3 พ.ค. 2021 เวลา 07:44 • ความคิดเห็น
"ชังชาติ" vs. "หลงชาติ" และปรากฏการณ์ของกลุ่ม "ย้ายประเทศกันเถอะ"
สองสามปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงได้เห็นความขัดแย้งกันในทำนอง "ชังชาติ" กับ "หลงชาติ" ปรากฏอยู่บนสังคมออนไลน์อยู่บ่อย ๆ
ทรรศนะหลงชาติแบบเบา ๆ หน่อยก็เช่น ....
"ประเทศไทยนี้ดีที่สุดในโลก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว คนไทยมีน้ำใจ บ้านเมืองสงบ อาหารอร่อย" ฯลฯ
ส่วนแนวคิดชังชาติทั่ว ๆ ไป ก็เช่น ...
"ที่นี่มันกะลาแลนด์ นักการเมืองขี้โกง เศรษฐกิจแย่ ต้องยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าเผด็จการ คนยากจนไม่มีจะกินแล้ว" ฯลฯ
หรือที่หนักหน่วงกว่านี้ในระดับที่ออกอากาศไม่ได้ ผมว่าเราก็คงเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง
วันนี้ผมได้ยินข่าวการตั้งกลุ่มแลกเปลี่ยนกันใน Facebook ชื่อ "ย้ายประเทศกันเถอะ" สำหรับคนไทยที่อยากย้ายออกจากประเทศนี้
จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทุกยุคสมัยย่อมต้องมีคนที่ไม่พอใจในสภาพสังคมปัจจุบัน และอยากย้ายออกถิ่นฐานอยู่แล้ว
เพียงแต่ยุคนี้คนที่มีความคิดแบบเดียวกัน อาจะพบเจอกันง่ายหน่อยผ่าน Social Media และร่วมกับสร้าง Echo Chamber สำหรับคนที่คิดเหมือน ๆ กัน เพื่อกระจายแนวคิดนี้ออกไปได้ง่ายกว่ายุคอื่น
ประกอบกับช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ โควิดมันระบาดน่ากลัว ข่าวในทางลบของรัฐบาลก็เยอะ ก็ไม่น่าแปลกที่คนอยากหนีไปจากปัญหา
ก็แปลกใจนิดหน่อย ที่ก่อนหน้านี้ ยามที่ประเทศอื่น ๆ กำลังลำบากสุด ๆ กับโควิด ก็ไม่ค่อยเห็นใครบ่นอยากย้ายประเทศกันสักเท่าไหร่
แถมหลายคนที่อยู่ในกลุ่ม "ย้ายประเทศกันเถอะ" ก็ยังไปออกไปเที่ยว ผับ บาร์ (หรือ คาสิโน?) กันได้อย่างสบาย ๆ
พอมาวันนี้ ดูจะเสียงดังเป็นพิเศษ กับการย้ายไปอยู่ "ที่ ๆ ดีกว่า"
แน่นอนหล่ะว่า ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในที่ปลอดภัย มีแต่ความสบาย ถ้าวันนี้ที่อยู่ปัจจุบันเริ่มทำให้คับข้องใจ ก็ไม่แปลกที่อยากกลับมาหาลู่ทางกันใหม่
ส่วน... ปลายทางเขาจะต้อนรับขับสู้แค่ไหน ผมว่าแต่ละคนเดี๋ยวก็คงได้เรียนรู้กัน
ในขณะที่มีคนอยากย้ายออก แน่นอนว่าคนที่เลือกอยู่ต่อก็มองว่าคนพวกนี้หน่ะ "ชังชาติ" และในทางกลับกันตัวเองก็ถูกมองว่า "หลงชาติ" อยู่แต่ในกะลา
ความขัดแย้งในแบบ "ชังชาติ" หรือ "หลงชาติ" นี้ อุปมามันก็เหมือนกับพี่น้องอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน
เผอิญว่ามีอยู่คนนึง เกลียดชังบ้านหลังนี้เข้าไส้ อาจจะเพราะเกลียดพ่อเกลียดแม่ที่ลำเอียง เพราะเคยถูกทำร้าย ถูกล่วงละเมิด ฯลฯ
หรือเขาผู้นั้นอาจจะไม่ได้ถึงกับเกลียดชังบุพการี แต่แค่รังเกียจสไตล์การแต่งบ้าน นิสัยเสียของพี่น้องบางคน เกลียดทำเลที่ตั้ง หรือแม้กระทั่งเกลียดศาลพระภูมิหน้าบ้าน ฯลฯ
แต่ด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม ทำให้จะย้ายไปไหนก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่อยากย้ายเต็มแก่
ส่วนลูกอีกคน ก็หลงใหลได้ปลื้มกับบ้านหลังนี้มาก เพราะ "ถูกปลูกฝัง" มาแต่เด็กว่า บ้านฉันสวยงาน สะอาด สงบ พ่อแม่ฉันนี้ดีที่สุด ศาลพระภูมิหน้าบ้านฉันก็ศักดิ์สิทธิ์
ใครไม่ชอบบ้านของพ่อแม่ฉัน ก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ !!!
มันแปลกไหม ที่สองคนนี้แสดงออกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่ก็น่าจะรับรู้ความเป็นไปต่าง ๆ ในบ้านเหมือนกัน?
จริง ๆ ก็ไม่แปลกหรอกครับ ที่คนสองคนซึ่งมีโอกาสรับข้อเท็จจริงพอ ๆ กัน แต่ "ตีความ" สิ่งที่ตนเองเห็นต่างกัน
การที่คนนึงจะนึกรำคาญอีกคนว่า "มันจะบ่นอะไรนักหนา ถ้าไม่ชอบบ้านนี้ก็ไปอยู่ที่อื่น" หรือการที่อีกคนจะออกอาการ "เหม็นความรัก" เพราะอีกพี่น้องคนจะดูตามืดบอดลุ่มหลงในสภาพแย่ ๆ ของบ้านจนเกินเยียวยา ไม่ "ตื่นรู้" ซะที
ของแบบนี้นานาจิตตัง เป็นธรรมดาของคน
ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างต้องยอมรับด้วยว่าพี่น้องของเขานั้น มีสิทธิ์ที่จะแสดงออกต่างกัน จงอย่าไปล้ำเส้น ก่นด่า หรือทำร้ายประหัตประหารกัน
และสองคนนั้นต้องไม่ลืมไปว่า บ้านหลังนี้ยังมีลูกอีกคน (หรืออาจจะหลายคน) ที่ไม่ได้ชิงชังที่ซุกหัวนอนหลังนี้อะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้หลงรักงมงายอะไรขนาดนั้น
ข้อเท็จจริงที่ลูกคนนี้รู้ก็คือ บ้านมันก็แค่บ้าน เป็นแค่วัตถุ เป็นแค่สถานที่
ความหมายที่แท้จริงของบ้าน มันอยู่ที่สมาชิกในบ้านต่างหากว่าอาศัยอยู่ด้วยกันแบบไหน
พี่น้องสองกลุ่มแรก ควรจะนึกถึงสมาชิกประเภทที่สามของบ้านหลังนี้ด้วย ว่าเขาจะอยู่ยังไงดี กับพี่น้องบางคนที่เอาแต่ด่าพ่อด่าแม่ หรือด่าสไตล์การตกแต่งบ้าน และสร้างบรรยากาศที่เป็นพิษ ไม่น่าอยู่?
หรือถ้าเขาเลี่ยน เขาเหม็นความรัก เพราะเห็นพี่น้องอีกคนวัน ๆ เอาแต่เชิดชูพ่อแม่ที่ไม่เคยรับผิดชอบ หรือจุดธูปไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้านที่ป้องกันผีสางอะไรไม่ได้ เขาจะทำตัวอย่างไร?
ถ้าเขาแสดงความไม่เห็นด้วยหรือความไม่พอใจอะไรเข้า ทุกวันนี้ก็มักจะถูกผลักไสไปอีกฝั่ง ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นต่าง
เพราะเขาเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ เขาก็แค่อยู่กับมันได้
พี่น้องกันไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน แต่ก็ต้องเคารพความคิดของแต่ละคน อย่าพยายามเปลี่ยนความคิดใคร ให้มุ่งไปที่การหาหนทางอยู่ร่วมกันดีกว่า
การจะหาทางออกของการกระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องในบ้านหลังเดียวกัน ผมเชื่อว่ามันมีแค่การที่ต่างฝ่ายต่างต้องหันมาคุยกันดี ๆ
และทุกคนก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ถ้าปัญหามันเบา ๆ แค่บ้านสกปรกหรือบ้านไม่สวย มันก็เร่งแก้ไขได้
แต่ถ้ามันเป็นปัญหาใหญ่ถึงขนาด "พ่อแม่" ไม่ดี หรือศาลพระภูมิชำรุด บางทีก็ต้องค่อย ๆ จัดการ
อย่าลืมว่าเดี๋ยวพ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าพี่น้องไม่คุยกันดี ๆ ก็คงจบที่ต่างคนต่างแยกย้าย บ้านแตกสาแหรกขาดแน่นอน
ทั้ง ๆ ที่ความจริงคือทุกคนก็แค่อยากให้บ้านของตัวเองน่าอยู่ ... ก็เท่านั้น ...
จากภาพยนตร์ "กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก" - ขอรำลึกถึงน้าค่อมด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ
โฆษณา