างละเอียด คือไม่อยากให้พลาดเหมือนไฟต์ที่แล้ว
ตรงข้ามกับอาลี พอได้แชมป์เขาก็ตระเวนออกสื่อ และทำกิจกรรมมากมาย มีเดินทางไปที่ประเทศกาน่า ในทวีปแอฟริกาด้วย
ความเพลิดเพลินหลังได้แชมป์โลก ทำให้น้ำหนักตัวของอาลีพุ่งพรวดไปเกือบ 10 กิโลกรัม เจ้าตัวจำเป็นต้องรีดน้ำหนักอย่างเต็มที่ เพื่อคืนสภาพให้สมบูรณ์ก่อนวันชก
วันชกมาถึง ในการชั่งน้ำหนักช่วงเช้า อาลีลดได้จริงๆ เขาลดลงไปเหลือ 206 ปอนด์ (93.4 กิโลกรัม) น้อยกว่าไฟต์แรกเสียอีก ส่วนลิสตัน หนัก 215.25 ปอนด์ (97.6 กิโลกรัม) ช่องว่างห่างกันถึง 4.3 กิโลกรัม แต่แน่นอน ทุกคนรู้ว่าสุดท้ายแล้วบนเวที น้ำหนักก็ไม่ได้มีผลอะไรขนาดนั้น
"ฉันจะยัดแกใส่หลุมศพ ฉันจะหุบปากโง่ๆของแกซะ คืนนี้ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย" ลิสตันขู่
"แกไม่โชคดีเหมือนที่ไมอามี่หรอก ถ้าคราวนี้แกทนได้ถึง 6 ยก ก็นับว่าเก่งสุดๆแล้ว" อาลีตอบโต้
"ฉันจะอัดแก และพวกกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ตามมาเชียร์แกคืนนี้" ลิสตันด่าต่อ
"ฉันต่างหาก ที่จะอัดแกจนเละ อัดให้ยับจนแกอยากจะมาเป็นมุสลิมด้วยกันเลย" อาลีเอาคืน
ทั้ง 2 คน แยกจากกันด้วยความเดือดดาล พร้อมเต็มที่ที่จะตะบันหน้ากัน
นักวิจารณ์จำนวนมากยังเชื่อว่า ลิสตันดูดีกว่า เพราะอาลีลดน้ำหนักเยอะ แถมเพิ่งผ่าตัดลำไส้มา เขาร้างสังเวียนมานาน 1 ปีกับอีก 3 เดือน คือไม่แน่ใจว่าจะสมบูรณ์พอที่จะสู้กับลิสตันได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตอนที่อาลี เดินเข้าสู่สนาม สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก สายตาของเขาดูเยือกเย็น ยิ่งกว่าไฟต์ที่ไมอามี่เสียอีก
อาลี อยู่ในกางเกงสีขาว ส่วนลิสตัน มาในกางเกงสีดำ
ทุกอย่างพร้อม นักชกทั้งคู่พร้อม ระฆังยกที่ 1 เริ่ม
รูปแบบการชกนั้นเหมือนไฟต์ที่ไมอามี่ คืออาลี ใช้ความเร็วที่เหนือกว่า เดินวนรอบวงนอก ส่วนลิสตัน พยายามเดินหน้าลุยเข้าใส่
1 นาที 43 วินาทีผ่านไป อาลี ออกหมัดแค่ 5 หมัดเท่านั้น เขา Dancing ไปเรื่อยๆ โยกตัวหลบด้วยท่อนบน คือลิสตันปล่อยหมัดมาตลอด แต่ไม่ถึงอาลีแม้แต่หนเดียว อาลีหลบได้สบายๆ เขาคล่องตัวมากจริงๆ
ในจังหวะที่ ลิสตันต่อยซ้ายตรงกะให้เข้าหน้า แต่อาลี โยกลำตัวถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วเหวี่ยงหมัดขวาอย่างว่องไวเหมือนงูฉกอัดไปที่ใบหน้าของลิสตัน
ที่สหรัฐฯใช้คำเรียกหมัดนี้ว่า "Phantom Punch" หรือหมัดแห่งปีศาจที่มองไม่เห็น ความเร็วของหมัดอัดไปที่ปลายคางพอดี ดูเหมือนไม่แรง แต่เมื่อจังหวะลงตัว ใส่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ทำให้ลิสตันร่วงไปกองกับพื้นทันที
"ลุกขึ้นไอ้กระจอก ลุกขึ้นไอ้กระจอก!" อาลีตะโกนบนเวที พร้อมกวักมือให้ลิสตันลุกมาสู้ต่อ
ซึ่งภาพในช็อตนี้ ช่างภาพชื่อนีล เลเฟอร์ จากสปอร์ต อิลลัสเทรต ได้จับโมเมนต์เอาไว้ได้ และกลายเป็นหนึ่งในรูปภาพในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาโลกอีกด้วย
เมื่อลิสตันร่วงลงไป เวลาในนาฬิกาคือ 1.44 นาที ของยกแรก
ในยุคนั้น ในบางสังเวียนกรรมการบนเวที จะคอยห้ามมวยอย่างเดียว แต่ไม่ได้นับ 1-10 ด้วยตัวเอง คือจะมีกรรมการอีกคนคอยนับเวลาล้มให้
ซึ่งช่วงที่ลิสตันล้ม และเมาหมัดอยู่นั้น กินเวลาทั้งหมด 12 วินาทีแล้ว
ตอนแรกกรรมการโจ วัลคอตต์บนเวทีไม่ได้ยินเสียงจากกรรมการด้านล่าง จึงปล่อยให้ชกต่อ แต่พอ โจ วัลคอตต์เดินไปถาม ก็ได้คำยืนยันว่านับ 1 ถึง 10 ไปแล้วเรียบร้อย
นั่นทำให้กรรมการโจ วัลคอตต์ เดินมายุติการชก และ มูฮัมหมัด อาลี จึงเป็นฝ่ายชนะในไฟต์รีแมตช์นี้ โดยเป็นการชนะน็อค ในเวลา 1.56 นาที ของยกแรก
ด้วยความที่ไฟต์จบเร็วมาก แฟนๆหลายคน ยังไม่ทันได้เข้ามาถึงที่นั่งด้วยซ้ำ จึงมีเสียงตะโกนอื้ออึงในสนามว่า "ล้มมวยๆ"
ยิ่งในยุคนั้น ไม่มีรีเพลย์ทุกองศาเหมือนในยุคนี้ คนจึงตั้งคำถามว่า มันน็อคกันจริงหรือเปล่า บางทีลิสตัน อาจไปรับเงินจากมาเฟียมาเพื่อล้มมวยก็ได้ หรือไม่อาลี ก็อาจยัดเงินให้ลิสตันเพื่อให้แกล้งแพ้ในไฟต์นี้
อย่างไรก็ตาม คนที่เกี่ยวข้องกับวงการมวย ที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนกลับเล่าให้ฟังในอีกมุม
แลร์รี่ เมอร์แชนท์ ผู้บรรยายของ HBO กล่าวในภายหลังว่า "ผมเห็นหมัดด้วยตาของตัวเอง มันพุ่งตรงไปที่คาง และเป็นจังหวะที่ลิสตันยกขาพอดี มันทำให้เขาเสียบาลานซ์จนร่วงลงไปกับพื้น"
"แต่ผู้คนจำนวนมากในสนามไม่เห็นชัดๆแบบนี้ มันเลยเกิดเป็นคำถามขึ้นมา ซึ่งเรื่องลิสตันล้มมวยนี่ เป็นเหมือนตำนานในวงการ คล้ายๆกับเรื่อง การเหยียบดวงจันทร์ของนีล อาร์มสตรอง เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกขนาดนั้นเลย"
บทสรุปในไฟต์ที่ 2 ของอาลี กับลิสตันจบลง คราวนี้ทั้งโลก ไม่มีใครกังขา มูฮัมหมัด อาลีอีกต่อไป เขาคือนักมวยเบอร์ 1 ของโลกตัวจริง
ขณะที่ความสัมพันธ์ของอาลี กับ ลิสตัน เมื่อจบไฟต์ทั้งคู่ ก็ไม่ได้เกลียดชังอะไรกันอีกแล้ว
1
อาลีเข้าไปปลอบใจลิสตัน "ในขณะที่ทั้งโลกมองเขาเป็นนักมวยที่แย่ แต่ผมจะอยู่ข้างเขานะ ผมยังไม่อยากให้เขาเลิกชกมวยเลย"
"ซอนนี่เป็นนักมวยที่ดีมากจริงๆ ปัญหาอย่างเดียวของเขา คือเลือกมาชกกับผม เพราะนักมวยคนไหนที่เลือกจะต่อยกับผม ก็จะต้องดูแย่แบบนี้ทุกคนนั่นล่ะ!"
หลังจบศึกอาลี vs ลิสตัน ครั้งที่ 2 ลิสตันก็ยังคงต่อยมวยอยู่จนถึงปี 1970 ด้วยวัย 40 ปี แต่ก็ไม่เคยไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกอีกเลย
ขณะที่มูฮัมหมัด อาลี หลังจากชนะลิสตัน เขาก็กลายเป็นเบอร์ 1 ของโลกบนสังเวียน นอกจากนั้นยังเป็น Icon ที่สำคัญของมุสลิมในสหรัฐฯ และ บุคคลผู้เด็ดเดี่ยวในเรื่องการเมือง โดยเขาไม่ยอมเข้าร่วมสงครามเวียดนาม เนื่องจากให้เหตุผลว่า "สงครามขัดกับหลักการในอัลกุรอ่านที่ผมเรียนรู้มา"
จากที่ไม่ยอมร่วมสงคราม ทั้งๆที่เป็นทหารกองเกิน สุดท้ายอาลี จึงโดนรัฐบาลสั่งริบตำแหน่งแชมป์โลก และแบนไม่ให้ขึ้นชกมวยเป็นระยะเวลา 3 ปีครึ่ง
อาลีจำเป็นต้องต่อสู้เรียกร้องสิทธิอันชอบธรรม ผ่านอำนาจตุลาการ ทางศาลสูงสุด (Supreme Court) ในคดีความอันลือลั่น แคลเซียส เคลย์ vs รัฐบาลสหรัฐฯ
ซึ่งสุดท้ายอำนาจตุลาการ มีคะแนนเสียง 8-0 ทำให้มูฮัมหมัด อาลี ชนะคดีความต่อรัฐบาลสหรัฐฯ จนได้สิทธิสามารถกลับมาชกมวยได้อีกครั้ง ในปี 1971
เรื่องราวของอาลี เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งบนสังเวียน และนอกสังเวียน ซึ่งไม่แปลก ที่สื่อทั่วโลกจะยกย่องให้เขา เป็นบุคคลกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
หลังจากทนทุกข์ทรมาน กับโรคพาร์คินสัน มายาวนานกว่า 30 ปี อาลี เสียชีวิตในปี 2016 ที่รัฐแอริโซน่า ด้วยอาการที่ระบบทางเดินหายใจ ด้วยวัย 74 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เส้นทางชีวิตอันยิ่งใหญ่ ทำให้อาลีคือตำนานแห่งวงการกีฬา ที่โลกนี้จะไม่มีวันลืม
#MuhammadALI
โฆษณา