1 ส.ค. 2019 เวลา 10:00 • กีฬา
ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดนแบน 8 เดือนเต็ม ในข้อหา "ลืม" ตรวจสารกระตุ้น เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอย่างไร ทำไมบทลงโทษโหดขนาดนั้น เราจะย้อนอดีตไปด้วยกัน
ริโอ เฟอร์ดินานด์ เป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมาย ในช่วงชีวิตการค้าแข้ง
แต่จุดเดียวที่เป็นความด่างพร้อยของเขา คือการไม่ยอมตรวจสารกระตุ้น ในปี 2003 จนส่งผลให้โดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษสั่งแบนเป็นระยะเวลา 8 เดือน
ริโอ อธิบายเหตุผลว่าที่ไม่ตรวจเพราะเขา "ลืม"
การโดนแบนยาวขนาดนี้ ทำให้สังคมตราหน้าเขาว่าเป็น Drugs Cheat หรือนักเตะขี้โกงที่แอบใช้สารกระตุ้น เรียกได้ว่า เครดิตของริโอที่ทำมา ต้องป่นปี้กันในพริบตาเลยทีเดียว
แต่เราไปฟังเหตุผลในมุมของเฟอร์ดินานด์กันบ้างไหม ว่าจริงๆแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นกันแน่?
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะมีการสุ่มตรวจสารกระตุ้นนักเตะเป็นระยะ
ทุกเกมหลังแข่งจบ จะต้องมีนักเตะ 1-2 คน ส่งปัสสาวะ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจ (Tester) อันนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่จะมีบางครั้งที่ หน่วยงานตรวจสารกระตุ้น จะไปสนามซ้อมแบบไม่แจ้งล่วงหน้า และสุ่มนักเตะมาตรวจปัสสาวะ 3-4 คน ซึ่งสโมสรก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ
อังคารที่ 23 กันยายน 2003 แมนฯยูไนเต็ด ลงฝึกซ้อมที่สนามแคร์ริงตัน หน่วยงานสารกระตุ้นแจ้งสโมสรมาว่า จะส่ง Tester มาเก็บปัสสาวะ โดย Random นักเตะ 4 คน คือนิคกี้ บัตต์, จอห์น โอเช, ไรอัน กิ๊กส์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์
การซ้อมผ่านไป 45 นาทีแรก คุณหมอประจำสโมสรไมค์ สโตน เดินมาบอกนักเตะทั้ง 4 คน ว่าซ้อมเสร็จอย่ารีบกลับไปไหน วันนี้ต้องส่งปัสสาวะให้ Tester ริโอ เฟอร์ดินานด์ได้ยินและรับทราบ
การโดนตรวจปัสสาวะ ไม่ใช่เรื่องแปลก ริโอส่งตัวอย่างบ่อยๆหลังเกมอยู่แล้ว แต่โดนสุ่มระหว่างการซ้อม นี่ถือเป็นครั้งแรกเลย ตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่แมนฯยูไนเต็ด
ซ้อมเสร็จ ริโอ เข้ามาอาบน้ำ เตรียมเปลี่ยนชุด คุณหมอสโตน ตะโกนใส่อีกครั้ง "ริโอ อย่าลืมตรวจสารกระตุ้น ทำให้เรียบร้อยด้วยนะ" ริโอตอบกลับว่า "ได้เลย ไม่มีปัญหา"
20 นาที หลังจากอาบน้ำเสร็จริโอเดินออกจากห้องแต่งตัว ปรากฏว่าไม่เจอ Tester รอเขาอยู่ นั่นเพราะ Tester นั่งอยู่บนห้องทำงานของคุณหมอ ซึ่งอยู่ชั้น 2 ของอาคาร
ขณะที่ กิ๊กส์, โอเช และบัตต์ ซึ่งต้องตรวจเหมือนกัน ทุกคนแยกไปปัสสาวะกันหมดแล้ว
พอริโอ เดินออกมาแล้วไม่เจอใคร ทำให้เขาลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้ ต้องตรวจสารกระตุ้น
"ผมรู้ว่าผมควรจะจำได้ เพราะดร.สโตน บอกผมถึง 2 รอบ แถมครั้งสุดท้ายก็เพิ่ง 20 นาทีที่แล้ว แต่ผมลืม คือในเวลานั้นผมกำลังย้ายบ้าน ใจของผมก็คิดแต่เรื่องนั้น จำได้แม่นว่าภรรยาของผม รีเบ็คก้า สั่งให้ไปซื้อผ้าปูเตียงใหม่หลังซ้อมเสร็จด้วย"
เมื่อริโอลืมสนิท ทำให้เขาเดินไปขึ้นรถทันที และตรงไปที่ห้างฮาร์วีย์ นิโคลส์ ในตัวเมืองแมนเชสเตอร์
คุณหมอสโตน ร้อนใจมากที่ริโอไม่มาตรวจสักที เขาตามหาทั้งแคร์ริงตันแล้วก็ไม่เจอ จึงโทรหาเฟอร์ดินานด์แบบรัวๆ แต่ริโอ ดันปิดเสียงโทรศัพท์พอดี
"ปกติผมตั้งปิดเสียงไว้ เพราะมันดังไม่หยุด ถ้าผมยุ่งอยู่ ผมจะปิดเสียงไว้จนกว่าจะว่าง"
ริโอเดินอยู่ที่ห้าง และไปเอยัล เบอร์โควิช เพื่อนนักเตะสมัยเล่นเวสต์แฮมด้วยกันพอดี ซึ่งเพิ่งย้ายไปแมนฯซิตี้ ทั้งคู่เลยคุยกันยาว และเตรียมกินอาหารเที่ยงด้วยกันเลย
กว่าเขาจะสังเกตมือถือ ก็ผ่านไปแล้วนับชั่วโมง เขาเห็นมิสคอล, แมสเซจ และ วอยซ์แมสเซจ เต็มไปหมด ซึ่งทั้งหมดมาจาก ดร.สโตน
"ริโอ กลับมาสนามซ้อมเร็ว คุณมีตรวจสารกระตุ้นนะ!" เสียงในวอยซ์แมสเซจของคุณหมอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ตัวริโอเอง อธิบายว่าเขาไม่รู้ว่า มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น เขาโทรกลับหาคุณหมอทันที
"หมอ ผมอยู่ในเมืองน่ะสิ คงใช้เวลาสัก 20 นาทีกว่าจะไปถึง"
แต่คุณหมอตอบกลับมาว่า Tester เขารอเป็นชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เขากลับไปหมดแล้ว
"หมอช่วยโทรตามคนตรวจให้กลับมาก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมรีบไปเลย" ริโอกล่าว
"เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มากนะริโอ" ดร.สโตนกังวลใจ "คุณอาจมีปัญหาได้ ปัญหาใหญ่มากๆด้วย"
ในการตรวจสารกระตุ้นนั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เพราะเป็นงานของ คณะกรรมการตรวจสารกระตุ้นแห่งสหราชอาณาจักร (UKAD) พวกเขาจะจ้าง Tester อิสระมาเก็บข้อมูล
Tester อิสระ จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งข้อมูลต่อมาให้ UKAD เท่านั้น
ดร.สโตน ไม่มีเบอร์ของ Tester คนดังกล่าว และไม่มีเบอร์ของเจ้าหน้าที่ UKAD ด้วย
สโมสรพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ปรากฏว่า คนที่ดูแลเรื่องการตรวจสารกระตุ้นลาไปพักร้อนพอดี จึงไม่มีใครหาเบอร์ Tester ได้เลย
ตามกำหนดการ จะมี Tester อีกกลุ่มมาตรวจสารกระตุ้น ที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน ในวันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน อีก 2 วันต่อมา ซึ่งด้วยความที่ริโอ ไม่คิดว่าจะเป็นประเด็นใหญ่อะไร เขาเลยบอกหมอว่า งั้นถ้าติดต่อใครไม่ได้เลย อีก 2 วัน ค่อยเอาตัวอย่างปัสสาวะของผมไปให้ Tester กลุ่มใหม่ละกัน
จากนั้น เขาก็กลับบ้าน ใช้ชีวิตตามปกติ เขาบอกรีเบคก้า ว่าเออ วันนี้ลืมตรวจสารกระตุ้นนะ แต่ก็ผ่านไป แล้วก็ไปสนใจเรื่องการย้ายบ้านต่อ
อีก 2 วันต่อมา ริโอ ส่งปัสสาวะให้ Tester กลุ่มใหม่ ทุกอย่างก็เหมือนจะผ่านไปด้วยดี
เฟอร์ดินานด์ลงเล่นให้แมนฯยูไนเต็ดไปเรื่อยๆ ในช่วงต้นฤดูกาล 2003-04 โดยทีมกำลังขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับอาร์เซน่อลอย่างสนุก
หลังเกมชนะเบอร์มิงแฮม 3-0 ในวันที่ 4 ตุลาคม ฟุตบอลสโมสรพักการแข่ง หลีกทางให้ฟุตบอลยูโรรอบคัดเลือก โดยอังกฤษจะลงแข่งนัดชี้ชะตา กับตุรกี ที่อิสตันบูล
ก่อนเกมเริ่ม อังกฤษมี 19 แต้ม ตุรกีมี 18 แต้ม อังกฤษถ้าบุกไปยันเสมอได้ที่บ้านตุรกี พวกเขาจะได้ไปเล่นยูโรรอบสุดท้ายทันที ในฐานะแชมป์กลุ่ม
ดังนั้นนี่คือเกมที่มีความหมายที่สุด ที่นักเตะทุกคน ไม่มีใครอยากพลาด
วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม เดวิด เดวีส์ ผู้บริหารของเอฟเอ โทรมาหาริโอแล้วบอกว่า "ริโอ ผมคุยกับสเวน โกรัน-เอริคส์สัน และผู้เกี่ยวข้องทุกคน เกี่ยวกับเรื่องการตรวจสารกระตุ้นแล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และเราต้องมีเวลาคุยกับทั้งตัวคุณ และสโมสร"
แมนฯยูไนเต็ดเองก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน เดวิด กิลล์ ซีอีโอของทีม ต้องประชุมด่วนกับ มัวริซ วัตกิ้นส์ ฝ่ายกฎหมายของทีม นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว
"ให้ตายเถอะ อะไรมันจะโอเวอร์ขนาดนั้น ผมพลาดการตรวจก็จริง แต่ผมก็ไปตรวจในอีกแค่ 48 ชั่วโมงต่อมานะ และผลก็ออกมาเนกาทีฟ ปัญหามันคืออะไรวะ" ริโอกล่าว
ริโอเองตลอดชีวิตค้าแข้งไม่เคย ไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้น ประวัติของเขาขาวสะอาดมาตลอด
"อย่าว่าแต่สารกระตุ้นเลย แม้แต่กัญชาผมยังไม่เคยดูดเลยสักครั้ง"
เอฟเอแจ้งกับแมนฯยูไนเต็ดว่า กำลังสืบสวนคดีนี้อยู่ แต่ขั้นแรก ในเกมอังกฤษ กับตุรกี ทีมชาติไม่สามารถส่งริโอลงสนามได้
ตามกฎของเอฟเอ ระบุว่า นักเตะคนใดก็ตามที่มีข้อสงสัยว่าจะใช้สารกระตุ้น ไม่สามารถลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษได้ จนกว่าจะได้ข้อสรุป
"นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม พวกเขาบ้าหรือเปล่า!" ริโอ โมโหอย่างเดือดดาล
แต่ไม่เลย เอฟเอไม่ได้ล้อเล่น ริโอลงสนามให้ทีมชาติไม่ได้
ในมุมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ริโอ ไม่ได้ส่งผลตรวจสารกระตุ้นในวันที่กำหนด
เรื่องนี้ไปถึงหูของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อย่างรวดเร็ว เฟอร์กี้ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"ผมบอกเขาว่าผมลืมจริงๆ และเดินออกมาจากสนามซ้อมเลย ผมพยายามจะกลับไป แต่สุดท้ายพบว่าคนตรวจเขาไม่อยู่แล้ว"
เซอร์อเล็กซ์บอกว่า การลืมไม่ใช่ข้ออ้าง และเรื่องนี้ริโอต้องรับผิดชอบกับผลที่ตามมา อย่างไรก็ตาม เฟอร์กี้ยืนยันว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน เขาจะยืนเคียงข้างริโอไปตลอดทาง ไม่ต้องห่วง
การที่ริโอไม่ได้ลงสนามให้ทีมชาติอังกฤษทั้งๆที่ร่างกายสมบูรณ์ดี ทำให้สื่อมวลชนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น และสุดท้าย เรื่องก็แตกจนได้ เฮดไลน์ของสื่อทุกสำนัก ประโคมข่าวกันอย่างพร้อมเพรียง
28 ตุลาคม 2003 เอฟเอแถลงการณ์ว่า "เอฟเอ จะมีบทลงโทษริโอ เฟอร์ดินานด์ จากการทำผิดกฎข้อ E26 ด้วยการปฏิเสธ หรือไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสารกระตุ้น" การตัดสินจะมีขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม 2003
"ผมรู้สึกว่า ข้อหาที่เอฟเอชี้แจงมันไม่ตรงเสียทีเดียว ผมไม่ได้ปฏิเสธ หรือไม่ให้ความร่วมมือ ผมแค่ลืมเท่านั้น ผมยินดีจะไปตรวจสารกระตุ้นในวันนั้นทันที อีกอย่างคนตรวจก็ไม่ได้แจ้งเวลาแบบเป๊ะๆมาด้วยว่า ผมต้องตรวจกี่โมง มันก็เกิดความสับสนได้นะ" ริโอกล่าว
แต่ไม่มีใครฟังคำอธิบายของเฟอร์ดินานด์ เอฟเอมบทลงโทษแน่ แต่จะยาวแค่ไหนเท่านั้น
ส่วนสื่อมวลชนก็โจมตีแหลก ตั้งคำถามว่า นักฟุตบอลระดับนี้ ที่ตรวจสารกระตุ้นตลอดชีวิต จะมาลืมอะไรได้ง่ายๆ มันเป็นไปได้จริงๆหรอ?
แมนฯยูไนเต็ด ยังใช้งานริโอ ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันตัดสินโทษ
ระหว่างนั้น ริโอก็วิ่งเต้นเต็มที่ เขายื่นข้อเสนอให้เอฟเอ ตรวจรากผมของเขา เพราะจะสามารถช่วยยืนยันว่า 6 เดือนที่ผ่านมา เขารับยา หรือสารกระตุ้นอะไรไปจริงหรือไม่ แต่ทว่าเอฟเอปฏิเสธ
ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่คนจับตามองทั้งโลก ทำให้การตัดสินคดีต้องทำอย่างรอบคอบมาก
คนในประเทศอื่นๆ ก็อยากรู้ว่าอังกฤษจะเคลียร์ปัญหา นักกีฬาคนดังไม่ตรวจสารกระตุ้นอย่างไร
ขณะที่แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด และแฟนบอลทีมชาติอังกฤษ ก็หวังว่าบทลงโทษจะไม่แรงเกินไปนัก เพราะริโอ ในวัย 25 ปี ถือว่าเป็นคีย์แมนทั้งระดับสโมสร และระดับทีมชาติ
การสืบสวนคดี กินเวลาหลายวัน มีการสืบพยานหลายปาก ทั้งตัวริโอเองที่ต้องให้ข้อมูลในวันที่เกิดขึ้น มีการสอบถามเซอร์อเล็กซ์ว่าตัวนักเตะมีพฤติกรรมอย่างไร ตลอดเวลาที่ร่วมงานกัน
รวมไปถึง มีการสอบถามหัวหน้าทีมตรวจสารกระตุ้นถึงกระบวนการในวันนั้นด้วย
ในที่สุดวันประกาศผลก็มาถึง 19 ธันวาคม หัวหน้าคณะกรรมการวินัยของเอฟเอ อ่านแถลงการณ์ว่า
"ริโอ เฟอร์ดินานด์ จะถูกแบน 8 เดือน เริ่มตั้งแต่ 12 มกราคม 2004 และถูกปรับเงิน 5 หมื่นปอนด์"
การโดนแบน 8 เดือนแปลว่า เขาจะไม่สามารถลงเล่นครึ่งซีซั่นหลังของแมนฯยูไนเต็ดได้ทุกถ้วย รวมไปถึง ไม่สามารถลงเล่นยูโร 2004 รอบสุดท้ายได้อีกด้วย
เขาจะกลับมาได้อีกที คือฤดูกาลหน้าเลย
"ผมคิดว่าผมฟังผิด ตอนแรกเขาจะบอกว่า 8 สัปดาห์หรือเปล่า แต่ไม่ใช่ มันคือ 8 เดือนจริงๆ พวกเขากล้าพรากเกมฟุตบอลที่ผมรักไปเกือบปี น้ำตาผมไหลลงมา ผมหัวหมุนไปหมด ผมไม่สามารถเข้าาใจได้ ว่าผลการตัดสินแบบนั้นออกมาได้อย่างไร"
เมื่อผลออกมาแบบนั้น มัวริซ วัตกินส์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของแมนฯยูไนเต็ด แถลงการณ์ทันที โดยกล่าวว่า
"เราผิดหวังมากกับผลที่ออกมา มันเป็นความโหดร้ายที่รุนแรงจริงๆ"
"แต่เรายืนยันว่า ริโอ จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแน่นอน"
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพยายามอุทธรณ์อีกครั้ง และหาหลักฐานทุกอย่าง รวมถึงเคสตัวอย่างจากประเทศอื่นๆมาอ้างอิง
ทนายของเอฟเอ มาร์ก เกย์ แถลงผลการอุทธรณ์ ยังคงให้โทษแบน ยึดอยู่ที่ 8 เดือนตามเดิม
เอฟเออธิบายว่า โทษสูงสุด ของคนตรวจสารกระตุ้นไม่ผ่านคือแบน 2 ปี และคนที่จงใจหลบเลี่ยง ก็สามารถถูกลงโทษได้ในระยะเวลาสูงสุด 2 ปีเท่ากัน ซึ่งการแบนแค่ 8 เดือน ถือว่าสมาคมฟุตบอลอังกฤษปราณีมากๆแล้ว
สุดท้ายริโอ ก็จึงต้องจำใจรับโทษแบนด้วยความเจ็บปวด สาเหตุเพราะการหลงลืมที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
การแบนของริโอ เฟอร์ดินานด์ครั้งนี้ ทำให้การตรวจสารกระตุ้นในอังกฤษ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทีเดียว
จากวันนั้นมา ไม่เคยมีนักฟุตบอลคนใดลืมตรวจสารกระตุ้นอีกเลย ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็ 16 ปีแล้ว
ขณะที่ Tester ก็ได้รับคำสั่งว่า ให้ประกบติดนักกีฬา จนกว่าจะได้ตัวอย่างปัสสาวะ เพื่อไม่ให้เกิดความหลงลืมกันแบบในกรณีริโออีก
แน่นอนริโอเอง ก็ได้รับบทเรียนในชีวิต และได้รู้ว่าการลืมในเรื่องสำคัญ มันอาจส่งผลกระทบรุนแรงแบบที่เขาคาดไม่ถึง
จากเรื่องของหลุยส์ ซัวเรซ เหยียดผิวเมื่อวานนี้ (คนที่ยังไม่อ่าน ย้อนไปอ่านได้นะ) เจ้าตัวบอกว่า เขาไม่รู้ว่าการเรียกคนอื่นว่า "ไอ้ดำ" มันเป็นเรื่องซีเรียสที่อังกฤษ
ก็มีคนบอกว่า มันจะเป็นไปได้หรอ เล่นฟุตบอลระดับนี้แล้ว ไม่รู้วัฒนธรรมของอังกฤษมันจะเป็นไปได้ยังไง
จริงๆอยากจะเหยียดผิวใส่เอฟร่าหรือเปล่า แต่ทำเป็นหาข้ออ้างอย่างนั้นอย่างนี้
มาถึงเรื่องของริโอในวันนี้ เขาเองโดนแบน เพราะอ้างว่า ลืมจริงๆว่าต้องส่งปัสสาวะไปตรวจสารกระตุ้น
ก็มีคนบอกเช่นกัน ว่ามันจะเป็นไปได้หรอ เล่นฟุตบอลระดับนี้แล้ว ผ่านการตรวจมาแล้วกี่ครั้ง จะบอกว่าลืมง่ายๆแบบนี้ได้หรอ
จริงๆแอบใช้สารกระตุ้นหรือเปล่า แต่ทำเป็นหาข้ออ้างอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อหลบเลี่ยง
บทความ 2 วันนี้ สะท้อนให้เราเห็นอะไรรู้ไหมครับ
เราจะเห็นว่า เมื่อกระทำผิดสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆอยู่แล้ว คือต้องโดนบทลงโทษ เหตุเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อมีผลเกิดขึ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องรับกับสิ่งที่ตามมา
ทั้งซัวเรซของลิเวอร์พูล และริโอของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งคู่หลีกเลี่ยงการโดนลงโทษไม่ได้อยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีสิทธิ คือการอธิบายตัวเอง
บอกให้สังคมรู้ว่า พวกเขาทำผิดเพราะอะไร แม้จะไม่ช่วยให้บทลงโทษลดลง แต่ก็โอกาสเล่าความจริงในมุมของตัวเอง
- ซัวเรซได้บอกกับโลกว่าชีวิตนี้เขาไม่เคยเหยียดผิวใคร (แต่สุดท้ายก็โดนแบน 8 เกม)
- ริโอได้บอกกับโลกเช่นกันว่า ชีวิตนี้เขาไม่เคยใช้สารกระตุ้นทั้งชีวิต (แต่สุดท้ายก็โดนแบน 8 เดือน)
ในชีวิตประจำวัน สมมุติว่าเราทำผิดอะไรสักอย่าง แน่นอนเรายินดีรับผลที่ตามมาอยู่แล้ว
ถ้าเรานัดแฟนไว้เที่ยงตรง แต่เรามาถึงบ่ายโมง เราต้องยอมรับอยู่แล้วถ้าเขาจะโกรธ แต่อย่างน้อยขอแค่อธิบายได้ไหม ว่าเรามาสายเพราะอะไร เราไม่ได้เถลไถล แต่มันสุดวิสัยจริงๆ
ถ้าเราทำงานพลาด เราต้องยอมรับอยู่แล้ว ถ้าจะโดนหัวหน้าตำหนิ แต่ถามว่าเราไม่ควรได้สิทธิอธิบายสักหน่อยหรอ ว่าเราคิดอะไรอยู่ถึงตัดสินใจพลาดแบบนั้นไป
แน่นอน อีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่ เราบังคับเขาไม่ได้
แต่อย่างน้อย แค่ได้บอกความรู้สึกของตัวเราออกไป ขอแค่นั้นก็ดีแล้ว
#FERDINAND
โฆษณา