27 ก.ค. 2019 เวลา 06:21 • กีฬา
เส้นทางที่ไปกันไม่ได้ของแกเร็ธ เบล กับเรอัล มาดริด จากที่เคยเป็นลูกรัก สุดท้ายไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลย มันเกิดอะไรขึ้นกับอัจฉริยะชาวเวลส์คนนี้
ความจริงแล้ว แกเร็ธ เบล เคยเป็นไข่ในหินของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด
ซัมเมอร์ปี 2013 เปเรซ เจรจากับสเปอร์สอยู่นานหลายเดือน ผ่านการเกลี้ยกล่อมมาแล้ว ไม่รู้กี่ตลบ จนในที่สุด สเปอร์ส ยอมปล่อยขายด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโรเป็นสถิติโลก ณ ตอนนั้น
วันที่เบลย้ายมามาดริด เขามีอายุ 24 ปี และอยู่ในช่วงฟอร์มสดที่สุด เพิ่งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA มาครองหมาดๆ
วันที่เปิดตัวเบลที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว มีแฟนบอลไปรอรับ 20,000 คน โดยในวันนั้น เปเรซ พูดออกไมค์ ให้แฟนๆทั้งสนามได้ยินว่า
"แกเร็ธ คือนักเตะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การเจรจานั้นซับซ้อน กินเวลา และ ตึงเครียดมากๆ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเราดีใจมากๆ ที่จะได้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร"
จากนั้น เปเรซ หันหน้ามาหาเบล แล้วพูดว่า "เราเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีความคาดหวังกับผลการแข่งขัน มากที่สุดในโลก แต่แน่นอน เราจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป"
"มีนักเตะชั้นนำของโลกมากมาย สร้างความยิ่งใหญ่ในสนามแห่งนี้มาแล้ว และคุณกำลังจะเดินตามรอยเท้าของตำนานเหล่านั้น นี่คือสนามของคุณ เสื้อของคุณ และ ผู้คนเหล่านี้ คือกองเชียร์ที่จะคอยสนับสนุนคุณ"
"จากวันนี้เป็นต้นนี่คือบ้าน และครอบครัวของคุณ ยินดีต้อนรับสู่ทีมของเรา ยินดีต้อนรับสู่เรอัล มาดริด"
ณ เวลานั้น ผู้คนคาดหวังเบลไว้เยอะจริงๆ ปีกซ้ายโรนัลโด้ ปีกขวาเป็นเบล สองพลังจรวดเล่นด้วยกัน ใครจะต้านทานราชันชุดขาวได้อยู่?
จริงๆแล้ว ผลงานของเบล ถือว่าไม่ได้แย่เลย
ในปีแรกที่เขาย้ายมา เขาเป็นคนยิงประตูชัย ให้เรอัล มาดริด คว้าแชมป์โกปา เดลเรย์ เหนือบาร์เซโลน่าได้สำเร็จ กับประตูสุดเทพ วิ่งทะลุมิติ แซงมาร์ก บาร์ตร้า จิ้มลอดขานายทวารเข้าไป
จากนั้นก็ช่วยให้ราชันชุดขาว คว้า La Decima หรือแชมป์ยุโรปสมัย 10 ที่รอคอยมา 12 ปี ได้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นเบลคนนี้ล่ะ ที่ยิงประตูปลดล็อก ช่วยให้มาดริดขึ้นนำ 2-1 ก่อนจะชนะในบั้นปลาย 4-1
จริงอยู่ว่า เบล มีอาการบาดเจ็บบ้าง อะไรบ้าง ไม่ได้ลงเล่นเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากเทียบกับตัวรุกคนอื่นๆ แต่ทุกครั้งที่ลง เขาก็มีผลงานดีเสมอ
เบลช่วยมาดริด ได้แชมป์ลีก 1 สมัย และแชมป์ยุโรปเพิ่มอีก 3 สมัย ตัวเขา เบนเซม่า และโรนัลโด้ ถูกขนานนามว่า แนวรุก BBC เอามาสู้กับ MSN ของฝั่งบาร์เซโลน่า
แต่ก็อย่างที่ฟลอเรนติโน่ เปเรซ บอกเอาไว้ตั้งแต่วันแรก ว่าเรอัล มาดริด คือสโมสรที่คาดหวังกับผลการแข่งขันมากที่สุดในโลก
ซึ่งเมื่อถึงจุดที่สโมสรล้มเหลว ไม่ได้แชมป์อะไรเลย ก็เริ่มหาคำถาม และหาคนผิด ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายที่โดนเพ่งเล็ง ก็คือ นักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร แกเร็ธ เบล นั่นเอง
ข้อแรก เบล เริ่มโดนวิจารณ์ว่า ทำไมเป็นผู้เล่นที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยขนาดนี้
ตลอด 6 ปีที่อยู่กับเรอัล มาดริด เขาได้รับบาดเจ็บรวม 17 ครั้ง ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ จนแฟนๆสงสัยว่า เขาดูแลร่างกายดีพอหรือเปล่า
นักเตะราคาแพงที่สุด แต่กลับไม่สามารถช่วยทีมได้เต็มที่ซะอย่างนั้น
ในช่วงแรกๆ ที่เรอัล มาดริด ได้แชมป์ แฟนๆก็ยังเก็บความรู้สึกไว้ ขณะที่เหล่าตำนานทั้งหลาย ก็ยังออกมาปกป้องเขา
เฟร์นันโด เอียร์โร่ อดีตกัปตันของเรอัล มาดริด กล่าวว่า "เบลเหมือนรถ F1 เขาสามารถระเบิดพลังได้เร็วและแรง แต่เมื่อใช้พลังขนาดนั้น มันก็แลกมากับ อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นง่าย"
แต่พอมา ในซีซั่นล่าสุด เมื่อโรนัลโด้ย้ายไปยูเว่แล้ว แฟนๆจึงหันไปตั้งความหวังที่เบล ในฐานะคีย์แมนอันดับ 1
แต่ก็เหมือนเดิม เบล เจ็บออดๆแอดๆ ตลอดซีซั่นเจ็บไป 5 หน ทั้งฤดูกาลยิงในลีกได้แค่ 8 ลูก นั่นทำให้เขาเริ่มโดนโห่จากแฟนบอลหนักขึ้นเรื่อยๆ
โดนซื้อมาราคาแพง แถมค่าเหนื่อยก็สูงที่สุดในสโมสร (600,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์) ค่าเหนื่อยของเบลคนเดียว แพงยิ่งกว่าตัวรุกอีก 3 คนอย่างอิสโก้ ,อเซนซิโอ และ เบนเซม่า รวมกัน
1
เมื่อทุกอย่างแพงหมดขนาดนี้ ทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย เบลต้องโดนตั้งความหวังไว้เยอะเป็นธรรมดา ในสายตาแฟนๆ เบลจะเจ็บถี่ขนาดนี้ไม่ได้หรอก
อย่างที่ 2 คือเรื่องแนวทางการเล่น ที่เบล ไม่เข้ากับระบบของซีเนอดีน ซีดานเลย
บอลสไตล์ของเรอัล มาดริด นักเตะแต่ละคนจะมีเทคนิคดีเยี่ยม และเอาตัวรอดเก่งในพื้นที่แคบๆ นักเตะอย่างลูก้า โมดริช ,โทนี่ โครส หรืออิสโก้ ทักษะแต่ละคนนั้นเป็นเลิศ
ขณะที่เบล โดนวิจารณ์มาตลอด ว่ามีทักษะเฉพาะตัวน้อยกว่าคนอื่น แต่เป็นพวกใช้พลัง ใช้ความเร็ว และกล้ามเนื้อ
ซานติอาโก้ เซกูโรล่า นักข่าวของมาร์ก้า วิจารณ์ไว้ว่า "เบลไม่รู้วิธีที่จะเล่นฟุตบอลหรอก เขารู้แค่วิธีวิ่งแค่นั้น"
ขณะที่เซอร์คิโอ รามอส แสดงทรรศนะว่า "ทีมอย่างเรอัล มาดริด คุณต้องเล่นกับนักเตะทักษะดี อย่างโมดริช,อิสโก้,เบนเซม่า และ โครส แต่จุดเด่นของ เบล นั้นเป็นอีกด้าน คือมีพลังและความแข็งแกร่ง"
"สไตล์ของเขาจำเป็นใช้พื้นที่เยอะ ในการสปรินท์และเลี้ยงบอล แต่ความจริงคือ ทีมส่วนใหญ่ที่เล่นกับเรอัล มาดริด พวกเขาจะบีบพื้นที่แคบมากๆ เพื่ออุดไม่ให้เราทำประตูได้ เราจะไม่มีพื้นที่ได้เล่นเลย นั่นทำให้แกเร็ธ ไม่สามารถใช้สปีดและพลังของเขาได้"
"มันมีบางเกม อย่างนัดที่เจอเรอัล โซเซียดัด เขาวิ่ง 50 เมตร เข้าไปยิงประตูอย่างสวย คือถ้ามีพื้นที่ให้ได้เล่นเกมเคาน์เตอร์ เขาจะหยุดไม่อยู่เลย เพียงแต่ในลาลีกา เราไม่ค่อยเจอคู่แข่งที่เราจำเป็นต้องตั้งรับ"
"เอาเป็นว่า มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพียงแต่สไตล์การเล่นของคู่แข่งที่เราเจอในลีก มันไม่เอื้อกับแกเร็ธเลยจริงๆ"
อย่างที่ 3 คือเรื่อง ภาษาสเปน
แรกๆเบล ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาสเปนได้เลย
ตอนอยู่ที่อังกฤษ เบล ก็สบาย เพราะแข้งชาติอื่นๆ ย้ายมาก็ต้องมาเรียนภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารกันทั้งนั้น แต่คราวนี้เขามาสเปน ตัวเขาเองต้องเริ่มนับหนึ่งกับภาษาสเปนที่ไม่คุ้นเคย
ชาบี อลอนโซ่ เคยเตือนเบลเรื่องนี้ไว้แต่แรก "เขาต้องรู้จักลีกนี้ให้ดีขึ้น เรียนรู้ศึกษาทีมใหม่ ยิ่งเขาปรับตัวได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งโชว์ผลงานในสนามได้ดีขึ้นเท่านั้น"
สองปีแรก เบลถือว่าโชคดีมาก เพราะเฮดโค้ชคาร์โล อันเชล็อตติ ก็พูดอังกฤษได้ ขณะที่ผู้ช่วยโค้ช พอล คลีเมนต์ ก็เป็นคนอังกฤษที่พูดสเปนคล่องมากๆ นั่นทำให้การติดต่อสื่อสาร ระหว่างเบลกับกลุ่มโค้ช ทำได้ดีไม่มีปัญหาเลย
หลังจากผ่านไป 2 ปี เบลก็เริ่มเก่งภาษาสเปนขึ้น เขาสามารถสนทนากับเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัวได้ แต่ทว่าสิ่งที่เบล จะไม่ทำเลย คือแถลงข่าว หรือพูดกับสื่อมวลชนเป็นภาษาสเปน
"เขามีความขี้อายนะ" เซอร์คิโอ รามอสเล่า "และผมว่า เขาคงไม่อยากกดดันตัวเอง ด้วยการพูดสิ่งที่ซับซ้อนในภาษาที่ไม่ถนัด เพราะอาจทำให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อสารผิดทางได้"
แต่แน่นอน สื่อสเปนไม่ได้มองแบบนั้น สื่อมองว่าถ้าเบลไม่เย่อหยิ่ง ก็ไม่ใส่ใจมากพอ
1
เพราะคุณอยู่สเปนมา 4-5 ปี แต่สื่อสารกับสื่อมวลชนไม่ได้นี่ มันก็เกินไปแล้ว
เรอัล มาดริด นั้นเป็นสโมสรที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของคนสเปน พวกเขาตั้งอยู่ในเมืองหลวง และมีความภาคภูมิใจของตัวเอง ดังนั้นนักเตะที่ย้ายมาอยู่ก็ควรจะซึมซับความเป็นสแปนิชให้มากที่สุดด้วย
แต่ไลฟ์สไตล์ของเบล ชอบออกไปตีกอล์ฟอย่างเพลิดเพลิน จนสื่อสเปนก็แซวว่า ว่างตีกอล์ฟขนาดนี้ แต่ไม่ว่างเรียนภาษาสเปนหน่อยหรือ
แฟนไม่ค่อยชอบ สไตล์การเล่นไม่ค่อยเข้ากับทีม แถมสื่อมวลชนไม่ปกป้อง กลายเป็น 3 แรงบวก ที่ทำให้เบลอยู่ยากมากขึ้น
อย่างที่ 4 คือ เรอัล มาดริด ใช้คนอื่นแทนได้
ฟอร์มอันโดดเด่นของอิสโก้ มีช่วงที่กลบรัศมีของเบลไปเลย
เราจะสังเกตได้ว่า ในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดสำคัญ ซีดานใช้อิสโก้ก่อนตลอด รวมไปถึงนัดชิงกับลิเวอร์พูลที่เคียฟด้วย เบลเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น
ไม่ใช่แค่อิสโก้ แต่ยังมีมาร์โก อเซนซิโอ ที่เล่นได้สุดยอดขึ้นทุกที
ตัวรุกคนอื่นๆ มีลูคัส บาสเกวซ, วินิซิอุส ดาวรุ่งอย่างโรดริโก้ ที่เพิ่งปั่นฟรีคิกใส่บาเยิร์น มิวนิคมา และไม่นับตัวใหม่ ลูก้า โยวิช ที่ย้ายมาจากแฟรงค์เฟิร์ต และ เอแด็น อาซาร์ ที่มาจากเชลซี
มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ เรอัล มาดริด ต้องยื้อเบลเอาไว้ เขาไม่ใช่คีย์แมนเบอร์ 1 ของทีม การปล่อยขายไปตอนนี้ อย่างน้อยก็สามารถคว้าเงินก้อนโตได้ จะดีจะร้ายก็ต้องมี 70-80 ล้านปอนด์ นอกจากนั้น ยังลดค่าใช้จ่ายไปได้ 600,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์อีกต่างหาก
ถ้าหากเบลขายไม่ออก สโมสรก็ต้องจ่ายค่าเหนื่อยไปเรื่อยๆอีก 3 ปี จนถึงปี 2022 รวมแล้วเป็นเงินมหาศาลถึง 93.6 ล้านปอนด์เลยทีเดียว สู้ขายไปตอนนี้ซะ ยังจะดีเสียกว่า
และข้อสุดท้าย ที่ทำให้เรอัล มาดริด คิดว่าเบลควรจะไป นั่นคือเป็นความต้องการของซีเนอดีน ซีดาน
รายงานจาก เอล ปาอิส เผยว่า ซีดานขอร้องฟลอเรนติโน่ เปเรซ ระหว่างฤดูกาล 2017-18 ว่าให้ปล่อยเบลออกจากทีมด้วยเหตุผลว่า เบลเล่นไม่เข้าระบบ และชอบฉายเดี่ยวมากเกินไป ซึ่งขัดกับแนวทางของทีม ซึ่งเปเรซรับปาก
แต่พอเบลยิง 2 ลูกใส่ลิเวอร์พูลในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิง ทำให้เปเรซเปลี่ยนใจไม่ยอมขายเบล และจากนั้นก็เตรียมปล่อยคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ให้กับยูเวนตุสแทน ซึ่งเรื่องนี้ สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้ซีดาน ที่เปเรซตัดสินใจเก็บเบล และเตรียมขายโรนัลโด้ โดยไม่ปรึกษาเขาก่อน
นั่นทำให้หลังจบแชมเปี้ยนส์ลีกได้ไม่กี่วัน ซีดาน ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เฮดโค้ชเรอัล มาดริด
ซึ่งการกลับมาของซีดานรอบที่ 2 สิ่งที่เขายังคงหนักแน่นตามเดิมคือ เบล ต้องไป เขามี 11 ผู้เล่นในใจ และเบลไม่ได้อยู่ในแผนด้วย
หลังเกมอุ่นเครื่องที่ เรอัล มาดริด พ่าย บาเยิร์น มิวนิค ที่ฮุสตัน เมื่อ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา มีนักข่าวถามว่า ทำไมแกเร็ธ เบล ถึงไม่มีส่วนร่วมในเกมนี้ด้วย
2
ซีดานตอบว่า "เราหวังว่าเขาจะย้ายออกจากทีมเร็วๆนี้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น มันคงดีกับทุกๆคน เรากำลังจัดการเรื่องการย้ายทีมของเขาให้เรียบร้อย"
"ผมไม่ได้มีความเกลียดชังส่วนตัวอะไรกับเขานะ แต่เราจำเป็นต้องจัดการสถานการณ์นี้ให้มันจบสิ้น"
จากนั้น เบลลงอุ่นเครื่องในเกมเจออาร์เซน่อล และยิงได้ 1 ประตู แต่ซีดานยังยืนยันคำเดิม
"ผมยังไม่ได้คุยกับเขา ตอนนี้เขาก็มาซ้อมตามปกติ นั่นทำให้เขาได้ลงเล่นด้วย แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม คุณก็รู้ดีว่า สถานการณ์มันเป็นอย่างไร"
ดูยังไง ในใจของซีดาน ก็ไม่อยากเก็บเบลไว้จริงๆ
เท่ากับว่าตอนนี้ ทางเลือกของเบลมีอยู่ 3 ทาง
ทางที่ 1 อยู่กับเรอัล มาดริดต่อ รับเงิน 600,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ไปเรื่อยๆ เขาเองก็มาซ้อมตามปกติ ไม่เคยขาด ไม่เคยสาย สโมสรก็ทำอะไรเขาไม่ได้ จะส่งลงเป็นตัวจริง ตัวสำรอง ก็แล้วแต่ หรือจะลดชั้นไปเล่นกับทีมเยาวชนก็ตามใจ ยังไงก็ได้รับเงินตามสัญญาไปจนถึงปี 2022 นั่นแหละ
วิถีชีวิตทุกอย่างก็เหมือนเดิม สเปนอากาศดี ครอบครัวของเขาแฮปปี้ มีเวลาเขาก็ไปตีกอล์ฟ ใช้ชีวิตสุขสันต์เหมือนเดิม ขณะที่กับทีมชาติเวลส์ ยังไงเขาก็ติดทีมอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
ทางที่ 2 ยอมย้ายไปจีน เขามีข่าวเยอะกับหลายสโมสร ข่าวลือว่า ทีมจากจีนพร้อมจ่ายค่าเหนื่อยให้เบล สัปดาห์ละ 1 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดูโอเวอร์มาก แต่กับฟุตบอลจีน เรื่องนี้เป็นไปได้จริงอยู่แล้ว
ถ้าเป็นในทางนี้ เขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ได้รับค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลกทันที แถมการเล่นในลีกจีน ยิ่งน่าจะเปรียบเหมือนขนมหวานสำหรับเขาเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าย้ายไปจีน ก็เท่ากับว่า เขาจะลดเกรดของตัวเองลงไปหนึ่งสเต็ป นอกจากนั้นการเปลี่ยนทวีปขนาดนั้น ยิ่งทำให้เขาต้องเริ่มปรับตัวใหม่ตั้งแต่แรก
และทางที่ 3 คือ ยอมย้ายไปทีมอื่น ในระดับสูงเหมือนกัน อาจเป็นสเปอร์ส ,แมนฯยูไนเต็ด หรือ บาเยิร์น มิวนิค การได้เล่นทีมระดับนี้ เขาจะยังได้เล่นในฟุตบอลเกรดเออยู่ และน่าจะการันตีตัวจริงแน่ๆ แต่สิ่งที่เบลต้องยอมรับคือค่าเหนื่อยที่ต้องลดลงแน่ๆ อาจมากถึงครึ่งต่อครึ่ง
ได้เล่นฟุตบอลระดับท็อป แต่เงินเดือนลดลงครึ่งหนึ่ง ต้องถามใจว่า ถ้าเป็นเรา เราจะยอมทำงานอะไรก็ตาม ที่ได้เงินเดือนลดลงครึ่งหนึ่งไหม
เรายังไม่รู้ว่าใจของเบล สุดท้ายจะตัดสินใจในทิศทางไหน
แต่สิ่งที่เรารู้ๆคือ ความสัมพันธ์ของเขากับเรอัล มาดริด ไม่มีวันลงเอยกันได้แบบสวยๆแน่นอน
#BALE
โฆษณา