4 ส.ค. 2019 เวลา 23:00 • การศึกษา
วิวัฒนาการของงู ตอนที่ 6
กว่างูจะมาเป็นงู...
"บทสรุปของการเดินทาง"
ในตอนที่ 6 นี้จะเป็นตอนสุดท้าย ที่ผมจะพาทุกคนไปเจอกับเจ้าตัวเขียวๆ
ที่อยู่บนหน้าปก(บางคนบอกดีแล้ว รีบๆผ่านไปเถอะ)
ในตอนสุดท้ายนี้จะเป็นบทสรุปของซีรีส์"วิวัฒนาการของงู"
ผมจะพาย้อนอดีตไปตั้งแต่ต้นบรรพบุรุษ จนกลับมาถึง ณ ปัจจุบัน
กว่างูจะเป็นงูที่เราเห็นในทุกวันนี้
มันต้องผ่านการปรับตัวมามากมาย
และสุดท้ายเราจะมาดูกันว่า มีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไป ...
150 mya
ย้อนกลับไปเมื่อ 150 ล้านปีที่แล้ว
โลกยังเต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานต่างๆมากมาย
แล้วสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย ก็ล้วนเป็น"สัตว์เลือดเย็น"
ในช่วงเวลานั้นไดโนเสาร์ตัวยักษ์สายพันธุ์ต่างๆ
ยังคงเดินกันให้พลุกพล่านจนแทบจะเดินเอาขาเบียดกัน
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ร่วมอาศัยมากับไดโนเสาร์เหล่านี้
มีหน้าตาคล้ายๆกับจิ้งเหลนตัวใหญ่ๆตัวหนึ่ง
ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสัตว์น่าพิศวงมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ "งู"
ส่วนใหญ่บรรพบุรุษของงูจะอาศัยอยู่ในดิน ในโพรง แล้วก็ริมแม่น้ำ
จับพวกปลาหรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยในแถบนั้นกิน
...แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ในช่วงร้อยกว่าล้านปีที่แล้วนั้น
สภาพอากาศได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากที่เคยร้อน อบอุ่น ก็ค่อยๆขยับไปทางหนาว ถึงเย็น
แล้วที่เลวร้ายคือ"มันเป็นสัตว์เลือดเย็น"
สัตว์เลือดเย็นต่างๆ"ไม่สามารถสร้างพลังงานความร้อนได้ด้วยตัวเอง"
แหล่งความร้อนที่สำคัญที่สุดของมันคือ "ดวงอาทิตย์"
จิ้งเหลนยักษ์ตัวนี้ ต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศอันหนาวเย็นเช่นนี้ให้ได้
เพราะถ้าหากทำไม่ได้...
นั่นหมายถึง มันจะต้องตายและหมดโอกาส
สืบพันธุ์ไปตลอดกาล
นั่นคือหายนะที่เลวร้ายที่สุด
ที่สัตว์ทุกชนิดบนโลกใบนี้
ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
หนาวเย็น
ดังนั้นจิ้งเหลนยักษ์ตัวนี้ต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิอากาศให้
และสิ่งที่มันทำคือ
"เพิ่มพื้นที่รับความร้อน" เพราะสัตว์เลือดเย็น
ต้องการความร้อนจากภายนอก มาทำให้ปฏิกิริยาภายในเริ่มทำงาน
มันถึงจะขยับและออกไปหาอาหารได้
ถ้าจะเพิ่มพื้นที่โดยทำตัวใหญ่ แต่ในช่วงหนาวเย็นแบบนี้
จะไปเอาพลังงานที่ไหนมาสร้างร่างกายให้ใหญ่ขึ้น
เพราะเหยื่อก็ต่างพากันจำศีลไปหมดแล้ว
สิ่งเดียวที่ทำได้และดีที่สุดในเวลานั้นคือ"ยืดร่างกายออกไป"
การยืดร่างกายออกไปในแนวราบจะทำให้ลำตัวบางขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเป็นข้อดีที่ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์และใต้พิภพ
จะเข้าถึงภายในร่างกายได้อย่างง่ายดาย
ถ้าตอนไหนจะกินเหยื่อก็แค่รัดให้ตาย เท่านั้นเอง...
และข้อดีอีกข้อคือ มันสามารถเลือกได้ว่าอยากโดนแดดตรงไหน
แถบไหน ข้างไหน โดยที่ไม่ต้องรับแดดทั้งตัว(เดี๋ยวจะร้อนเกินไป)
จากนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของจิ้งเหลนยักษ์ก็ไม่คล้ายจิ้งเหลนอีกต่อไป
เพราะลำตัวมันยาวขึ้น ยาวขึ้นแบบไม่รู้ว่าจะไปสุดแค่ไหน
แต่ก็ยังทิ้งความคล้ายบางอย่างเล็กๆน้อยๆเอาไว้
นั่นคือ"ขาทั้งสี่ข้าง"
งูที่เคยมีขา
การที่ตัวยาวขึ้นแล้วยังต้องเดินด้วยขาทั้งสี่ข้าง
เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ
ถ้าจะเดินให้สะดวกคงต้องมีขาสัก 100 คู่ขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา
แบบตะขาบหรือกิ้งกือ แต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เพราะงูไม่ใช่สัตว์มีข้อปล้อง จะมาสร้างขามาเพิ่มแบบนั้นไม่ได้
สิ่งเดียวที่มันทำได้คือ "เปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหว"
เปลี่ยนการเดินเป็นการเลื้อย ซึ่งการเลื้อย ก็ไม่ต่างจากการมีขาเป็น
100 คู่เหมือนตะขาบเท่าไหร่นัก เพราะการเลื้อยก็ใช้กล้ามเนื้อ
และกระดูกเล็กๆมากมายที่อยู่ตรงหน้าท้อง คอยดันตัวเองไปข้างหน้า เป็นรูปตัว S
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี ขาสี่ข้างที่เดิมทีไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้วก็ถูกวิวัฒนาการคัดทิ้งออกไป จากนั้นหน้าตามันก็เริ่มเหมือนงูที่เราเห็นๆกันทุกวันนี้
และเมื่อเวลาดำเนินต่อไปอีก 10 ถึง 20 ล้านปี
บรรพบุรุษของงูก็เริ่มกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆบนโลกใบนี้
และนั่น คือต้นกำเนิดของการมีพิษ...
พัก สาย ตา ครับ
บรรพบุรุษของงูแบ่งได้เป็นสองประภทใหญ่ๆคือ
มีพิษ กับ ไม่มีพิษ
การที่งูนั้นๆจะวิวัฒนาการให้มีพิษได้ ที่ๆมันอาศัยอยู่
ต้องเป็นพื้นที่ๆค่อนข้างแห้งแล้ง และไม่อุดมสมบูรณ์
ทำให้งูประเภทนั้นต้องยอมลดขนาดตัวลงมา
เพื่อให้เหมาะอาหารที่หาได้ แต่เมื่อลดขนาดตัวก็ดันไปฆ่าเหยื่อไม่ได้
เพราะไม่มีกำลังจะไปรัดเหยื่อ
สิ่งที่ต้องทำถ้าอยากฆ่าและได้กินเหยื่อก็คือ สร้าง"พิษ"ขึ้นมา
เพื่อฆ่าเหยื่อโดยใช้พลังงานให้น้อยที่สุด และเร็วที่สุด
ส่วนพิษที่สร้างขึ้นมาก็ต้องรุนแรงเข้าไว้ เพราะถ้าพิษอ่อนปวกเปียก
แล้วเหยื่อดันไม่ตาย ร่างกายเหยื่อจะมีภูมิต้านทานต่อพิษมากขึ้น
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องไม่ดีเลย..
และนั่นทำให้พิษงูรุนแรงมากๆ
ถึงขั้นเอาชีวิตกันภายในไม่กี่ชั่วโมง
และขนาดร่างกายที่เล็กลงเรื่อยๆ
ก็สัมพันธ์กับการที่พิษยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนด้านงูไม่มีพิษ ที่ไม่มีพิษเพราะ บรรพบุรุษของมันได้อยู่ในที่ๆอุดมสมบูรณ์
ฝนชุกชุม อาหารมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นลิง แมว เสือ วิ่งกันให้ทั่วป่าไปหมด
ดังนั้นถ้าเหยื่อเยอะ มันก็กินได้เยอะ งูประเภทที่ไม่มีพิษ
จึงตัวใหญ่มากๆนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น งูหลาม งูเหลือม งูอนาคอนด้า
และจากงูทั้งสองสายนี้ ... เลยกลายมาเป็นงูให้เราๆเห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง
ป่าที่สมบูรณ์
จากเรื่องราวทั้งหมด ทำให้เรารู้อะไรกันบ้างครับ?
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ การที่เรารู้ และ
เข้าใจว่าสภาพแวดล้อมที่มันอยู่เป็นยังไง
เราก็จะเข้าใจว่าทำไมมันต้องมีพิษ
ทำไมมันต้องดุร้าย ทำไมมันต้องตัวยาว
เพราะทั้งหมดทั้งมวลมันก็ทำเพื่อความอยู่รอดทั้งสิ้น
พอเราเห็นความเชื่อมโยงของ พิษกับสภาพแวดล้อม
หรือขนาดตัวกับอาหารการกิน มันจะเป็นเหมือน"คบเพลิง"นำทาง
ที่จะพาเราไปสู่ความมหัศจรรย์อีกมากมาย
ของธรรมชาติ ที่ยังรอให้เราเข้าใจและศึกษา
แล้วเราก็จะพบว่า
"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา มีเหตุผลในตัวมันเองเสมอ"
#WDYMean
#อ้างอิงจาก
Wikipedia
National Geographic
โฆษณา