10 ส.ค. 2019 เวลา 13:09 • บันเทิง
เรื่องสั้น : แสงสุดท้ายที่ใต้น้ำ (จบ)
"เดฟ เดฟ นายคิดถึงเจมส์อยู่สิท่า" เสียงเควินปลุกผมจากภวังค์ จนสะดุ้งเฮือก เหงื่อไหลจากหมวกมารวมกันจนไปกองเป็นหยดที่คาง จนผมต้องรีบเอาแขนเสื้อขึ้นปาด
1
"นายควรจะขอบคุณเจมส์ ที่วันนี้นายยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ตอนนี้กับเหรียญยอดขี้ขลาดที่ติดบนอกเสื้อของนาย จริงมั้ย เดฟ..... ไอ้คนเห็นแก่ตัว ไอ้คนทรยศ" เควินเน้นเสียงขึ้นสูงเพื่อถากถางผมให้เจ็บปวดที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
"ฉัน....ฉันก็เสียใจไม่น้อยกว่าแกหรอก เควิน ให้ตายเถอะ" ผมเริ่มด้วยเสียงที่สั่นเครือ ไม่รู้เพราะความเสียใจหรือความโกรธจนเริ่มคุมสติไม่อยู่กันแน่
"นายควรจะตายใต้น้ำนั่น ไม่ใช่เจมส์ มันควรเป็นนาย ...เพราะเจมส์ดำลงไปอีกรอบ เพราะนาย นายไงเดฟ นายควรจะตายไปใต้ทะเลนั้นตั้งนานแล้ว" เควินหน้าแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตาที่ไม่มีแม้แต่ขนตาข้างนั้น
"ถ้าเจมส์ฟื้นขึ้นมาได้ตอนนี้ ฉันคงยอมตายไปตอนนี้เลยก็ยังได้เควิน แต่มันไม่มีประโยชน์แล้วเควิน มันจบแล้ว...นายคิดว่าฉันมีความสุขนักเหรอกับชีวิตทุกวันนี้ นายไม่รู้หรอกเควิน นายไม่เคยรู้" ผมกระชากคอเสื้อเควินเข้ามาใกล้ ในขณะที่น้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ปีเตอร์และโทมัสรีบแยกเราทั้งคู่ออกจากกันในทันที เหล่าทหารผ่านศึกที่นั่งรอบๆ ต่างมองมาที่เรากันเป็นจุดเดียว
เควินกระชากมือผมออกจากคอเสื้อ แล้วจัดมันเข้าที่
"เราทุกคนเป็นหนี้ชีวิตเจมส์ จริงๆ เค้าควรเป็นคนที่มาร่วมงานนี้ ไม่ใช่พวกเรา ไม่ใช่แม้กระทั่งฉัน แต่เค้ากำลังมารับพวกเรา นายเตรียมตัวไว้เถอะ เดฟ " เควินเบือนหน้าเพื่อซ่อนน้ำตา แล้วเดินออกไปในทันที
"เฮ้ เควิน เฮ้เพื่อน ไม่เอาน่า" ปีเตอร์ร้องไล่หลังไป แต่เควินก็ไม่หันกลับมาอีกเลย เขาเดินออกไปจากห้องประชุมในทันที
ผม ปีเตอร์และโทมัส เราได้แต่นั่งนิ่งและแทบจะอยู่ในความเงียบงันตลอดเวลาที่นั่งกันอยู่ในห้องประชุม เสียงคำพูดสุดท้ายของเควินยังดังก้องในหัวผมจนถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับ มีเพียงคำอำลาและการสวมกอดกันอีกครั้งก่อนที่เราจะแยกจากกันไป....ตลอดกาล
"หรือฝันทุกคืนหลายเดือนที่ผ่านมา จะเป็นคำเตือน..." ผมนึกกับตัวเองก่อนก้าวเท้าออกจากโรงแรม เบเลวู สเตร็ทฟอร์ด เพื่อกลับบ้าน
8 วันหลังงานประชุมฉลอง 200 ปี
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งออกจะน่าแปลก เพราะน้อยครั้งมากที่จะมีคนใช้โทรศัพท์บ้าน นี่คงเป็นเรื่องด่วนอะไรซักอย่าง ผมพยายามลุกขึ้นแต่อาการปวดเข่า และกล้ามเนื้อตามตัวกลับเล่นแง่กับผม มันปวดล้าจนแทบลุกไม่ขึ้นทีเดียว เสียงกริ่งดังขึ้นนานหลายครั้งกว่าที่ผมจะเดินไปถึงโต๊ะโทรศัพท์
"เดฟหรือเปล่าคะ ฉันเมรี่ ภรรยาปีเตอร์ค่ะ ....คือ....ปีเตอร์เสียชีวิตแล้วนะคะ" ถึงตอนนี้ปลายสายมีเสียงสะอื้อร้องไห้ออกมาเสียแล้ว
"เกิดอะไรขึ้นครับ เมรี่ ทำไม...โอ้พระเจ้า มันเกิดขึ้นได้ยังไง" มือของผมสั่นเทา
"สองสามวันหลังจากกลับมาจากเพนซิเวเนีย เค้ามีไข้ตัวหนาวสั่น จากนั้นก็ไอหนัก ฉันพยายามให้ทานยาลดไข้แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนเค้าเริ่มบ่นว่าหายใจไม่ออก เหมือนคนกำลังจมน้ำ เค้าหายใจถี่มาก พยายามหายใจแต่ก็ลำบากเหลือเกิน ...โอ้พระเจ้า จนเค้าไอออกมาเป็นเลือด...." เสียงของเมรี่จางลง เธอคงพยายามเอามือปิดปากไว้เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังเกินไป
"เค้าเอาแต่เพ้อถึงตอนสงครามอ่าว ละเมอถึงแต่ตอนที่เกิดการโจมตี และคนชื่อเจมส์ ...อยู่ทั้งคืน พอตอนเช้าฉันเลยรีบพาปีเตอร์ไปโรงพยาบาล แต่....เค้าอยู่ได้อีกสองวันเท่านั้นเอง" เมรี่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ทว่าหลังจากประโยคนี้ที่ปลายสาย ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลยว่าเมรี่พูดอะไรต่อมาอีกบ้างจนกระทั่งวางสาย
ผมนั่งสับสนอยู่ซักพัก ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดสมุดโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ เพื่อหาเบอร์ของ โทมัส แอนเดอร์สัน แม้ว่าค่าโทรข้ามรัฐจะแพงมหาศาล แต่ตอนนี้มันคงจำเป็นแล้ว
"สวัสดีคะ บ้านคุณแอนเดอร์สันคะ จะเรียนสายใครคะ" เสียงคล้ายแม่บ้านของบ้านโทมัสเป็นคนรับ
"โทมัส อยู่มั้ยครับ บอกว่า เดฟ โคแมน ขอสายครับ" ผมกล่าวในขณะที่นิ้วกำลังเคาะสมุดโทรศัพท์ด้วยความกังวลอย่างยิ่ง
"เออ ขอโทษด้วยค่ะ คุณโทมัสนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ะ จะฝากอะไรไว้มั้ยค่ะ" แม่บ้านรีบตัดบท
"ครับ ไม่เป็นไร แค่บอกว่า เดฟ โทรมาครับ"
ผมวางสายแล้วทรุดนั่งลงบนโซฟาหนังผ้ากำมะหยี่ที่เก่าจนแทบขาดแล้วอย่างหมดแรง เหงยมองโคมไฟบนเพดาน แล้วทบทวนความฝันที่เกิดขึ้นแทบทุกคืนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ความฝันคือภาพเหตุการณ์หลังจากที่เราเกาะกันที่กาบเรือ เรือรบเนวาด้ากำลังพยายามเคลื่อนตัวไป แต่ตอนนี้มีฝูงบินข้าศึกอีกระลอกที่มาสมทบกำลังเข้ามาโจมตีเรือของเรา ตอนนี้เรือรบแอริโซน่าที่ใกล้ที่สุดระเบิดและกำลังจมเหลือเพียงกลุ่มควันและเปลวไฟพุ่งขึ้นจากผิวน้ำ ผมเห็นเพื่อนทหารลอยคอกันหลายสิบชีวิต มีร่างที่ไร้วิญญาณของเพื่อนร่วมชาติอีกนับไม่ถ้วนกระจายลอยอยู่เหนือน้ำและเศษซากเรือที่กระเด็ดออกมาไกลจากแรงระเบิด
"โดดเดฟ เราต้องโดดแล้ว" เจมส์กระชากเสื้อผมให้เลิกสนใจกับภาพหายนะข้างหน้า แล้วชี้มือลงไปที่พื้นน้ำด้านล่างต่ำลงไปหลายเมตร
"นายโดดลงไปเลย ฉันจะไปตามอีกสามคนนั่นเข้าใจมั้ย นายต้องโดด พวกมันกำลังโจมตีอีกรอบแล้ว ไป!!" ผมรู้ตัวอีกที่ตัวก็ลอยพุ่งลงพื้นน้ำด้านล่างอย่างไร้น้ำหนัก
ตัวผมกระแทกที่ผิวน้ำดังตูม ตัวจมลึกลงไปใต้น้ำ ที่ใต้ผิวน้ำยังได้ยินเสียงระเบิดเป็นระยะ เสียงเครื่องยนต์ของเรือเนวาด้า เสียงร้องระงมของเพื่อนทหารที่ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังแว่วมา เสียงกระสุนจากเครื่องบินรบที่ยิงลงมาตัดผิวน้ำลงมาเฉียดตัวผมไปหลายนัด ผมตกลงมาในท่าขาพุ่งลงน้ำ ทำเอาเข่าที่กระแทกพื้นก่อนหน้าปวดแปล๊บขึ้นมาอีกรอบ ผมพยายามตีขาแต่ออกแรงได้ไม่ได้เต็มที่นัก ยังสับสนกับทิศทางว่าทางขึ้นสู่ผิวน้ำอยู่ทางไหน มันวุ่นวายไปทั่ว ฟองอากาศกระจายเต็มไปหมดรอบตัวจนยากที่จะสังเกตุว่ามันลอยขึ้นไปทางทิศไหน แสงสว่างจากระเบิดที่เกิดขึ้นทั่วทำเอาสับสนกับแสงแดดได้ง่ายๆ
ผมพยายามว่ายและให้ตัวลอยขึ้นช้าๆ ตามแรงดันน้ำ เพราะโดยปกติถ้าอยู่นิ่งๆ ตัวเราจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำโดยธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังโดนกระแสน้ำดึงให้เคลื่อนที่ไปด้านหลัง
อาจเป็นเพราะกระแสน้ำวนที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเรือรบเนวาด้าขนาดใหญ่ที่กำลังถอยออกไป ที่ดึงน้ำให้ไหลเข้าไปแทนที่ ผมกำลังถูกดูดเข้าไปในน้ำวนเชี่ยวกราก แถมเริ่มรู้สึกอึดอัดจากอากาศในปอดที่น้อยลงทุกที
ผมยังพยายามว่ายให้ออกห่างจากกระแสน้ำวนที่ดูดตัวผมเข้าไป แต่เข่าเจ้ากรรมดันมาเกเรเอาดื้อๆ ผมปวดจนเกินจะตีขาได้แรงพอ ทันใดนั้นมีอะไรบางอย่างมาจับที่เอวผม ผมหันควับไปดู แสงสลัวๆ ที่ใต้น้ำพอให้เห็นร่างกะลาสีหนุ่มกำลังคว้ากอดเอวผมแน่น ดวงตาเบิกโพลงของเขาแสดงให้เห็นว่าเขากำลังทรมานจากอากาศหายใจที่กำลังจะหมด
ผมดิ้นรนพยายามแกะมือของเด็กหนุ่มนั่นออก แต่เขาก็รัดแน่นจนเกินกว่าผมจะสู้แรงไหว คงเพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะพอมีโอกาสรอดได้...ถ้าให้ผมเดา
ผมกำลังจะหมดแรง ผมเริ่มทำใจและเลิกดิ้นรนให้เปล่าประโยชน์ไปกว่านี้ แต่ทันใดนั้นเองก็มีมืออีกมือมาช่วยฉุดมือผม ผมเปิดตาออกกว้างเพื่อเพ่งมองว่าเป็นมือของใคร
เจมส์ คาร์เตอร์ หนุ่มผมบลอนด์จากจอร์เจีย สำเนียงเฉพาะตัวของเขาทำให้เพื่อนจำได้ไม่ยาก นอกจากจะหล่อเหลาแล้ว เจมส์ ยังเป็นเพื่อนแท้ที่ช่วยเหลือคนอื่นมาโดยตลอดโดยไม่อิดออด ทั้งตอนฝึกในกองทัพสมัยอยู่ที่อเมริกา จนไปถึงตอนถูกคัดเลือกให้ประจำการ เจมส์ก็ยังขอเลือกที่จะประจำอยู่ที่เรือรบเนวาด้า แทนที่จะเป็น ยูเอสเอส แอริโซน่า อย่างที่เขาใฝ่ฝันมาต้องแต่ก่อนเข้ามาสู่กองทัพ
เจมส์ พุ่งลงมาจากผิวน้ำ รีบเข้ามาดึงมือทหารหนุ่มออก แล้วดึงตัวผมผลักขึ้นไปด้านบน ผมพยายามเฮือกสุดท้ายเพื่อขึ้นไปสูดอากาศหายใจก่อนจะสิ้นสติไปก่อน
พอโผล่พ้นน้ำเห็นแสงสว่างและได้ออกซิเจน มันราวกับผมกำลังลืมตาตื่นมาในสวนอีเดนก็ว่าได้ แต่สวนอีเดนตอนนี้กลับเต็มไปด้วยซากศพลอยเกลื่อน น้ำทะเลที่ทั้งแดงและดำจากน้ำมันและเลือด เสียงร้องโหยหวนของความเจ็บปวด และเปลวเพลิงที่ลุกท่วมน้ำมันที่ลอยอยู่ผิวหน้าน้ำทะเล ภาพสวนอีเดนที่ว่าความจริงมันโหดร้ายราวกับนรกอเวจีมากกว่า
เมื่อผมตั้งสติได้ เหลียวไปรอบๆ ยังไม่เห็นเจมส์โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ ผมจึงสูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วดำกลับลงไปเพื่อดูว่าเจมส์ปลอดภัยหรือไม่ ผมพยายามดำลงด้วยขาที่ยังเจ็บปวด แต่ก็พอจะใช้มือทั้งสองข้างแหวกกระแสน้ำลงไปได้
ใต้ผิวน้ำลงไปเพียงห้าหกเมตรเท่านั้น ผมเห็นภาพเจมส์กำลังพยายามว่ายสวนขึ้นมา เขาว่ายพ้นกระแสน้ำวนขึ้นมาได้แล้ว แต่ท่าทางเขาดูแปลกๆกับท่าว่ายน้ำของเจมส์ ผมดำลงไปยื่นมือเพื่อดึงเจมส์ขึ้นมา
เราจับมือกันจนได้ ผมฉุดเจมส์ขึ้นมาเท่าที่จะพอมีแรง แล้วก็สังเกตุเห็นของเหลวสีแดงกำลังพุ่งออกมาจากแผ่นหลังของเจมส์ ผมรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นรอยกระสุนจากปืนกลของเครื่องบินรบ มันเป็นแผลเปิดขนาดใหญ่มากทีเดียว
ผมพยายามลากเจมส์ขึ้นมาสู่ผิวน้ำ เมื่อโผล่พ้นน้ำผมรีบดึงเจมส์เพื่อขึ้นมาสูดอากาศหายใจ เจมส์ได้แค่ลอยคอให้ใบหน้าโผล่มาพ้นน้ำเพียงส่วนเหนือปากขึ้นมาเท่านั้น ผมจึงเอามือข้างหนึ่งประคองตัวเจมส์ขึ้นเหนือน้ำ เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวก แต่ท่าทางของเขาอ่อนแรง ใบหน้าซีดขาว และหอบหายใจถี่รัว ตอนนี้แค่แรงจะพยุงตัวเองให้ลอยคออยู่ได้ก็ยังยาก
"นายว่ายไป เดฟ.. เควินโดนไฟลวกลอยคออยู่กับโทมัสใกล้ๆ ฝั่งทางโน่น... นายรีบไปซะเพื่อน" เจมส์พูดสลับกับหอบหายใจกระชั้น
"เราจะไปด้วยกัน ฉันจะพานายไป เราน่าจะขึ้นฝั่งกันได้ทัน นายจะถึงมือหมอแน่ เจมส์" ผมพยายามประคองเจมส์และว่ายพาตัวเคลื่อนไปทางฝั่ง แต่ก็ช้าและทุลักทุเลมากๆ ไหนจะต้องหลบคมกระสุนที่มาจากการโจมตีระลอกสองของฝูงบินรบบนท้องฟ้า และต้องหลบความร้อนจากเปลวไฟและควันพิษจากเปลวเพลิงที่โหมไปทั่ว แต่ผมก็พยามว่ายเท่าที่แรงผมยังมี
"พอเถอะ เดฟ ฉันไม่รอดแน่ นายเอาชีวิตรอดไปให้ได้ ไปสิ ว่ายไปเพื่อน..อัก!" เจมส์กระอักเลือดออกมาทีหนึ่ง ตอนนี้เขาซีดขาวราวกับกระดาษที่เราใช้เขียนจดหมายกลับไปหามิตรรักที่บ้านเกิด ดวงตาอ่อนล้าแต่แววตายังแน่วแน่ในคำพูดที่กล่าวมาก่อนหน้า
"ไม่เราจะต้องไปด้วยกัน เจมส์ เราต้องผ่านไปได้ ให้ตายสิเพื่อน มองหน้าฉัน เจมส์!" ตอนนี้เจมส์เริ่มหายใจเบาลงถี่ช้าลง และกำลังหลับตาปรือ ผมเขย่าตัวเขาเบาๆ ในขณะที่ยังออกแรงว่ายน้ำอยู่
"ไม่..ไม่ เดฟ นายต้องไปช่วยเพื่อนๆคนอื่น เควินกำลังต้องการหมอ นายทำสิ่ง..เฮือก..ทำ... สิ่งที่นายต้องทำ...." เจมส์หายใจขาดเป็นห้วงๆ
"ฝากดูแลเพื่อนๆ ฝากนายบอกแม่...แม่ฉันที .....บอกว่า ฉันรักท่านมาก...มาก" เจมส์กระอักเลือกออกมาอีกครั้ง
"ไป เดฟ ... ปล่อยฉัน...นายต้องรอด...รอดไปให้ได้ อย่าให้ที่ฉันทำสูญเปล่า ไป...ไปซี่ รออะไรอยู่เพื่อน ไป!" เจมส์ใช้แรกเฮือกสุดท้ายผลักผมออกจากตัว
เจมส์จมลงใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ผมดำลงไปตาม แต่ภาพที่ใต้น้ำนั่นกลับทำให้ผมต้องชะงัก
เจมส์ที่ใบหน้าซีดขาว กำลังโบกมือเบาๆ คล้ายกำลังอำลา เขาขยับปากเบาๆ แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเขากำลังพูดอะไร
" good..bye "
พร้อมรอยยิ้มจางๆเท่าที่เขาจะยังพอมีแรงเหลือ
ผมได้แต่นิ่ง มองร่างเจมส์จมลงไปช้าๆ จนลับตาภายใต้ความมืดใต้ผืนน้ำ แสงสีส้มจากการระเบิดจากที่ไกลๆ ยังฉายวาบให้เห็นร่างเขาใต้น้ำนั่นอยู่ลางๆ ในบางขณะ
ผมพุ่งตัวขึ้นเหนือน้ำ ร้องไห้อย่างบ้าคลั่งระหว่างว่ายกลับไปหาเพื่อนๆ ที่เหลือรอดอยู่.....และนั่นคือความฝันทั้งหมดและก็เป็นความจริงทั้งหมดที่มีเช่นกัน
และหลังจากวันนั้น เควินก็มางเมินกับผมและแยกตัวออกจากเพื่อนฝูง หากมีผมหรือกระทั่งชื่อผมโผล่มาในงานนั้นด้วย
ผมไม่โกรธเควินแม้แต่น้อย เพราะความจริงที่ผมได้ทราบถายหลัง คือ เจมส์นั่นเองที่ไปช่วยเควินจากเปลวเพลิงที่ถูกกระแสลมกรรโชกโหมมาโดนเควินที่กำลังพยายามหาที่เกาะเพื่อลอยคอในตอนที่กระโดดลงมาจากเรือ
นี่เองคือสาเหตุที่การจากไปของเจมส์จึงเป็นความสูญเสียที่ร้ายแรงของเควิน ที่ไม่มีโอกาสแม้แต่ได้จับมือขอบคุณเพื่อนรัก และแน่นอนถ้าไม่ไปช่วยผม เจมส์ก็คงไม่จากไปไวขนาดนี้ จะโทษว่าผมเป็นต้นเหตุก็คงไม่ผิดอะไร
ผมเองก็รู้สึกผิดมาตลอดชีวิต และฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้นมาแทบทุกคืน ผิดแต่หลายเดือนหลังมานี้ ภาพในฝันนั้นเห็นใบหน้าเจมส์ที่ซีดขาวอย่างชัดเจน ดวงตาสีขุ่นที่มองมาที่ผมในฝัน ราวกับว่าเจมส์กำลังจะบอกอะไรบางอย่าง ผมก็ได้แต่คิดกับตัวเองยามตื่นว่า
"เจมส์ นายกำลังจะมารับเราแล้วใช่มั้ยเกลอ"
มีโทรเลขด่วนมาจากแคนซัส บ้านเกิดของเควิน ในนั้นระบุว่า
"เควินเสียชีวิตแล้ว เขาฝากขอโทษที่ผ่านมาตลอด เขาจะได้พบเจมส์แล้ว ข้อความนี่คือคำขอสุดท้ายที่เขาขอให้ส่งให้คุณ"
มันถูกส่งมาจากเอมิลี่ ภรรยาของเควินนั่นเอง
ผมทรุดตัวลงตัวเย็นเฉียบ แต่กลับมีเหงื่อท่วมตัว ตอนนี้เหมือนไฟกำลังลุกท่วมตัว แต่กลับหนาวเหน็บราวกับขั้วโลกภายใน
"แค๊กๆ แค๊กๆ" ผมไอขึ้นมาติดๆกัน จนต้องลุกขึ้นไปที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ
หน้าตาผมตอนนี้ดูแย่มากทีเดียว น่าแปลกที่อยู่ดีๆผมก็รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจเข้าก็อึดอัดแถมปวดแปล๊บทันทีอากาศผ่านเข้าไปในปอดที่ขยายตัวขึ้น จนต้องรีบผ่อนหายใจออกมาทันที ซึ่งนั่นทำให้เหนื่อยมากทีเดียว ผมเดินโคลงเคลงกลับไปที่โซฟา แต่กลับหน้ามืดแล้วล้มลงเพราะทรงตัวไม่อยู่...........
ผมตื่นมาพร้อมสายออกซิเจนที่จมูกกับสายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด ผมหายใจหอบแม้ว่าจะมีออกซิเจนให้ มันเหนื่อยเหมือนคุณสำลักน้ำเข้าไปในปอดหลายลิตร ผมเคยจมน้ำและนั้นมันคล้ายกันมาก ผมกำลังจมน้ำทั้งที่กำลังนอนบนเตียงนอนในโรงพยาบาล
ตอนนี้ในที่รอบๆ ตัวผมหมอและพยาบาลกำลังวุ่นวายกับการช่วยชีวิตผมจากภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว ผมหลับตาลง เห็นเงาร่างลางๆ มายืนอยู่รอบๆ เตียง ร่างในเงามืดค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้วพวกเราได้พบกันอีกครั้งอย่างพร้อมหน้า ทั้งปีเตอร์ที่ยืนกอดคอกับโทมัส เควินที่ยืนหน้าเรียบเฉยแต่ยื่นมือมาขอจับมือผม และ เจมส์ ที่ยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอย่างจริงใจเหมือนเคย ทุกคนมารอรับผมแล้วจริงๆ มารอรับผมไปอยู่ใต้น้ำด้วยกัน....
ผมสูดหายใจช้าๆ อีกสองสามครั้ง เหมือนกับน้ำกำลังท่วมถมเต็มเข้าไปในถุงลมปอดทุกอณูของปอดทั้งสองข้าง มันปวดทรมาณอย่างแสนสาหัส แต่กลับมีความสุขอย่างประหลาด ผมยื่นมือออกไปจับมือเจมส์ที่ตอนนี้ยื่นมือมารอแล้ว ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ.....
"ไงเพื่อน นายโอเคนะ......." ใครซักคนเอ่ยขึ้นจากที่ไหนซะแห่ง ก่อนที่เครื่องตรวจวัดสัญญาณชีพของผมจะส่งเสียงวี๊ดแหลมเหล็กลากยาวอยู่หลายนาที จนกระทั่งมีพยาบาลมาปิดมัน
อีกหลายเดือนต่อมามีการสืบสวนและวิเคราะห์จนพบสาเหตุการเสียชีวิตของผู้เข้าร่วมการประชุมที่โรงแรม เบเลวู สเตร็ทฟอร์ด จำนวนหลายสิบคน อันเนื่องมาจากเชื้อแบคทีเรียที่เจริญเติบโตและแพร่กระจายมาจากถังเก็บน้ำระบบในทำความเย็บ จนปนเปื้อนมาในระบบปรับอากาศของโรงแรม
ซึ่งในครั้งนั้นเป็นสาเหตุให้มีผู้ติดเชื้อหลายร้อยคน และเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกถึง 25 ราย และเป็นสาเหตุให้สามารถสรุปและค้นพบสาเหตุของการเกิดการระบาดของโรคนี้ได้เป็นครั้งแรก จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อเชื้อแบคทีเรียที่เกิดระบาดในครั้งนั้นว่า
Legionella pneumophila
โดยอาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ จะมีไข้สูงหนาวสั่น อ่อนเพลีย หายใจขัด หอบเหนื่อย จนถึงมีอาการทางระบบประสาท ปอดบวม อาเจียนเป็นเลือด และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด..
เอาน้ำในระบบระบายความร้อนของโรงแรมไปตรวจ by เพจเรื่องสั้นๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา