31 ก.ค. 2019 เวลา 02:15 • บันเทิง
Dear Evan Hansen [1]
ช่วง: คนเขียนพูดถึงละครเพลง
*เนื่องจากเรื่องนี้เป็นมิวสิคัลที่ยังคงมีการแสดงอยู่ และไม่มีโชว์ที่เผยแพร่ออกมาอย่างถูกกฏหมาย (มีแต่ Bootleg ในเน็ต) ดังนั้น คนเขียนขออนุญาตเล่าแค่เรื่องย่อ และวิเคราะห์เพลงในเรื่องนี้นะคะ^^
เรื่องนี้แค่พล็อตก็น่าสนใจแล้วค่ะ ตัวละครหลักคือ อีแวน แฮนสัน เด็กหนุ่มมัธยมปลาย ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าสังคม หรือที่เรียกว่า Social Anxiety นั่นทำให้คุณหมอประจำตัวบอกให้เขาเขียนจดหมายถึงตัวเองเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นค่ะ
เรื่องจะไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่บังเอิญว่าตอนเลิกเรียน ในขณะที่อีแวนกำลังนั่งเขียนจดหมายอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียน คอนเนอร์ เมอร์ฟีย์ เพื่อนร่วมห้องที่มีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์เดินเข้ามาขอโทษอีแวนที่ผลักเขาล้มในตอนเช้า พร้อมทั้งยังไปหยิบจดหมายของอีแวนที่เครื่องปรินท์มาคืนให้อีกด้วย
แต่ก่อนคืน คอนเนอร์ก็อ่านไปนิดหน่อย โชคร้ายที่ในนั้น อีแวนเขียนถึงความชอบที่เขามีต่อโซอี้ น้องสาวแท้ๆของคอนเนอร์ นั่นทำให้คอนเนอร์โกรธอย่างมาก เลยขยำจดหมายแล้วเอาติดมือไปด้วย
ใครจะไปคิดว่าคืนนั้นคอนเนอร์จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย...
พ่อแม่ของเขาเข้ามาในห้อง นอกจากศพของลูกชาย สิ่งเดียวที่ทิ้งไว้คือจดหมายของอีแวน หรือที่พวกเขาเข้าใจว่าเป็นจดหมาย ‘ถึง’ อีแวน เพราะจ่าหน้าเอาไว้ด้านบนอย่างชัดเจนว่า Dear Evan Hansen
จากลูกชายที่เคยคิดว่าไม่มีเพื่อน แต่กลับมีคนให้ส่งจดหมายถึง...
จดหมายที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครมาเห็น
คำโกหกที่ไม่ได้ตั้งใจให้ใครมารับฟัง
ชีวิตที่ไม่เขาไม่เคยแม้แต่ฝันว่าจะได้
อีแวน แฮนสัน กำลังจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด...:
โอกาสที่จะได้เป็นส่วนนึงของอะไรซักอย่าง
เพลงแรก: Anybody have a map
เพลงเปิดมิวสิคัลเรื่องนี้ร้องโดยคุณแม่ทั้งสองคน ได้แก่ ไฮดี้ คุณแม่ของอีแวน และ ซินเทีย คุณแม่ของคอนเนอร์
เพลงนี้พูดถึงความสับสนของคนเป็นแม่ค่ะ สังเกตุได้จากชื่อเพลงที่แปลตรงตัวคือ ‘มีใครมีแผนที่ไหม?’
ช่วงแรกของเพลงคือไฮดี้ที่พูดคุยกับอีแวนเรื่องให้เขาเขียนจดหมายหาตัวเองค่ะ แล้วก็ให้อีแวนที่ตอนนั้นแขนหักอยู่ไปขอเพื่อนที่โรงเรียนให้เซ็นชื่อที่เฝือกให้ เป็นการบอกให้ลูกลองออกไปหาเพื่อนนั่นเองค่ะ แต่อีแวนกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย และจุดที่น่าสนใจในเพลงนี้ค่ะ
Another stellar conversation for the scrapbook
Another stumble as I'm reaching for the right thing to say
I'm kinda coming up empty
Can't find my way to you
ตรงนี้พูดถึงความหงุดหงิดของไฮดี้ที่เธอไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้คำพูดยังไงกับลูกชายตัวเองเพื่อให้เขาตอบเธอกลับมาดีๆ มันเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่ายในชีวิตประจำวันค่ะ ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกกัน แต่สิ่งที่ลูกคิด และสิ่งที่แม่คิดมันไม่เหมือนกันเลย การพยายามใช้คำพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอีกคนไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้วค่ะ
Does anybody have a map?
Anybody maybe happen to know how the hell to do this?
I don't know if you can tell
But this is me just pretending to know
So where's the map?
I need a clue
'Cause the scary truth is
I'm flying blind
And I'm making this up as I go
ท่อนนี้เป็นท่อนที่น่าเศร้ามากๆ ไฮดี้กำลังพยายามหาวิธีทาง และความเป็นจริงคือเธอกำลังบินขึ้นไปโดยที่มองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งในชีวิตจริง ถึงแม้จะไม่มีคู่มือ ไม่มีแผนที่ ไม่รู้วิธีการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดเป็นแม่เมื่อเราต้องการได้ ไม่ว่ายังไงลูกก็ยังอยู่ และจะรู้หรือไม่รู้ ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป
คราวนี้ตัดภาพมาที่ซินเทียกันบ้างค่ะ เธอมีลูกสองคนที่ไม่ลงรอยกันเลยแม้แต่นิดเดียว คอนเนอร์ดูจะมีปัญหาด้านอารมณ์ แถมยังติดยาอีก เธอเองก็เหมือนจะเป็นคนเดียวที่ยื้อความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัวไว้ไม่ให้แตกหัก
Another masterful attempt ends with disaster
Pour another cup of coffee
And watch it all crash and burn
It's a puzzle, it's a maze
I tried to steer through it a million ways
But each day's another wrong turn
ตรงนี้ซินเทียบอกว่าเธอพยายามแล้ว แต่มันก็ออกมาเละเทะทุกครั้ง เหมือนท่อนแรกที่บอกว่าพอพยายามก็ตามมาด้วยหายนะ พอเทกาแฟลงแก้วก็เหมือนจะสามารถรอให้มันแตกและลุกไหม้ได้เลย ทุกอย่างนี้ยากเหมือนอยู่ในเขาวงกต ซึ่งเธอก็พยายามจะลองเดินไปเป็นล้านๆรอบ แต่ก็เหมือนจะเลี้ยวผิดทางทุกวัน
มาเห็นความสับสนในมุมของคนเป็นแม่แบบนี้แล้วก็อดเศร้าไม่ได้ค่ะ มันไม่ง่ายเลยที่จะพยายามคุยกับสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองเรียกว่า ‘ลูก’ และหน้าที่นี้ไม่เคยหยุด มันไม่เคยปล่อยให้คุณได้ลองผิดลองถูก เพราะหากตัดสินใจพลาดไปนิดเดียว นั่นก็ส่งผลกระทบมากเกินจะแก้แล้ว
กดฟังเพลงที่มาพร้อมอนิเมชั่นน่ารักๆจากคุณ lyubizum ได้ที่นี่เลยค่ะ:
เพลงที่สอง: Waving through the window
เพลงนี้ร้องโดยอีแวน แฮนสัน หรือตัวเอกของเรานั่นเองค่ะ
โดนเนื้อเพลงรวมๆพูดถึงการที่เขารู้สึกไม่มีตัวตนค่ะ เหมือนที่โบกมืออยู่ด้านนึงของหน้าต่าง ส่วนอีกด้านก็มีผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ไม่มีใครซักคนที่หันมอง เนื้อเพลงจุดที่คิดว่าดีมีประมาณนี้ค่ะ
I've learned to slam on the brake
Before I even turn the key
Before I make the mistake
Before I lead with the worst of me
Give them no reason to stare
No slipping up if you slip away
So I got nothing to share
No, I got nothing to say
ตรงนี้เป็นส่วนที่น่าสนใจมากๆ คือคนที่เป็น social anxiety มักจะกลัวที่จะต้องลงมือทำอะไร เพราะรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาไม่ดีค่ะ ซึ่งอีแวนกำลังบอกว่าเขาเองก็เป็นแบบนั้น
ประมาณว่า ถ้าเขาไม่เลือกที่จะคุยกับผู้คน ไม่เลือกที่จะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งในเหตุการณ์สำคัญๆ ก็จะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด หรือว่า เขาจะไม่แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดปัญหานั่นเองค่ะ
Step out, step out of the sun
If you keep getting burned
Step out, step out of the sun
Because you've learned, because you've learned
ต้องบอกว่าเพลงนี้มีความหมายแฝงเยอะแยะไปหมด อย่างในที่นี้ ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนความสนใจค่ะ ซึ่งหากมีแสงมากไปก็จะถูกเผา หรือถูกแกล้ง/ล้อเลียนนั่นเอง อีแวนจึงต้องตักเตือนตนเองให้หลบออกมาอยู่ในความมืด หรืออยู่ห่างจากผู้คนเพื่อปกป้องตนเองค่ะ
On the outside, always looking in
Will I ever be more than I've always been?
'Cause I'm tap, tap, tapping on the glass
I'm waving through a window
อันนี้เป็นท่อน chorus ค่ะ ตรงนี้อีแวนพูดถึงว่าเขาโบกมืออยู่ด้านใน ส่วนผู้คนทั้งหมดอยู่อีกด้าน ดังนั้นเหมือนเขาถูกแยกออกมา และต่อให้โบกไม้โบกมือหรือเคาะหน้าต่างยังไง ผู้คนอีกฝั่งก็จะไม่มีวันรับรู้ถึงตัวตนของเขาอยู่ดี
คำว่า หน้าต่าง ถ้ามาคิดดีๆ จะเห็นว่าเวลาเรามองหน้าต่าง เราจะเห็นภาพของตัวเองลางๆด้วย อีแวนก็เช่นกัน มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเขาเดียวดายมากแค่ไหน
When you're falling in a forest and there's nobody around
Do you ever really crash, or even make a sound?
Did I even make a sound?
It's like I never made a sound
Will I ever make a sound?
ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่เริ่มมิวสิคัล เราจะสังเกตุเห็นว่าอีแวนแขนหัก (เป็นสาเหตุที่ไฮดี้ให้อีแวนเดินไปรอบโรงเรียนแล้วให้เพื่อนช่วยเซ็นเฝือกให้) ซึ่งภายหลังอีแวนเล่าให้ ‘จาเร็ด’ เพื่อนเพียงคนเดียวฟังว่าเขาตกลงมาจากต้นไม้
ตรงนี้ที่เขาพยายามจะสื่อ คงหมายถึงว่าตอนที่เขาตกลงมา ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยเพราะมันเป็นป่า ไม่มีใครได้สินเสียงร้องของเขา ก็เหมือนเวลาเขาพูดหรือทำอะไร เขามักจะสงสัยวาคนรอบตัวจะรับรู้ถึงตัวตนของเขารึเปล่า แล้วเขาจะมีโอกาสมีตัวตนบ้างมั้ยนั่นเองค่ะ
เพลงนี้เป็นเพลงที่แปลยากที่สุดในมิวสิคัลเรื่องนี้เลย มีหลายท่อนมากๆที่สามารถแปลได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ฟัง แต่ทั้งหมดล้วนสื่อถึงความเดียวดายของอีแวน ความรู้สึกไร้ตัวตน ซึ่งเป็นจุดสำคัญของเรื่องนี้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมอีแวนต้องโหยหาความสนใจค่ะ
กดฟังเพลงนี้พร้อมกับอนิเมชั่นน่ารักๆจากคุณ kjunginger ได้ตรงนี้เลยค่ะ:
Talk//
สองเพลงแรกไปแล้วค่ะ เป็นอีกงานที่เขียนแล้วสนุกมากๆ แต่ก็เหนื่อยมากๆเช่นกัน ฮาา ขอลองดูก่อนนะคะว่าคนอ่านโอเครึเปล่า ถ้าชอบกัน คนเขียนก็ไม่มีปัญหาที่จะเขียนต่อค่ะ เพราะส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากๆอยู่แล้ว
ถ้าเขียนต่อ ก็รอติดตามได้วันเสาร์นี้ค่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตาม รักมากๆนะคะ💕❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา