Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
29 ก.ค. 2019 เวลา 10:04 • กีฬา
ทีมที่โรเมลู ลูกากู รักตั้งแต่เด็ก คือเชลซี คำถามคือเมื่อปี 2017 เขามีโอกาสเลือกย้ายไปเชลซีหรือแมนฯยู ทำไมลูกากูกลับไม่ย้ายไปทีมในฝันล่ะ?
ในปี 2009 โรเมลู ลูกากู ขณะนั้นมีอายุ 15 ปี เขาเป็นเด็กฝึกหัดจากอคาเดมี่ของสโมสรอันเดอร์เลตช์
ช่วงต้นปีนั้นเอง เจ้าตัวมีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ และได้ไปทัวร์สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ของเชลซี
การไปทัวร์สนามครั้งนั้น ทำให้เขารู้สึกมหัศจรรย์มากๆ เพราะเดอะ บริดจ์ ในสายตาของเขามันสวยงามจริงๆ
"ให้ลูกบอลผมสักลูก ผมสามารถเล่นที่สนามแห่งนี้ได้ 5 ชั่วโมงรวดเลย" ลูกากูกล่าว "ถ้าจะมีสักวันที่ผมเสียน้ำตา คงเป็นวันที่ผมได้เล่นบนพื้นหญ้าที่สนามแห่งนี้ ผมรักเชลซี"
มันเป็นความรู้สึกรักแรกพบ ทั้งๆที่สนามเชลซี ก็ไม่ได้ใหญ่โตโอฬาร เหมือนสนามของทีมใหญ่อื่นๆในยุโรป แต่สำหรับลูกากู เขารู้สึกโดนใจอย่างจัง
พฤษภาคม 2009 ลูกากู เซ็นสัญญาอาชีพกับอันเดอร์เลตช์ และลงเล่นในลีกสูงสุด ในวัยแค่ 16 ปีเท่านั้น
ปรากฏว่าเจ้าตัวยิงกระจุย ซัดไป 15 ลูก คว้าดาวซัลโวลีกเบลเยี่ยม ตั้งแต่ปีแรกที่เล่นฟุตบอลอาชีพ
เด็กคนนี้คือความมหัศจรรย์ของวงการฟุตบอลยุโรป
"ลูกากูคือนักฟุตบอลที่มีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท" นิโก้ เลน ผู้บรรยายกีฬาคนดังของเบลเยี่ยมเผย
ด้วยความสามารถที่เก่งเกินเด็ก ทำให้โชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชของเรอัล มาดริด อยากได้ตัวลูกากูตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
"เป็นเรื่องจริงที่เราอยากได้ตัวโรเมลู" มูรินโญ่ยอมรับ ในสายตาของเขา สามารถเอาลูกากูมาเล่นร่วมกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ได้เลยที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
นอกจากเรอัล มาดริดแล้ว มีหลายทีมในอังกฤษ และ ในอิตาลี สนใจอยากได้ลูกากูจริงๆ สงครามการแย่งชิงดาวรุ่งแห่งวงการเริ่มขึ้นแล้ว
ลูกากูนั้น แม้ได้รับข้อเสนอเพียบ แต่เขาใจเย็นพอ และใช้เวลาในการพิจารณาทุกข้อเสนอ
ระหว่างนั้นก็ลงเล่นในลีกเบลเยี่ยมไปก่อน ในซีซั่น 2010-11 ก็ซัดไป 20 ลูกทุกรายการ จนก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่
เข้าสู่ฤดูกาล 2011-12 ในที่สุด ลูกากู ก็คิดว่าเขาพร้อมแล้ว ที่จะไปหาความท้าทายกับทีมใหญ่ในยุโรป
ท่ามกลางตัวเลือกมากมาย สุดท้ายเขาเลือกทีมในฝันของตัวเอง ... เชลซี
"ผมฝันมาตลอดว่าจะได้เล่นที่เชลซีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ นี่เป็นสิ่งที่ผมรอคอย" ลูกากูเผยเหตุผล ทำไมเขาเลือกมาที่นี่
"ผมเคยดูจิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ยิงประตูมหัศจรรย์ใส่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเมื่อเห็นประตูนั้นแล้ว ผมก็ตัดสินใจเลยว่าจะเป็นแฟนบอลทีมนี้"
จริงอยู่ว่าเชลซี ในปี 2011 จะมีตัวเลือกกองหน้ามากมาย ทั้งเฟร์นันโด ตอร์เรส, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, นิโกลาส์ อเนลก้า, แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และ ซาโลมง กาลู แต่หลายๆคน รวมถึงตัวลูกากูเอง ก็มั่นใจว่า เขาจะสอดแทรกเป็นตัวจริงได้แน่นอน
ร่างกายอันทรงพลัง ส่วนสูงถึง 190 เซ็นติเมตร แถมมีความเร็วความว่องไว น่าจะเหมาะที่สุดกับการเล่นในพรีเมียร์ลีก
ลูกากู ในวัย 18 ปี พร้อมแล้วที่จะสร้างชื่อให้ดังเปรี้ยง กับสโมสรในฝันของเขา
แต่การมาเล่นในพรีเมียร์ลีกจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย
เจ้าตัวปรับจังหวะกับเกมหนักของฟุตบอลอังกฤษไม่ได้ จนต้องลงเล่นในทีมสำรองอยู่ตลอด รวมทั้งฤดูกาล เขาลงเล่นกับทีมชุดใหญ่แค่ 8 นัด (ตัวจริง 1 สำรอง 7) และที่สำคัญยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
การมาของลูกากู เป็นความต้องการของโรมัน อบราโมวิช แต่ทว่าผู้จัดการทีม อันเดร วิลลาช-โบอาช ไม่ได้ชื่นชอบอะไรลูกากูเลย เขาไม่ได้เป็นคนเลือกจะซื้อลูกากูเสียหน่อย
นั่นทำให้วิลลาช-โบอาช ไม่ได้ใส่ใจลูกากูนัก ปล่อยให้ดาวรุ่งวัย 18 ปี ต่อสู้เองลำพังอย่างโดดเดี่ยว
"มีอยู่หนึ่งคน ที่ผมไม่มีวันให้อภัยในชีวิตนี้ นั่นคืออันเดร วิลลาช-โบอาช จากสิ่งที่เขาทำกับผม วิธีที่เขาปฏิบัติตัวกับผม" ลูกากูเล่า
"เขาจับผมเล่นปีกซ้ายบ้าง ปีกขวาบ้าง และทำผมเหมือนเป็นตัวแถมระหว่างการซ้อม ผมไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย และเขาก็ไม่เคยอธิบายอะไรด้วย"
ในซีซั่นนั้น เชลซีได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ลูกากู ไม่ถูกส่งชื่อลงในทีมชุดยุโรป ขณะที่คนอื่นในทีม ได้เล่นกันครบถ้วนหน้า แต่ลูกากู ไม่ได้เล่นเกมยุโรปแม้แต่นาทีเดียว
ดังนั้น เขาจึงไม่เคยนับว่า แชมป์ยุโรป 2012 เป็นความสำเร็จของตัวเอง เพราะเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย
ขณะที่ในเอฟเอคัพ แม้เชลซีจะได้แชมป์ แต่ลูกากูก็ได้ลงเล่นแค่ 2 นาทีเท่านั้น โดยเป็นตัวสำรองในรอบ 3 เกมที่เชลซีชนะปอร์ทสมัธ 4-0
ดังนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจกับโทรฟี่รายการนี้เช่นกัน
"ตอนเราแห่รถบัสฉลองแชมป์ ซาโลมง กาลู เอาโทรฟี่แชมป์เอฟเอคัพ มาวางที่ตักของผม ผมขอร้องให้เขารีบเอาออกไปทันที เพราะผมไม่อยากสัมผัสมัน ผมไม่มีส่วนร่วมอะไรกับแชมป์รายการนี้ เหมือนกับแชมป์ยุโรปนั่นแหละ ผมไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย"
ตลอด 1 ปีแรกที่เชลซี ลูกากูอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ซ้อมก็ไม่มีความสุข โค้ชก็ไม่ค่อยเชื่อใจเขา ระหว่างที่คนอื่นแฮปปี้กับการฉลองแชมป์ แต่เขาเหมือนเป็นส่วนเกินที่ไม่มีความสำคัญ
กลายเป็นว่าสโมสรในฝันตั้งแต่เด็กของเขา มันไม่ได้สวยงามอย่างในจินตนาการเสียแล้ว
หลังจบฤดูกาล 2012-13 ลูกากู เข้าไปคุยกับโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ผู้จัดการทีม ณ ขณะนั้นทันที ว่าถ้าไม่คิดจะส่งเขาลงเป็นตัวจริง ก็ปล่อยเขาให้ทีมอื่นยืมซะ
สุดท้าย ดิ มัตเตโอ ตัดสินใจปล่อยลูกากูให้เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
การได้ลงเล่นต่อเนื่องที่เวสต์บรอม ทำให้ลูกากู กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง
เขาลงสนาม 35 นัด ซัดไป 17 ประตู พาเวสต์บรอมจบอันดับ 8 ของตารางคะแนน เรียกได้ว่าผลงานโดดเด่นเอามากๆ
ลูกากู จึงได้โอกาสทบทวนตัวเองอีกครั้ง คือเขาก็เล่นได้ดีนี่นา ไม่ได้เป็นตัวประกอบเหมือนอย่างที่เชลซีปฏิบัติกับเขาเสียหน่อย
หากเทียบกับกองหน้าคนอื่นของเชลซีในฤดูกาลเดียวกัน ตอร์เรสยิงไป 8 ,เดมบ้า บา ยิงไป 2, สเตอร์ริดจ์ยิงไป 1 คือทั้ง 3 คนรวมกัน ยังยิงได้ไม่เท่าเขาเลยด้วยซ้ำ ทำให้ลูกากูไม่เข้าใจ ว่าทำไมเชลซีถึงยังไม่ให้โอกาสเขายืนเป็นตัวจริงเสียที
หมดสัญญายืมตัวกับเวสต์บรอม ลูกากู กลับมาที่เชลซีอีกครั้ง คราวนี้เขาพร้อมแล้วที่จะยืนเป็นตัวจริง
เปิดฉากซีซั่น 2013-14 เชลซีมีผู้จัดการทีมคนใหม่ คือโชเซ่ มูรินโญ่ หลายคนก็คิดว่า คราวนี้ลูกากูน่าจะได้โอกาสเต็มๆแล้ว เพราะมูรินโญ่ชอบลูกากูมานาน ตั้งแต่สมัยคุมเรอัล มาดริดด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่ลูกากู เพิ่งจะอายุแค่ 20 ปี และมูรินโญ่ มีตัวเลือกกองหน้าในมือทั้ง เฟร์นันโด ตอร์เรส, ซามูแอล เอโต้ และ เดมบ้า บา ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์มากกว่า ลูกากูทั้งสิ้น นั่นทำให้ ลูกากู ยังคงเป็นตัวเลือกเบอร์ 4 ของเชลซีอยู่
มูรินโญ่ อาจต้องการค่อยๆปั้นไปช้าๆ แต่สำหรับลูกากู เขาถอยกลับไปเป็นตัวสำรองไม่ได้อีกแล้ว
"ผมไม่อยากให้ผู้คนจดจำว่าลูกากูเล่นดีกับเวสต์บรอมแค่ปีเดียว แล้วก็กลับไปเป็นตัวสำรองเหมือนเดิม"
"คนที่โดดเด่นแค่ปีเดียว ในวงการฟุตบอลจะไม่ให้เครดิตอะไรกับคุณหรอก ดังนั้นผมต้องการลงเล่นอย่างต่อเนื่องทุกๆปี"
"ผมไม่ได้กลัวการแข่งขันที่เชลซีนะ แต่อย่าลืมว่านี่คือซีซั่นก่อนฟุตบอลโลก 2014 จะมาถึง ดังนั้นผมจำเป็นต้องการันตีตำแหน่งตัวจริง เพื่อโอกาสติดทีมชาติไปฟุตบอลโลกด้วย"
มูรินโญ่นั้น ยังไงก็ไม่ให้ลูกากูเป็นตัวจริง เพราะเขามองว่ามันเร็วเกินไป เขาอยากค่อยๆปั้นไปเรื่อยๆมากกว่า แต่ลูกากูนั้นรอไม่ได้
เมื่อเป็นแบบนั้น เชลซีก็จำใจต้องปล่อยในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะ ให้ลูกากูย้ายไปซบเอฟเวอร์ตัน เป็นเวลา 1 ฤดูกาล
ลูกากู ยิงระเบิดกับเอฟเวอร์ตัน เขาลง 29 นัด ซัดไป 15 ประตู
ซึ่งก็เช่นเคย จำนวนประตูที่ลูกากูยิงได้ เยอะกว่าทั้ง เอโต้, ตอร์เรส และ เดมบ้า บา ยิงให้เชลซีในพรีเมียร์ลีก
หมดสัญญากับเอฟเวอร์ตัน ลูกากูกลับมาที่เชลซีอีกครั้ง คราวนี้เขามั่นใจจริงๆ ว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ที่เขาจะยืนเป็นหัวหอกตัวเป้าของเชลซี
เขาพิสูจน์ตัวเองมา 2 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เชลซีจะบ่ายเบี่ยงได้อีก หลังจากรอคอยมานาน ก็ถึงคราวที่เขาจะได้เป็นตัวหลักของทีมในฝันเสียที
แต่แล้วในช่วงซัมเมอร์ 2014-15 เชลซี สร้างเซอร์ไพรส์ เมื่อเซ็นกองหน้าเข้ามา 2 คนรวด คือดีเอโก้ คอสต้า จากแอตเลติโก้ มาดริด และ เซ็นดิดิเยร์ ดร็อกบา กลับคืนมาจากกาลาตาซาราย
มันสร้างคำถามให้ลูกากูว่า ในเมื่อเขาเองก็เล่นดีมาตลอด แล้วทำไมต้องไปซื้อหัวหอกคนอื่นมาแย่งชิงตำแหน่งกับเขาด้วยล่ะ? มันแปลว่าเชลซี ไม่เชื่อใจเขาให้เป็นกองหน้าเบอร์ 1 อีกหรือ
จริงๆแล้วในปีนี้ มูรินโญ่ตั้งใจจะให้โอกาสลูกากูมากขึ้นกว่าเดิม แต่เขาก็ยังไม่การันตีว่า ลูกากูจะเป็นตัวเลือกเบอร์ 1
ลูกากูจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองกับเชลซี ว่าเขาเหนือกว่าทั้งดีเอโก้ คอสต้า และดิดิเยร์ ดร็อกบาจริงๆ
สำหรับลูกากู เขาคิดว่าตัวเองอดทนมาพอแล้ว ผลงานของเขากับทั้งเวสต์บรอมฯ และ เอฟเวอร์ตัน ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาคือของจริง ทำไมเขาต้องมาพิสูจน์ตัวเองอีกรอบด้วยล่ะ
นั่นทำให้ลูกากู ขอขึ้นบัญชีย้ายทีม และเอฟเวอร์ตัน ยอมจ่าย 28 ล้านปอนด์ ดึงตัวมาร่วมทัพถาวรในที่สุด
มูรินโญ่ ออกมาตำหนิตรงๆว่า "มันชัดเจนว่า ลูกากู ไม่มีแรงขับเคลื่อนมากพอ ที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งตัวจริงที่เชลซี"
"เขาอยากอยู่กับเชลซีก็จริง แต่ต้องได้รับการการันตีเป็นกองหน้าเบอร์ 1 เท่านั้น ซึ่งด้วยแนวทางของเรา มันยากที่จะให้สัญญาว่าเขาจะได้เป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของสโมสร"
สุดท้ายเส้นทางของลูกากู กับเชลซี จึงจบลงตรงนั้น
ลูกากูย้ายออกจากทีมในฝัน โดยที่ไม่สามารถยิงประตูได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
"ผมอยากมีอาชีพที่สดใส ผมไม่อยากอยู่กับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องเป็นตัวสำรอง 10 ปีติดต่อกัน"
ลูกากูเล่นให้เอฟเวอร์ตันมา 4 ฤดูกาล (ยืม 1 สัญญาถาวร 3) เมื่อจบฤดูกาล 2016-17 เขาก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะย้ายออกจากทีม ไปหาสโมสรอื่น ที่เขาจะสามารถยกระดับฟุตบอลของตัวเองให้สูงขึ้นมากกว่านี้
เอฟเวอร์ตัน ตั้งราคาขายไว้ที่ 75 ล้านปอนด์ ซึ่งมี 2 สโมสร พร้อมยื่นข้อเสนอนี้ ได้แก่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี
เชลซี นั้นมีปัญหาเรื่องกองหน้า เพราะดีเอโก้ คอสต้า มีความขัดแย้งกับอันโตนิโอ คอนเต้ และไม่ยอมลงเล่น แถมทีมก็ยังปล่อยโลอิก เรมี่ พ้นทีมไปอีกหนึ่งราย
เท่ากับว่าเชลซีตอนนี้ไม่เหลือหัวหอกตัวเป้าแม้แต่รายเดียว ถ้าลูกากูย้ายมา ก็การันตีได้ว่า จะได้ลงเล่นทุกนัดทุกนาที
สื่อมวลชนค่อนข้างมั่นใจว่า ลูกากูน่าจะกลับไปที่เชลซีอีกครั้ง
เพราะดีกรีของเชลซี ก็เพิ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมา ในสโมสรก็มีนักเตะเบลเยี่ยมอยู่เพียบ ทั้งเอแด็น อาซาร์ ,ธีโบต์ กูร์กตัวส์ และ มิทชี่ บัตชูอายี่ น่าจะทำให้ลูกากูรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
และอีกหนึ่งเหตุผลคือเชลซีเป็นทีมในฝันของลูกากูตั้งแต่เด็ก การได้กลับไปเล่นเป็นตัวจริงให้ทีมที่ตัวเองรัก มันคงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์มากเลย
จากคนที่สโมสรไม่เชื่อใจ เขาใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมา 5 ปี จน สโมสรซื้อตัวกลับไปร่วมงานอีกครั้ง มันมีสตอรี่ที่สวยงามมากจริงๆ
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายลูกากูหักปากกาเซียน เมื่อตัดสิน เลือกข้อเสนอของอีกทีม เขาย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแทน
ในความรู้สึกของเขา เส้นทางของตัวเองกับเชลซี มันจบลงไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลับไปอีก
วันที่เซ็นสัญญา มีนักข่าวถามว่า รู้สึกเสียใจไหม ที่ไม่ยอมรีเทิร์นไปเล่นให้เชลซี เพราะทุกคนรู้ว่านี่คือสโมสรในฝันของลูกากูสมัยเด็ก
"ไม่ ไม่ ไม่เลย" ลูกากูตอบ
"ผมตัดสินใจย้ายมาแมนฯยูไนเต็ด ด้วยสมอง และหัวใจ ผมรู้ว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดของผมแล้ว"
1
เชลซีจะมาฝันอะไรถึงเขาตอนนี้ ในวันที่เขาไม่ได้ฝันถึงเชลซีอีกแล้ว
ความรู้สึกของคนเรา เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ครั้งหนึ่งเคยรัก เคยใฝ่ฝันถึง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องรู้สึกแบบนั้นตลอดไป
1
ถ้าหากความจริงที่เจอ ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
ฝันได้ ก็ตื่นได้
4
เคยรักแค่ไหน ก็จบได้เช่นกัน
#Lukaku
14 บันทึก
262
7
5
14
262
7
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย