Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
LFC Fantasy
•
ติดตาม
27 ก.ค. 2019 เวลา 03:20 • กีฬา
“ผมไม่ต้องการกล่าวคำบรรยายใดๆเกี่ยวกับตัวเอง ผมเป็นคนปกติธรรมดา ผมคือ เดอะนอร์มอล วัน (The Normal One)”
นี่คือคำตอบของ “เยอร์เก้น คล็อปป์” เมื่อในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเป็นกุนซือลิเวอร์พูล เป็นวันแรก ถูกถามด้วยประโยคที่ว่า ถ้าหากคนเรียก โฆเซ่ มูรินโญ่ ว่าเป็นเดอะสเปเชียลวัน (The special one) แล้วคุณล่ะจะเป็นอะไร?
ย้อนกลับไปฤดูกาล 2015-2016 ลิเวอร์พูล ที่ถูกกุมบังเหียนด้วยกุนซือตาหวาน เบรนดัน ร็อดเจอร์ส ออกสตาร์ทฤดูกาลนั้นด้วยผลงานที่ย่ำแย่ นำพาไปสู่การถูกปลดพ้นจากตำแหน่งในที่สุด และ “เยอร์เก้น คล็อปป์” ผู้ซึ่งว่างงานอยู่ ณ เวลานั้นได้บรรลุข้อตกลง 3 ปีในการคุม ลิเวอร์พูล ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015
ทันที เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ สิ่งแรกที่เขาได้จัดการภายในทีมคือการให้โอกาสผู้เล่นทุกคน ซึ่งเป็นนักเตะของกุนซือคนก่อนๆ ได้ลงสนามแสดงศักยภาพทุกคน โดยไม่ได้ซื้อผู้เล่นมาเพิ่มเลยฤดูกาลนั้น ก็ด้วยสไตล์ของเขา คือชอบสร้างนักเตะมากกว่าจะทุ่มเงินซื้อเป็นนิสัยทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่แปลกที่ จะให้โอกาสนักเตะทุกคนที่มีอยู่ในมือก่อน
เสมือนการปรับปรุงรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สิ่งของเครื่องตกแต่งบ้านที่ผุพัง ถ้าซ่อมได้ก็ซ่อม ถ้าซ่อมไม่ได้ก็เปลี่ยน หรือว่าขยะที่กองอยู่เรี้ยราด ก็จัดการปัดกวาดเช็ดถูมันซะ เฉกเช่นเดียวกันกับนักเตะ
อย่างที่เราทั้งหลายได้เห็นภาพความผิดพลาดของเหล่านักเตะอย่าง มินโญ่เล่ย์ , โมเรโน่, จอแดน ไอซ์ และคนอื่นๆอีกหลายๆคนอยู่เป็นอาจิณ นั่นก็เป็นเพราะกุนซือผู้นี้ยังไงโอกาสนักเตะของเขาอยู่เสมอ ซึ่งหลังจากให้โอกาสผู้เล่นเหล่านี้อย่างเต็มที่แล้ว ก็จัดการปรับเปลี่ยนใครสามารถเก็บไว้เป็นสำรองได้ก็ทำ หรือถ้าแย่เกินเยียวยาก็ต้องปล่อยออกจากทีมไปในที่สุด
3 ฤดูกาลแรกที่ก่อร่างสร้างตัวในถิ่นแอนฟิลด์
ฤดูกาลแรกที่ถิ่นแอนฟิลด์ (2015-2016) เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่รับไม้ต่อจาก ร็อดเจอร์ส นำทัพหงส์แดงจบอันที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ไม่สามารถทำให้ ลิเวอร์พูล ไปเล่นในเวทียุโรปทั้งถ้วยเล็ก ถ้วยใหญ่ ซึ่งในปีนี้ได้นำทีมเข้าชิงฟุตบอลถ้วย 2 รายการคือ ลีกคัพ และ ยูโรป้าลีก แต่ทว่าชวดถ้วยแชมป์ไปทั้งสองใบ
ฤดูกาลถัดมา (2016-2017) เป็นฤดูกาลที่เขาได้คุม ลิเวอร์พูล เต็มๆฤดูกาล ก็คอยปรับเปลี่ยนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ได้หวือหวาอะไรมากมาย โดยนักเตะที่เขาเสริมทัพในฤดูกาลนี้ ประกอบไปด้วย มาโก้ กรูยิซ, โจเอล มาติป ค่าตัวฟรี, ลอริส คาริอุส 4.7 ล้านปอนด์, ซาดิโอ มาเน่ 30 ล้านปอนด์, แรกนาร์ คลาวาน 4.2 ล้านปอนด์, จอร์จินิโย ไวนัลดุม 23 ล้านปอนด์ และจบฤดูกาลนี้ด้วยการจบอันดับที่ 4 ในลีก พาทีมไปอยู่ในพื้นที่ UCL ได้สำเร็จ
ฤดูกาล 2017-2018 ในช่วงซัมเมอร์ได้มีการปรับเปลี่ยนเสริมทัพนักเตะอย่าง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน 35 ล้านปอนด์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 34 ล้านปอนด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 7.65 ล้านปอนด์, โดมินิก โซลันเก้ ฟรีค่าตัว และต้องเสียลูกทีมคนสำคัญ ที่เปรียบเสมือนจอมทัพของทีมในเวลานั้นอย่าง “ฟิลิปเป คูตินโญ” ไปในตลาดเดือนมกราคม
ซึ่งฤดูกาลนี้เป็นปีที่ 3 ที่เขาได้สัมผัสเวทีพรีเมียร์ลีก ก็ได้เห็นซึ่งความแตกต่างกับการคุมทีม ดอร์ทมุน อย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นเพราะว่าในเวทีบุนเดสลีก้ามีทีมที่แย่งถ้วยแชมป์แค่ระหว่าง บาร์เยิน มิวนิค กับ ดอร์ทมุน อยู่ 2 ทีมเท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเงินซื้อนักเตะจำนวนมากหมายมหาศาล ไม่เหมือนพรีเมียร์ลีคอังกฤษที่มีการแข่งขันที่สูงมาก มีทีมใหญ่ถึง 6-7 ทีมคอยขับเคี่ยวกัน และแต่ละทีมก็มีการเสริมตัวดีๆกันตลอด
เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ฉีกกฎของเขาทุกกรณีที่เกียวกับการใช้เงินจับจ่ายใช้สอยนำเตะ เริ่มต้นสร้างความฮือฮาด้วยการ ทุมเม็ดเงินอันจำนวนมหาศาลในการซื้อนักเตะ อย่าง “เวอร์จิล ฟานไดจ์ค” ตลาดเดือนมกราคม ราคา 75 ล้านปอนด์ สร้างสถิติเป็นกองหลังที่มีค่าตวแพงทีสุดในโลก แต่ในวันนี้นั้นถ้าเทียบในสิ่งที่กองหลังรายนี้มอบให้แก่ทีมแล้ว จำนวนเงินที่เสียไปนี้ดูเล็กน้อยไปเลยในพริบตา
สุดท้ายฤดูกาลนี้ทีมของเขาก็จบด้วยอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก และได้ชิงถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก กับ รีล มาดริด แต่ทว่าก็ยังพลาดที่จะคว้าถ้วยแชมป์มาไว้ที่แอนฟิลด์อีกตามเคย สรุปคือ 3 ปีแรกในถิ่นแอนฟิลด์ เขาได้พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทั้งหมดสามครั้ง ที่ไม่ชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ฤดูกาลล่าสุด (2018-2019)
ในช่วงซัมเมอร์นี้เสริมทัพได้มีการในตำแหน่งที่มีปัญหาอย่างผู้รักษาประตูอย่าง อลิสซง เข้ามาในราคาที่ทำลายสถิติผู้รักษาประตูที่แพงที่สุดในโลกราวๆ 66 ล้านปอนด์ และผู้เล่นคนอื่นๆประกอบด้วย นาบี เคอิต้า 52.75 ล้านปอนด์, ฟาบิญโย่ 39 ล้านปอนด์ , ชากิรี่ 13 ล้านปอนด์
การเสริมตัวผู้เล่นในฤดูกาลนี้ของเขาเรียกได้ว่า เป็นที่ถูกใจแก่บรรดาสาวกแห่งแดงทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่คว้าเข้ามา และการทำงานที่รวดเร็วทันใจในเรื่องของฝ่ายการซื้อขาย เป็นช่วงที่แฟนบอลเดินไปไหนมาไหน ก็เชิดได้หัวเราะได้อย่างร่าเริง
เริ่มฤดูกาลนี้ดูเหมือนจะเป็นที่กังวลจากเหล่าแฟนบอลทั้งหลาย เพราะสาเหตุการที่ไม่มีผู้ช่วยอย่าง “เซลจ์โก้ บูวัช” ที่เปรียบเสมือนเป็น “เดอะเบรน” (มันสมอง) ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ นั่นเอง ก็ถูกปรามาสอยู่เนืองๆ เรามักจะได้ยินจนชินหูว่า “ไม่มีบูวัช คล็อปป์ คงหมดมุกแล้ว” , “ไม่มีบูวัช คล็อปป์คงทำไรไม่ได้แล้ว”, “เกมในวันนี้ทำให้คิดถึง บูวัช” ฯลฯ และประโยคอื่นๆสารพัดสารเพ ที่มันจะบังเกิดในวันที่ ลิเวอร์พูล ไม่ชนะทั้งที่ก่อนหน้านั้นทีมก็ชนะมารัวๆโดยที่ไม่มีบูวัชเหมือนกัน
ในทีสุดเมื่อจบฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้สร้างปรากฏการไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทีมที่มีเกมรับที่ดีที่สุดเสียประตูเพียงแค่ 22 ประตู สร้างสถิติด้วยการทำคะแนนได้มากที่สุดของประวัติศาสตร์ของสโมสร ซึ่งพลาดแชมป์ลีกไปอย่างน่าเสียดายที่สุดเท่าที่เสียดายได้แล้ว เพราะทำแต้มได้ถึง 97 แต้ม เพียงแต่ว่าแพ้ให้กับทีมที่เขาดีกว่าจริงๆอย่าง แมนฯซิตี้ ไป 1 คะแนนเท่านั้น
ในรายการแชมป์เปี้ยนลีกเขาได้พาทีมเข้าชิงชนะเลิศเป็นปีที่สองติดต่อกัน หากพูดถึงการเล่นฟุตบอลยุโรปแบบ น็อคเอาท์ เหย้า-เยือน แล้วละก็ “คล็อปป์ไม่เป็นสองรองใครในปฐพีนี้อย่างแน่นอน” เพราะผลงานได้ประจักษ์แล้วว่า เขาได้พา ลิเวอร์พูล เข้าชิงได้ทุกครั้งถ้าเมื่อมีโอกาสได้เล่นเวทียุโรป ไม่ว่าจะถ้วยเล็กถ้วยใหญ่ แต่ติดขัดตรงที่นัดชิงชนะเลิศยังไม่เคยชนะใครเลยแม้แต่หนเดียวที่ผ่านมา จนถูกกล่าวขานไปว่า กุนซือผู้อาภัพวาสนา
ทว่าในปีนี้เขาได้นำบทเรียน ที่ผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงแก้ไข แล้วนำมาใช้จนสามารถพาทีมหิ้วถ้วย UCL ใบนี้กลับมาไว้ในถิ่นเมอร์ซีย์ไซด์ได้สำเร็จ เป็นการขจัดเสียซึ่งข้อกังขา ที่เขาประสบมาตลอดในการเล่นนัดชิงชนะเลิศ เชื่อว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เสมือนเป็นการ ปลดล๊อคเครื่องพันธนาการ ทั้งหลายที่คอยล่ามเขาไว้มาโดยตลอดไม่ให้พบเจอความสำเร็จ
ไม่ใช่เรื่องผลงานทีดีขึ้นเรื่อยๆชนิดที่จับต้องได้ นับตั้งแต่ ณ วันที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาปี 2015 ลิเวอร์พูล มีมูลค่าทีมราวๆ 900 ล้านปอนด์ ณ ปัจจุบันไปอยู่ที่ 2,800 กว่าล้านปอนด์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้เวลาผ่านไป 4 ปี มูลค่าทีมเติบโตแบบก้าวกระโดดประมาณ 3 เท่าตัว
ตลอดระยะเวลาเกือบๆ 4 ปีเต็ม ลิเวอร์พูล สูญเสียเงินในการสอยนักเตะเข้ามาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ไปทั้งสิ้นประมาณ 442 ล้านยูโร ซึ่ง มีเพียงแค่ 4 คนเท่านั้นที่เข้ามาแล้วใช้สอยประโยชน์ได้ไม่มากหรือว่าไม่สามารถแจ้งเกิดได้คือ กรูยิช, คราวาน, คาริอุส, และโซลันเก้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินที่เสียหายไปเพียง ประมาณ 18 ล้านยูโรเท่านั้นเอง เมื่อคำนวณแล้วถือว่าเป็นเปอร์เซ็นที่น้อยมากในการใช้เงินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร นี่คือความฉลาดที่ความยอดเยี่ยมในการเลือกตัวผู้เล่นมาใช้งานของกุนซือผู้นี้ รวมถึงทีมงานที่เกี่ยวข้อง
แม้ ณ ปัจจุบันซัมเมอร์นี้ จะยังไม่มีการประกาศคว้าตัวผู้เล่นรายใหม่ที่จะมาอยู่ในทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่รายเดียว ด้วยความสัตย์จริงว่า มันไม่ได้ทำให้ผมเชื่อมั่นในกุนซือ ผู้นี้ลดน้อยถอยลงไปกว่าเดิมแม้แต่นิดเดียว เพราะที่ผ่านมาเขาผู้นี้ได้แสดงให้ผมได้รับรู้มา ได้ประจักษ์ มาแล้ว
อย่างเช่นเมื่อครั้งเสีย คูตินโญ่ ทำให้ทีมขาดตัวทำเกมไป และ ลิเวอร์พูล ก็ต้องการ นาบิล เฟคีร์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตัวมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม แต่ในเมื่อไม่ได้นักเตะแบบนี้มา ก็หาใช่เรื่องคอขาดบาดตายใดๆสำหรับ คล็อปป์ เขาก็ใช้นักเตะที่มีอยู่ในมือปรับเปลี่ยนโดยให้ ฟูลแบ็ค ทั้งสองข้างเป็นตัวสร้างสรรค์เกมแทน และใช้มิดฟิลด์ คอยซัพพอร์ต จนเป็นที่มาแห่ง “คู่หูฟูลแบ็คจอมแอสซิสต์”
หรือแม้แต่ช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวเดือน มกราคม ฤดูกาลที่ผ่านมา เขาขัดใจแฟนบอลทั่วโลกด้วยการไม่เสริมใครเพิ่มแม้แต่รายเดียว แถมยังปล่อย นาธาเนียล ไคล์ ให้บอร์นมัธ ยืมตัวอีก จนถูกแฟนบอลบางส่วนด่าว่า “คล็อปป์ อีโก้สูงบ้างแหละ”, “คล็อปป์ มั่นใจในทีมที่มีมากเกินไป” หรือ แม้แต่เวลาทีทีมสะดุดมักจะได้ยินว่า “ก็เพราะไม่ซื้อตัวนี่ไงล่ะ” ฯลฯ ...แต่สุดท้ายแล้วก็ด้วยผู้เล่นชุดที่เขามีในมือนี่แหละ ที่ทำให้คว้าถ้วยหูใหญ่ใบนี้มาครองได้
หากมองด้วยความหวัง แน่นอนผมหวังอยากได้นักเตะใหม่เข้ามาในทีม หากท้ายที่สุดแล้วในความเป็นจริงไม่มีผู้เล่นรายใหม่เดินเข้ามาในแอนฟิลด์เลยแม้แต่รายเดียว หากยังเป็นกุนซือผู้นี้ที่นำทางแล้วก็ ผมไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่น หวาดกลัว วิตกใดๆเลย ถึงเหตุการณ์ที่มันยังมาไม่ถึงในข้างหน้า
ด้วยการนำพาของ “เดอะนอร์มอล วัน” กว่าที่นกสีแดงตัวนี้ในระหว่างทางที่โบยบิน มันผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแยะมากมาย มีบาดแผลบาดเจ็บมาแล้วนับไม่ถ้วน ผลกระทบต่อจิตใจที่ประสบแต่ความผิดหวังมาตลอด แต่สิ่งเหล่านี้ที่ผ่านมาเขาได้นำมันมาเป็นบทเรียน ไม่ยอมแพ้ พานกสีแดงตัวนี้บินต่อไป
ความแข็งแกร่งมันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง แต่มันเกิดจากการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียนรู้ความผิดพลาดแล้วมาแก้ไข เสมือนเหล็กกล้าที่ต้องผ่านทั้งการเผาไฟที่ลุกโชนและการทุบตีมาก่อน ซึ่งเราจะไม่มีวันเติบโตอย่างสมบูรณ์หากไม่เคยเผชิญหน้าความเจ็บปวดและก้าวข้ามผ่านมันไปได้
กระทั่งนกสีแดงแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซีย์ตัวนี้บินมาเกาะอยู่ในจุดๆนี้ได้ บุคคลที่จะต้องได้รับการยกย่องไปด้วยประการทั้งปวง ก็คงไม่พ้นเขาคนนี้ บุรุษธรรมดาๆคนนี้ ที่ไม่ธรรมดา “เยอร์เก้น คล็อปป์”
🖊P.F. Klopper
Friday, 26 July 2019
อ้างอิง (Reference) :
https://www.telegraph.co.uk/football/2018/12/14/jurgen-klopp-cant-judge-work-liverpool-trophies-alone/?fbclid=IwAR2PtXOogc2r9OKloSTCirR5BjgyWYb9q52QIY2C9MBuAEpp3q76-zTqkuI
https://www.transfermarkt.com/fc-liverpool/alletransfers/verein/31
https://www.transfermarkt.com/alisson/profil/spieler/105470
https://www.transfermarkt.com/virgil-van-dijk/profil/spieler/139208
📌📌📌📌📌📌 📌📌📌📌📌📌
#BloodRed
เป็นบทความที่เขียนถึงมุมมองต่างๆรอบรั้วแอนฟิลด์ และเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ลิเวอร์พูล สอดแทรกกับความคิดของผู้เขียนเอง ในฐานะที่เป็น “แฟนบอล” ลิเวอร์พูลคนหนึ่ง ที่รักลิเวอร์พูล ไม่ใช่ “กูรู” แต่อย่างใด ที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวผ่านตัวหนังสือสำหรับสายอ่านชาว LFC จะนำมาให้อ่านในทุกวันศุกร์ จะพยามเขียนให้ได้ทุกๆศุกร์(ถ้าไม่ติดงานสำคัญ) หรือศุกร์เว้นศุกร์ครับ
🖊🖊🖊🖊🖊
ABOUT THE AUTHOR🖊
#P.F.Klopper มีเลือด ลิเวอร์พูล ข้มข้น และเข้าไปในสายเลือด เป็นแฟนบอลที่ร่วมเชียร์ นกสีแดงตัวนี้ ไปพร้อมกับพวกคุณทุกคน
บันทึก
28
7
1
28
7
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย