3 ส.ค. 2019 เวลา 17:53 • ประวัติศาสตร์
ตำนานการแหกคุกที่ทรงพลังมากที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ประวัติศาสตร์โลกเคยบันทึกไว้ (EP.2)
เหตุการณ์แหกคุกอัลคาทราซของ Frank Morris และสองพี่น้อง John & Clarence Anglin
“The Mechanics” กลยุทธ์ในการวางแผนแหกคุกอย่างแยบยล ที่มาพร้อมกับความโชคดี และโอกาสที่เป็นใจ
Credit : Edebifikir
ต่อจากตอนที่แล้ว
ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1962 หลังวางแผน และลงมือทั้งตัด ทั้งเจาะ รวมถึงประดิษฐ์อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการหลบหนี ได้กินระยะเวลานานถึง 14 เดือนเข้าไปแล้ว
1
ในขณะที่แผนการของ Frank Morris ,John & Clarence Anglin และ Allen West ที่จะใช้สำหรับหลบหนีก็คืบหน้าไปมาก โดยมีความพร้อมมากกว่า 80%
1
และในที่สุดความพยายามก็เป็นผล เมื่อพวกเขาสามารถเจาะช่องลมหลังห้องขังได้กว้างพอดีกับขนาดตัว เพื่อใช้เป็นช่องทางลอดไปยังช่องระบายอากาศที่พาดผ่านหลังห้องขังซึ่งเชื่อมไปสู่หลังคาเรือนจำได้สำเร็จ
จากนั้นใช้เวลาช่วงเย็นในแต่ละวัน ติดกาวเสื้อกันฝนที่ขโมยมา เพื่อทำแพสำหรับหลบหนี เมื่อแผนการดำเนินมาถึงจุดๆนี้โอกาสในการคว้าอิสรภาพสำหรับอาชญากรทั้ง 4 อยู่ห่างไปไม่กี่สัปดาห์
ในช่วงเวลานั้นสภาพเรือนจำภายในอัลคาทราซ รวมกับค่านิยมในสังคมภายนอกเรือนจำที่เปลี่ยนไป กำลังช่วยกระตุ้นแผนแหกคุกแผนแรกที่มีโอกาสสำเร็จสูง
มันเป็นช่วงเดียวกับที่สหรัฐ อเมริกา กำลังอยู่ในช่วงลุกฮือทางวัฒนธรรม และความต้องการองค์กรพิเศษอย่างอัลคาทราซของประชาชนก็ลดลง นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 1934 จนถึงปี 1962 อัลคาทราซกำลังเปลี่ยนไปทั้งทางตรง และทางอ้อม
มันส่งผลให้มาตรการรักษาความปลอดภัยภายในเรือนจำหย่อนยานมากๆ ผู้คุมเดินตรวจตราน้อยลง และผ่อนผันกฎระเบียบของเรือนจำลง
ถึงตอนนี้นักโทษสามารถเดินไปตามอาคารได้อิสระมากขึ้น และกฏเงียบอันเป็นตำนานที่โด่งดังก็ถูกยกเลิก (กฏเงียบ คือ การห้ามไม่ให้นักโทษพูดคุยกัน)
1
สำหรับ Frank Morris ,John & Clarence Anglin และ Allen West พวกเขามองสถานการณ์ออก และตระหนักเป็นอย่างดีว่าสภาพเรือนจำที่เปลี่ยนไปสร้างโอกาสในการหลบหนี พวกเขาต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในเรือนจำ ที่กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งมันทำให้พวกเขาทั้ง 4 ได้เปรียบมากที่สุด
แต่เดิมโรงอาหารของอัลคาทราซ จะใช้โต๊ะอาหารขนาด 10 คนเท่านั้น แต่ในปี 1961 พวกเขาโล๊ะโต๊ะอาหารขนาด 10 คนทิ้งไป และเปลี่ยนมาใช้โต๊ะอาหารขนาด 4 คนแทน
ทุกๆวัน วันละ 3 ครั้ง Frank Morris ,John & Clarence Anglin และ Allen West จะมานั่งด้วยกัน โดยไม่มีอีก 6 คน รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ในตอนนั้น
มันเป็นอิสระมากขึ้นที่จะคุยเรื่องแผนการหลบหนี นี่จึงกลายเป็นความได้เปรียบอย่างที่สุดอีกประการหนึ่ง
มิหนำซ้ำพวกเขายังอยู่ในห้องขังที่อยู่ติดกัน จึงทำให้การจับตาดูผู้คุมในขณะที่ลงมือเจาะผนังมีความสะดวกขึ้น โดยมีอีกคนทำหน้าที่เจาะผนัง แล้วอีกคนเฝ้าดูลาดเลาหน้าห้องขัง
Credit : Alcatraz history
เมื่อเจาะผนัง สิ่งที่ตามมาแน่นอนคือความเสียหายที่เกิดขึ้น มันจะกลายเป็นจุดสังเกตให้แก่ผู้คุม พวกเขาจะทำอย่างไรถึงจะแน่ใจว่า ผู้คุมจะไม่เห็นร่องรอยการเจาะผนังดังกล่าวเมื่อพวกเขาอยู่นอกห้องขัง
เมื่อเจอปัญหาเช่นนี้ พวกเขาก็แก้ปัญหาไปทีละเปลาะแล้วเอาชนะมัน ด้วยวิธีการอำพรางที่ฉลาด และแยบยล
เพื่ออำพรางร่องรอยการเจาะผนัง พวกเขาได้สร้างภาพลวงตาเพื่อหลอกผู้คุม ก็คือการทำตะแกรงช่องลมปลอมขึ้นมา เพื่อนำมาใส่แทนอันเดิมที่ถูกถอดออกไป
มันทำมาจากกล่องกระดาษ และนิตยสารแช่น้ำ เมื่อกระดาษยุ่ยพวกเขาก็เอามันมาผสมกาว แล้วปั้นขึ้นรูป และทาสีให้เหมือนกับตะแกรงช่องลมอันเดิม
กาวที่พวกเขาใช้ เป็นกาวที่ทำขึ้นมาเอง และสีที่นำมาทานั้นพวกเขาได้ขโมยมันมาจากห้องเวิร์คช็อป
แต่กระนั้นการลอดออกไปทางช่องลมระบายอากาศ มันเพียงแค่พาทั้ง 4 ออกนอกห้องขัง ไม่ใช่นอกเรือนจำ
พวกเขายังต้องคิดแผนการต่อ หลังจากที่หนีลอดเข้าไปในช่องระบายอากาศที่อยู่หลังห้องขังได้
ในช่องระบายอากาศที่พาดผ่านหลังห้องขัง เป็นช่องที่ออกแบบมาเพื่อวางระบบท่อสาธารณูปโภค
ช่องนี้นอกจากจะทอดยาวในแนวนอนผ่านด้านหลังห้องขังแต่ละห้องแล้ว ยังทอดยาวในแนวดิ่งเชื่อมกับพื้นที่หลังคาด้านบนของเรือนจำอีกด้วย
แต่ปัญหาอีกอย่างที่พบก็คือ ที่ช่องลมของเพดานหลังคามีลูกกรงเหล็กขวางทางพวกเขาอยู่
ถ้าพวกเขาสามารถถอดลูกกรงที่ช่องลมหลังคาได้ พวกเขาจะสามารถปีนขึ้นไปที่ดาดฟ้า แล้ววิ่งลัดเลาะข้ามหลังคาไต่ลงตามท่อ และวิ่งไปที่ริมทะเลด้านล่างของเกาะได้
แต่การหาวิธีที่จะถอดลูกกรงช่องลมหลังคาได้นั้น จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก มันบังคับให้นักโทษต้องออกนอกห้องขังเป็นเวลานานมากกว่าปกติ
เพื่อหลอกผู้คุมว่าพวกเขายังคงนอนอยู่บนเตียง ในขณะที่แอบไปที่ช่องลมหลังคาเป็นเวลานานๆในช่วงกลางคืน ด้วยความจำเป็นเช่นนี้ ทำให้พวกเขาคิดวิธีการตบตาผู้คุมด้วยความแยบยลอีกครั้ง
นักโทษทั้ง 4 ทำหัวคนที่มีหน้าตาคล้ายพวกเขาอย่างหยาบๆขึ้นมา มันทำมาจากเศษปูน ผ้าปูเตียง สบู่ รวมไปถึงกระดาษชำระ
Credit : Alcatraz history
และเพื่อให้มันดูเหมือนจริงมากขึ้น เขาทาสีเนื้อ และติดเส้นผมมนุษย์บนหัวคนที่ทำขึ้นมา พวกเขานำสีเนื้อมาจากเวิร์คช็อปศิลปะของเรือนจำ
ในขณะที่เส้นผมมนุษย์ถูกรวบรวมมาให้โดย Clarence Carnes จากงานในห้องตัดผมของอัลคาทราซ
สิ่งที่พวกเขาทำหลังจากนั้นก็คือ การสับเปลี่ยนผลัดกันวางหัวหุ่น ในขณะที่อีกคนแอบไปถอดลูกกรงเหล็กที่ช่องลมหลังคา และทำงานอื่นๆรวมถึงเตรียมอุปกรณ์สำหรับการหลบหนีอยู่บนนั้น ซึ่งพวกเขาก็ทำได้อย่างแนบเนียน
2
Credit : Reuters
เมื่อพวกเขาแก้ปัญหาลูกกรงเหล็กที่ช่องลมหลังคา และเลือกทางขึ้นหลังคาด้วยปล่องระบายอากาศได้แล้ว
พวกเขากลับมาโฟกัสในส่วนสำคัญที่สุดในแผนการนั่นก็คือ การทำแพ และกำหนดเส้นทางที่จะพาพวกเขาออกจากตัวเกาะ
หลังจากที่พวกเขาได้แอบขโมยชุดกันฝนที่ทำมาจากยางกว่า 50 ตัว พวกเขาได้นำเสื้อกันฝนส่วนหนึ่งมาตัด และดัดแปลงให้กลายเป็นเสื้อชูชีพ ซึ่งกาวถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะถูกใช้ในการทำเสื้อชูชีพ และการทำแพ
พวกเขาค้นพบวิธีการทำกาวจากการอ่านนิตยสาร Popular Mechanics แล้วก็ใช้ไอน้ำจากท่อมาอุ่นกาวให้เหลวเพื่อใช้ทำซีลกันน้ำรอบแพที่ทำขึ้นจากเสื้อกันฝน
1
Credit : FBI gov
ไม่ว่าพวกเขาจะวางแผนมาสุดยอดแค่ไหน แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่อยู่นอกการควบคุมของพวกเขานั่นคือกระแสน้ำอันตรายที่วนเวียนอยู่ในอ่าวซานฟรานซิสโกที่ล้อมอัลคาทราซเอาไว้
แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้มีแผนเตรียมไว้สำหรับเรื่องที่ยากต่อการควบคุมเช่นนี้ด้วย
นักโทษ Robert Schibline มีหน้าที่บนท่าเทียบเรือ และเขาเต็มใจจะช่วยเพื่อนนักโทษทั้ง 4 คน ทุกทางที่เขาจะทำได้
โดยเฉพาะการแอบขโมยตารางคลื่น และทิศทางกระแสน้ำของอ่าวซานฟรานซิสโกในแต่ละช่วงเวลามาให้กับนักโทษทั้ง 4 ซึ่งมันเป็นกุญแจสำคัญชิ้นสุดท้ายที่จะพาพวกเขาออกไปสู่อิสระภาพได้
Credit : Inside Alcatraz
ข้อมูลตารางกระแสน้ำของ Robert Schibline นั้นสำคัญมาก การออกจากอัลคาทราซผิดเวลา อาจส่งผลให้แพทำเอง รวมถึงชีวิตของพวกเขาจมลงสู่ห้วงมหาสมุทรแปซิฟิก
แต่ถ้าพวกเขากะเวลาถูก คลื่นจะส่งนักโทษทั้ง 4 ไปสู่เกาะ Angel ที่อยู่ใกล้ๆกัน หรือ พัดไปที่ชายฝั่ง Marin City ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
....และในตอนสุดท้าย EP.3 เราจะมาดูวินาทีแห่งอิสรภาพ และบทสรุปที่ยังคงเป็นปริศนาของเรื่องนี้ ...ในตอนจบจะมีประเด็นใดที่น่าสนใจบ้างนั้น รอติดตามได้ในวันพรุ่งนี้ครับ
อ้างอิงโดย :
เรียบเรียงโดย : Inspire Story
ถ้าหากเรื่องราวนี้ ช่วยสร้างแรงบัลดาลใจ หรือ สร้างความน่าสนใจให้กับท่านผู้อ่าน สามารถกดแชร์ และติดตาม Inspire Story เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ
โฆษณา