30 ก.ค. 2019 เวลา 06:42 • การศึกษา
เพราะความคึกคะนองของนันทยักษ์จึงถูกแผ่นดินสูบ
ขึ้นชื่อว่ายักษ์ก็มีทั้งยักษ์ดีที่เลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา
และยักษ์เลวที่ไม่เคารพพระไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ดังเรื่องนันทยักษ์ที่เพียงแค่เห็นพระมาหาเถระสารีบุตรอัครสาวกฝ่ายขวาของพระพุทธเจ้า
ท่านได้ปลงผมใหม่ๆ จึงมีศรีษะที่เกลี้ยงเกลา และเมื่อท่านนั่งใกล้กับวิหาโปตกันทรา ซึ่งเป็นที่อยู่กลางแจ้ง
บวกกับข้างขึ้นเดือนหงายซึ่งเป็นคืนเดือนเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง ก็ยิ่งสว่างด้วยบารมีราศีของท่าน พระเถระก็นั่งเข้าสมาธิภาวนาฌาณทางจิตของท่านตามปกติ
เจ้ายักษ์นันทกะกำลังเหาะเหินเดินมาในนภากาศ กับเพื่อนยักษ์ที่เป็นสัมมาทิฎฐิ(ความคิดเห็นถูกธรรม)มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
ขณะที่ยักษ์ทั้งสองกำลังเหาะเหินเดินอากาศเบื้องบนด้วยความสำราญใจนั้นเจ้ายักษ์นันทะเหลือบไปเห็นพระเถระนั่งสมาธิด้วยความสงบ
ศรีษะของพระเถระเป็นมันเลื่อมส่องสว่างรับกับแสงจันทร์วันเพ็ญดูเด่นเป็นสง่ายิ่งนัก แล้วเจ้ายักษ์นันทะเกิดความคิดวิตถารด้วยความคึกคะนองใจใคร่จะลองกระบองอันเรืองฤทธิ์ของตนให้เพื่อนชม
จึงบอกกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าเห้ยเพื่อนข้าจะใช้กระบองตีหัวพระองค์นี้ว่ะ
เพื่อนยักษ์ที่มาด้วยกันร้องห้ามว่าอย่าเลยเพื่อน พระเถระรูปนี้มีคุณธรรมสูงยิ่งนัก มีฤทธิ์มากนัก มีอานุภาพมากนัก
แม้เพื่อนยักษ์จะกล่าวห้ามปรามถึง ๓ ครั้ง
ยักษ์นันทกะ ก็ยังไม่เชื่อคำห้ามปรามของเพื่อน มันก็ลอยละลิ่วลงมาพอได้ระดับที่เหมาะเจาะ ตั้งท่าที่ถนัดดีแล้ว
ก็ใช้ไม้กระบองวิเศษหวดลงไปที่ศรีษะของพระเถระเต็มแรงสุดที่มี
ซึ่งโดยปกติกระบองวิเศษนี้ เมื่อฟาดอย่างเต็มแรงแบบนี้ สามารถทำให้ช้างสูง ๘ ศอก จมดินได้ หรือสามารถพังทลายยอดภูเขาขนาดใหญ่ให้ทลายลงได้
แต่ทันทีที่นันทยักษ์ฟาดกระบองลงไปศรีษะของพระเถระมันกลับกรีดร้องลั่นว่า “โอ๊ย ! ข้าร้อนเหลือเกิน”
พอสิ้นเสียง ร่างของมันก็จมลงในแผ่นดิน
เข้าไปสู่ประตูมหานรกอเวจี ณ ที่นั้นเอง
กรรมที่ทำร้ายพระอรหันต์ก็มีโทษหนักอยู่แล้ว และยิ่งพระอรหันต์รูปนั้นกำลังเข้านิโรธสมาบัติ(การเข้าถึงความดับ ดับความจำ ดับการรับรู้อารมณ์) ใครทำร้ายก็ยิ่งมีโทษหนักขึ้นไปอีก เหตุการณ์นี้อาจจะเพราะอำนาจ ครุกรรม(กรรมอันหนัก)ก็เป็นได้
เหตุการณ์การกระทำทั้งหมดของยักษ์นันทะในครั้งนี้ พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้เห็นโดยตลอด ด้วยทิพยจักษุ(ตาทิพย์)
พอรุ่งเช้าพระมหาโมคคัลลานะจึง
เข้าไปหาพระสารีบุตรแล้วถามว่า:-
“ท่านสารีบุตร ยังสบายดีอยู่หรือไม่ ที่ยักษ์ตีศรีศระท่านเต็มแรงปานนั้น อาการเป็นอย่างไรบ้าง พออดพอทนไหวมั้ย?”
“ท่านโมคคัลลานะ ผมสบายดี พออดพอทนได้นะแต่รู้สึกเจ็บที่ศีรษะนิดหน่อย”
พระมหาโมคคัลลานะ ได้ฟังแล้วก็กล่าวว่า “ว้าวน่าอัศจรรย์จริง ๆ ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ว่าท่านสารีบุตรนี่จะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากขนาดนี้ ถูกยักษ์ตีรุนแรงขนาดนี้ ยังบอกว่าเพียงแต่เจ็บที่
ศีรษะนิดหน่อย”
ส่วนพระสารีบุตร ก็กล่าวชมพระมหาโมคคัลลานะว่า “ช่างน่าอัศจรรย์ เช่นกัน ท่านโมคคัลลานะ ท่านก็มีฤทธานุภาพมากไม่มีใครเสมอเหมือนท่านเลย ท่านเห็นแม้กระทั่งยักษ์ที่มา
ส่วนผมเอง แม้แต่ปีศาจคลุกฝุ่นสักตน ก็ยังไม่เคยเห็นเลย” คือผมไม่เห็นอะไรเลยจริงๆพระมาหาเถระทั้งสองต่างอัศจรรย์ใจแก่กัน
ในมุมของผู้เขียนการที่พระสารีบุตรไม่เห็นอะไรเลยคงจะเป็นเพราะพระเถระเข้าสมาบัติอยู่จึงไม่เห็นสิ่งใด
และที่อัศจรรย์ใจยิ่งกว่าคือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าฟังพระมหาเถระทั้งสองสนทนากันด้วยทิพย์จักขุ(ตาทิพย์)ทิพย์โสต(หูทิพย์)
จึงทรงเปล่งพุทธอุทานให้ไดยินแค่พระเถระทั้ง2รูปนี้ว่า:-
“ผู้ใดมีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวดุจภูเขาหิน
ไม่กำหนัดในอารมณ์ที่น่ากำหนัด
ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ที่น่าให้ขัดเคือง
ผู้อบรมจิตได้อย่างนี้ ความทุกข์ย่อมไม่มีแน่นอน”
เรื่องราวที่เกี่ยวกับนันทยักษ์กับพระสารีบุตรก็จบด้วยประการฉะนี้
ในพุทธศาสนาเรื่องแผ่นดินสูบหรือธรณีสูบยังเหลืออีก3ชีวิต
แต่เรื่องของพระสารีบุตรที่ถูกพราหมณ์ตี ถูกพระกล่าวหาว่าไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ถูกฟ้องว่าไม่ให้เกียรติพระผู้น้อย
และโยมว่าไม่สำรวมก็ยังมีอยู่
ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีธรรมะน่าสนใจศึกษาและนำมาปรับเป็นข้อคิดเป็นทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตได้ดีทีเดียว
ท่านผู้อ่านสนใจอยากให้นำเรื่องอะไรมาลงก็เม้นไว้ด้านล่างนะครับ จะนำมายอยลงให้ครับ
กราบเรียนคุณผู้อ่านทุกท่านครับ
หากเนื้อหา บทความนี้ มีคุณค่าเป็นประโยชน์
กดถูกใจ กดไลค์ กดแชร์ หรือเมนท์ข้อเสนอแนะ
ให้ด้วยครับ
เหนือสิ่งอื่นใด จำนวนการกดติดตามเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
นับเป็นสุดยอดพลังใจในการเขียนงานอย่างดียิ่งครับ
โฆษณา