8 ส.ค. 2019 เวลา 20:30 • ประวัติศาสตร์
Ep.001
คฤหาสน์มรณะ ของ Marcel Petiot
ในอดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ ที่ในยุโรปเกิดคดีฆาตกรต่อเนื่องอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่คดีต่อเนื่องเหล่านี้มักสูญหายไปกับกาลเวลา อันเนื่องจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์โหดร้ายและน่าจดจำมากกว่า มีน้อยมากที่มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ทำให้หลายคนจดจำถ้าไม่โหดเหี้ยมพอ
แต่มีฆาตกรคนหนึ่งสมควรจะได้รับความจดจำความโหดร้ายนั้น.......
ใครว่าสงครามมีแต่สูญเสีย สำหรับคนบางคนแล้วมันมีแต่ได้กับได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) เมื่อฝรั่งเศสอยู่ภายใต้อำนาจมืดของนาซี นาซีเข้ายึดฝรั่งเศสพร้อมกับนโยบายกวาดล้างเผ่าพันธุ์ พวกชาวยิวที่รู้ข่าวต่างต้องการหนีตายจากพวกนาซี แต่จะหนีไปไหนได้ ในเมื่อนาซีเต็มประเทศไปหมด และนั้นเองที่ทำให้มีบุคคลหนึ่งที่อาสาจะช่วยเหลือพวกเขา
“ด็อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีต”
ด็อกเตอร์มาร์เซล์เป็นหมอในกรุงปารีสที่อาสาจะช่วยชาวยิวออกนอกประเทศ เพียงแต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้ พวกชาวยิวและพวกต่อต้านที่กำลังขวัญเสียได้ยินข่าวนี้ก็ยอมทันที ขายข้าวของทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ตัวคนจ้างกับครอบครัวหนีออกไปประเทศฝรั่งเศส แต่เมื่อทุกคนที่ไปคฤหาสน์ร้างซึ่งเป็นจุดที่หมอมาร์เซล์นัดเอาไว้ พวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
มาร์เซล์ ปดีต (Marcel Petiot) เป็นนายแพทย์ชาวฝรั่งเศสและฆาตกรต่อเนื่อง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการค้นพบศพ 26 ศพในบ้านของเขาที่กรุงปารีสหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลายฝ่ายสงสัยว่าเขาฆ่าเหยื่อไป 60 รายตลอดในช่วงชีวิตของเขา และทั้งหมดที่ทำเพียงแค่ฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น
มาร์เซล์ ปดีต เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1897 ที่เมืองโอแซร์ ไม่ไกลจากปารีส เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมักพูดตรงกันว่าเขาเป็นเด็กมหัศจรรย์ เขามีความฉลาดและไหวพริบดี หากแต่เป็นคนจิตใจซาดิสม์ ชอบกระทำทารุณแก่สัตว์หรือเด็กที่ตัวเล็กกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผ่าตัดเพื่อศึกษาว่าตัดส่วนไหนให้สัตว์พิการโดยไม่ตาย นอกจากนี้ยังมีข่าวลื่อเกี่ยวกับตัวเขาในวัยเด็กมากมาย ว่าเขาเป็นเด็กแก่แดดลามก เขาชอบจับเพื่อนร่วมชั้นชายเพื่อมาดูภาพโป๊ร่วมกัน เมื่อเขาอายุ 11 ปีเขาเคยขโมยปืนพกลูกซองมาเล่น ในระหว่างปี 1907และ 1909 เขาบอกกับแพทย์ว่าเขาชอบเดินละเมอและชอบฝันเปียกกางเกงนอนเป็นประจำ
แม่ของมาร์เซล์ตายในปี 1912 ต่อมาพ่อของเขาได้งานใหม่ที่ต่างเมือง ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่กับป้า เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลายครั้งเนื่องจากมีพฤติกรรมเกเร พอถึงอายุ 17 ปี เขาถูกจับในข้อหาขโมยเล็กขโมยรน้อยและทำให้ทรัพย์สินประชาชนเสียหาย ศาลแนะนำให้เขาต้องไปตรวจสอบสุขภาพจิต ในวันที่ 26 มีนาคม 1914 จิตแพทย์ทั้งหลายมีความเห็นตรงกันว่าเขาเป็นเด็กที่มีอาการป่วยทางจิต ส่งผลทำให้เขาจำคุกแต่เป็นเวลาสั้นๆ หลังจากที่ออกจากคุก เขาก็ตั้งใจเล่าเรียนจนสามารถจบการศึกษาในสถาบันพิเศษในปารีสในเดือนกรกฎาคม 1915
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาร์เซล์เข้าร่วมกับกองทัพฝรั่งเศส ที่หน่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บที่เมืองดีชอง ระหว่างนั้นเขามักขโมยเอามอร์ฟีนไปขายแก่พวกขี้ยาเสมอ และเขายังได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เห็นคนเจ็บคนตายที่ร้องขอชีวิต การฉีดยาพิษเข้าเส้นประสาทแก่คนใกล้ตายเพื่อให้ตายอย่างสงบ เลือด ความตาย มาร์เซล์เริ่มหลงใหลกับชีวิตแบบนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ต่อมาเขาบาดเจ็บจากเศษระเบิดมือในการสู้รบ จนต้องส่งตัวไปรักษา แผลหาย แต่เขาแสดงอาการป่วยทางจิตทำให้ต้องถูกส่งไปรักษาที่คลีนิคในระหว่างนั้นเขาถูกจับได้ว่าเขาขโมยผ้าห่มของกองทัพ จนต้องเข้าไปวินิจฉัยอาการทางจิตเสียใหม่ ผลปรากฏว่าเขาเป็นโรคประสาท ทำให้เขาต้องถูกปลดออกมา
ในเดือนมิถุนายน 1918 มาร์เซล์ยิงเท้าของตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้รับเงินจากรัฐบาลบำนาญทุพพลภาพ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจละโมบและชอบคดโกงไม่มีที่สิ้นสุด
2
หลังจากนั้นมาร์เซล์ ปดีตก็ได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ในโครงการทหารผ่านศึก เขาสามารถเรียนจบในแปดเดือนและไปฝึกงานในเอฟเรอซ์เมืองหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส และได้รับปริญญาแพทย์อย่างรวดเร็ว
ต่อมา ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ย้ายไปตั้งร้านทำมาหากินที่เมืองวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์ แรกเริ่มจากเขาจะรักษาคนรวยในราคาบริการที่แพง ส่วนคนจนเขาจะรักษาฟรีบวกกับได้เงินช่วยเหลือจากโรงพยาบาลของรัฐ ต่อมาเขาก็ได้เริ่มทำธุรกิจขายยาเสพย์ติด และการทำแท้งเถื่อนของหญิงสาวที่ผิดกฎหมาย ณ จุดนี้เองทำให้เขามีชื่อเสียงในวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์ว่าเป็นนายแพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณ
ในช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับด็อกเตอร์มาร์เซล์มากมาย หลายคนเชื่อว่าเขาเริ่มฆ่าคนในช่วงนี้ โดยเหยื่อรายแรกของเขาคือหลุยส์ ลูกสาวของผู้ป่วยสูงอายุคนหนึ่งที่มีเรื่องกับเขาเมื่อปี 1926 ต่อมาเธอก็หายตัวไป ในเดือนพฤษภาคม มีเพื่อนบ้านพบเห็นเธออยู่ในรถของเขา เมื่อเรื่องไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผลสุดท้ายการสอบสวนออกมาว่าเธอเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน ในสัปดาห์ต่อมามีคนพบซากศพหญิงสาวนิรนามในแม่น้ำซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนได้จนถึงทุกวันนี้
ในปีเดียวกันด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของเมือง ซึ่งเขามีความสามารถทางการเมืองพอสมควร แต่กระนั้นมีข่าวลื่อว่าเขาเป็นนักการเมืองที่ฉ้อฉลยักยอกเงินจากกองทุนเมือง ในปี 1927 เขาได้แต่งงานและมีลูกชายในปีถัดไป
คืนหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 1930 อาร์มองด์ และภรรยา ซึ่งเป็นคนไข้คนหนึ่งของด็อกเตอร์มาร์เซล์ เจ้าของกิจการร้านขายของในละแวกนั้นถูกพบเป็นศพ ทั้งสองฆ่าเนื่องจากโดนอาวุธทื่อชนิดหนึ่งที่กระหน่ำตีไม่ยั้ง ทรัพย์สินถูกปล้นหลายรายการ มีพยานหลายพบเห็นหมอป้วนเปี้ยนสถานที่ที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าของร้านถูกฆ่า นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์คนไข้ของเขาที่เป็นโรคไขข้อตายอย่างฉับพลัน อย่างมีเงื่อนงำหลายราย แต่ด็อกเตอร์มาร์เซล์ออกใบมรณะบัตรว่า “ตายอย่างปกติ” สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายตามมาเป็นระลอก
ในเวลาต่อมาชีวิตของด็อกเตอร์มาร์เซล์ในเมืองเนิฟฟ ซูร์ ยอนน์ ก็เริ่มร้อนระอุ เมื่อทางอำเภอในท้องถิ่นได้รับคำร้องเรียนจำนานมากมายเกี่ยวกับเขาที่ยักยอกเงิน และธุรกิจที่ผิดกฎหมาย จนเขาถูกระงับการเป็นนายกเทศมนตรีในเดือนสิงหาคม 1931 และลาออก แต่กระนั้นห้าสัปดาห์ต่อมาในวันที่ 18 ตุลาคมเขาก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีของยอนน์ ทำงานแค่ปีเดียว ในปี 1932 เขาก็ถูกกล่าวหาว่าขโมยกระแสไฟฟ้าจากหมู่บ้าน ส่งผลทำให้เขาสูญเสียที่นั่งในสภา และในเวลาต่อมาเขาก็เก็บข้าวของหนีอพยพไปอยู่กรุงปารีสก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้
เมื่อด็อกเตอร์มาร์เซล์มาถึงเมืองปารีส ก็เริ่มอาชีพทำมาหากินทันที เขาเริ่มดึงดูดผู้ป่วยและสร้างชื่อเสียงจากการตั้งร้านหมอที่บ้านเลขที่ 66 ถนนโคมาร์แตง ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและหรูหราที่สุดในเมือง แต่กระนั้นก็มีข่าวลื่อมาว่าเขายังคงทำอาชีพที่ผิดกฎหมายในการขายยาเสพติดแก่พวกติดยาในราคาถูก การรับจ้างทำแท้งเถื่อนแก่ผู้ไม่ปรารถนาจะมีบุตร ซึ่งเป็นวิธีที่หาเงินที่เขาถนัด จนในไม่ช้าเขาก็ลูกค้าที่จงรักภักดีมากมาย หลายคนมักเห็นเขาเป็นสามีที่ดี เป็นคนเคร่งศาสนาไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ มีลักษณะของพลเมืองดีไว้อย่างครบถ้วน แต่นั้นก็เป็นแค่หน้ากากภายนอกเท่านั้น ส่วนในจิตใจหมอมาร์เซล์กำลังหาโอกาส โอกาสที่จะทำกำไรเข้ากระเป๋าของตนอย่างมหาศาล ขอแค่โอกาสเท่านั้น
ในปี 1936 ด็อกเตอร์มาร์เซล์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้มีอำนาจในการออกใบมรณบัตร เขาถือโอกาสนี้ออกหาประโยชน์ในทางมิชอบ ในปีเดียวกันเขาถูกจับในคดีโรคจิตชอบขโมยแต่ก็ถูกปล่อยตัวในปีถัดมา แต่กระนั้นเขาก็ยังถูกดำเนินคดีหลบเลี่ยงภาษี
ในเวลานั่นเองสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มก่อตัวในฤดูร้อน ทางด้านหมอมาร์เซล์ได้ใช้อำนาจมีในการออกใบมรณบัตร ออกใบรับรองแพทย์เท็จ ว่า "ตายอย่างปกติ" แก่คนไข้ที่เขาทำการรักษาที่ตายอย่างมีเงื่อมงำ เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายแก่ตัวเขามากมายตามมาเป็นระลอก แต่กระนั้นก็ไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นแก่เขาแต่อย่างใด เขายังคงหน้าด้านกอบโกยผลประโยชน์ต่อเนื่อง ยิ่งมีเงินยิ่งโลภ แสวงหากำไรไม่รู้จักสิ้นสุด
และแล้ววันที่จะสร้างกำไรมหาศาลของด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็มาถึง เมื่อถึงปี 1940 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มร้อนระอุไปทั่วแผ่นดินยุโรป กองทัพนาซีภายใต้การนำของอดอฟ์ ฮิตเลอร์ได้ยาตราทัพเข้ามาในกรุงปารีส อย่างง่ายดาย เพราะฝรั่งเศสขอยอมแพ้โดยไม่ขัดขืน
เมื่อนาซียึดฝรั่งเศส สิ่งแรกที่นาซีทำคือการการทำลายล้างชนชาติยิว ตามนโยบายของฮิตเลอร์ที่รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง นาซีได้แต่งตั้งตำรวจลับเกสตาโปขึ้นในฝรั่งเศส หน้าที่ของตำรวจลับคือสืบเสาะ และสังหารผู้ต่อต้านนาซี จับกุมผู้ที่คาดว่าเป็นชาวยิวในฝรั่งเศสให้หมด เพื่อส่งไปค่ายมรณะหรือไม่ก็ค่ายกักกันและใช้แรงงานหนักจนตาย
พวกชาวยิวที่อยู่นครหลวงในฝรั่งเศสค่อย ๆ หายสาบสูญ บางคนไม่รู้ว่าญาติของตนถูกจับตัวไปอยู่ที่ค่ายมรณะ บางคนหวาดกลัวการกักขังจึงเตรียมตัวที่จะหนีไปนอกประเทศ แต่ไม่มีโอกาสทั้งที่มีทรัยสินส่วนตัวมาก
1
สถานการณ์นี้แหละที่เข้าทางความคิดของด็อกเตอร์มาร์เซล์อย่างยิ่ง ที่แลเห็นโอกาสที่จะแสวงหากำไร เอาเงินเข้ากระเป๋า อีกทั้งยังสามารถปลดปล่อยสันดานดิบในวัยเด็กของเขาได้อีกด้วย มันนี้คือจุดเริ่มต้นของโครงการฆ่าคนโดยบุคคลเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
ด็อกเตอร์มาร์เชล์ก็เริ่มแพร่ประกาศข่าวออกไป ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านพวกนาซี เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายสัมพันธมิตรในการพัฒนาอาวุธลับฆ่าชาวเยอรมันอย่างลับๆ อีกทั้งเขาสามารถติดต่อพวกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ใต้ดินฝรั่งเศส สามารถแอบพาคนที่เกสตาโปกำลังล่าตัวอยู่หนีไปยังสเปนหรือคิวบาได้ พวกที่คิดหนีสามารถติดต่อเขาได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้
พวกชาวยิวและพวกต่อต้านนาซีที่กำลังขวัญเสียเมื่อได้ยินข่าวก็แห่มาขอให้ด็อกเตอร์มาร์เชลช่วย เมื่อมาถึงเขาบอกลูกค้าที่ต้องการอพยพว่า เขาสามารถช่วยคนหลบหนีจากประเทศเพื่อไปประเทศที่สามได้ โดยจุดหมายปลายทางเป็นอาร์เจนติน่า หรือที่อื่นในอเมริกาใต้โดยผ่านโปรตุเกส แต่ต้องมีค่าธรรมเนียมประมาณ 25,000 ฟรังซ์ ต่อหนึ่งบุคคล
แม้ราคาที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์เรียกไว้จะมีราคาแพง แต่สำหรับชาวยิวแล้วชีวิตนั้นสำคัญกว่าเงิน พวกเขายอมตกลงทันที เมื่อพวกเขาทำการตกลงแล้ว ด็อกเตอร์มาร์เซล์บอกให้เขาพาครอบครัวที่หอบทรัพย์สินทั้งหมดมาสถานที่ที่เขานัดกันไว้ และเมื่อพวกเขามาถึง เขาจะให้เหยื่อทั้งหลายถลกแขนฉีดยาที่เขาอ้างว่าเป็นการปลูกฝี ซึ่งความจริงแล้วคือยาพิษไซยาไนด์ เมื่อยาออกฤทธิ์เหยื่อก็ตายอย่างทรมาน จากนั้นเขาจึงปลดทรัพย์สินทั้งหมดของเหยื่อแล้วกำจัดศพโดยโยนทิ้งแม่น้ำเซน
ต่อมาที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์เริ่มคิดค้นวิธีที่กำจัดศพสะดวกขึ้น โดยการซื้อคฤหาสน์ร้างหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ที่บ้านหมายเลข 21 ถนนเลอเซอร์ ราคาครึ่งล้านฟรังซ์ แล้วก็ตกแต่งภายในเสียใหม่ให้เหมาะต่อการปฏิบัติการแผนการสร้างกำไรของเขา ห้องที่เก็บเสียงที่มิดชิด หน้าต่างที่ถูกปูนโบกปิดสนิทยกเว้นประตูบานเดียวทุกห้อง ทุกห้องถูกเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ มีครั้งหนึ่งช่างเกิดสงสัยจึงถามหมอว่าทำไปทำไม หมอบอกสั้น ๆ ว่าเพื่อสังเกตคนไข้โรคจิต และส่วนที่เป็นความลับสุดยอดของคฤหาสน์ร้างแห่งนี้คือเตาเผาขนาดยักษ์หนึ่งเตาในห้องใต้ดินพร้อมระบบระบายน้ำออกจากห้องใต้ดิน การก่อสร้างเหล่านี้ในคฤหาสน์ร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันคริสต์มาสปี 1941 เมื่อสถานที่เตรียมการของเขาเสร็จสมบูรณ์ ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็ประเดิมโดยการนัดเหยื่อก็มาในคฤหาสน์นี้แทน พอพวกเขามาถึง เขาฉีดยาพิษที่ฤทธิ์ของมันออกช้า แล้วให้เหยื่อเข้าไปในห้องที่เก็บเสียง จากนั้นก็ล็อกแล้วมองผ่านช่องเพื่อสังเกตอาการของเหยื่อ อย่างสุขสรรค์ เมื่อยาฤทธิ์ เหยื่อจะมีอาการชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว และตายอย่างทรมาน เมื่อเหยื่อตายแล้ว เขาจึงใช้วิธีกำจัดศพแบบใหม่ โดยการลากศพลงห้องใต้ดิน เอามาลงแช่ในน้ำปูนขาวที่มอริสน้องชายแท้ ๆ ของเขาจากเมืองโอแชร์ส่งมาให้ เสร็จแล้วก็ยัดศพเข้าเตาเผา เมื่อกำจัดศพเรียบร้อยเขาก็ลงบัญชีรายละเอียดตรวจดูทรัพย์สินที่เหยื่อทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินที่มีค่าต่างนานา
แม้มีข่าวไม่ดีว่าไม่มีใครออกจากคฤหาสน์ร้างแห่งนั้น แต่ลูกค้าก็ยังแห่เข้าคิวหาหมอมากยิ่งขึ้น ลูกค้าที่หลงเชื่อที่ด็อกเตอร์มาร์เชล์มีทั้งชาวยิวเล็ดรอดจากเกสตาโป ครอบครัวมั่งคั่งที่กลัวพวกนาซียึดทรัพย์ หรือแม้แต่เพื่อนหมอที่อยากหนีจากฝรั่งเศส นอกจากนั้นยังมีลูกค้าที่เป็นคนไข้ของเขาอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อเข้าคฤหาสน์นี้แล้วไม่มีใครรอดชีวิตกลับออกมาอีกเลย
คฤหาสน์ของด็อกเตอร์มาร์เชล์
ด็อกเตอร์มาร์เซล์ทำวิธีนี้มาอย่างยาวนานโดยไม่มีใครสงสัย เพราะทุกคนกำลังสนใจเรื่องสงครามโลกอยู่ แม้แต่ภรรยาของเขาเองก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย
แต่แล้วสิ่งที่ด็อกเตอร์มาร์เซล์ทำก็ถึงหูของพวกเกสตาโปเข้า ที่สงสัยมานานแล้วว่าทำไมพวกชาวยิวที่ตนกำลังตามหาตัวอยู่นานนั้นหายไปไหนกันหมด เมื่อสืบสวนพบว่าชาวยิวเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงมาถึงเขา ดังนั้นในปี 1943 พวกเกสตาโปได้ส่งตัวแทนปลอมตัวเป็นผู้อพยพหนีนาซีไปสืบข้อมูลจากมาร์เซล์แต่แล้วเขาก็หายตัวไม่กลับมาอีกเลย เมื่อพวกนาซีเมื่อรู้ว่าพวกตนไม่กลับมาจึงรีบตะครุบตัวเขา จับขังไว้หลายเดือน จนกระทั้งถูกปล่อยตัวเมื่อต้นปี 1944 เพราะเขาแก้ตัวว่าที่ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์กำจัดชาวยิวและพวกต่อต้านนาซี พวกนาซีได้ยินก็ชอบใจเพราะว่าเขาช่วยกำจัดชาวยิวให้ถือว่าเป็นการลดภาระของพวกเขา และเมื่อปล่อยตัวด๊อกเตอร์มาร์เซล์ไปแล้วเขายังคงทำกิจกรรมกับโรงงานฆ่าคนอย่างที่เคย แต่มาคราวนี้เขาไม่มีโอกาสที่ใช้วิธีเอาศพมาแช่ปูนขาวก่อนเผาอีกแล้ว เพราะระหว่างที่หมอมาร์เซล์ถูกจับตัวไป มอริสน้องชายได้มาเยี่ยมที่ปารีสและพบกับความลับในคฤหาสน์ที่ถนนเลอเซอร์เข้า จึงรู้ทันทีว่าพี่ชายซื้อปูนขาวจำนวนมากมายไปทำอะไร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งปูนขาวให้พี่ชายอีก
การเผาศพโดยไม่แช่ปูนขาวจะทำให้เกิดควันไฟพลุ่งจากปล่องและส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้น ทำให้บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียงต่างทนไม่ไหวกับกลิ่นนี้ จนกระทั้งวันเสาร์ 11 มีนาคม 1944 เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทนไม่ไหว ตัดสินใจเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อมาถึง เพื่อนบ้านได้ให้ข้อมูลว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้คือ ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดีต เป็นหมอรักษาคนไข้ หลายวันมานี้พวกเขาได้เห็นกลุ่มบุคคลหลายคนพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เข้าไปคฤหาสน์ร้างแห่งนั้น และไม่กลับมาอีกเลย
เจ้าหน้าที่และกองดับเพลิงจำนวนมากมายคฤหาสน์หลังนั้น เพราะสงสัยว่าควันนั้นอาจเกิดจากไฟไหม้ พอดีหมอมาร์เซล์ไม่อยู่บ้าน อีกทั้งพวกเขาไม่มีเวลาไปตามตัวหมอ เพราะไฟอาจลามไปสถานที่ข้างเคียงได้ พวกเขาจึงตัดสินใจบุกเข้าไป
พบว่าต้นเพลิงอยู่ชั้นใต้ดิน ที่เตาเผาที่กำลังลุกไหม้นั้นมีสิ่งที่สยดสยองที่ไม่เคยพบในโลกนี้ ในนั้นเต็มด้วยกระดูกและชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ เกลื่อนกลาดราวกับขยะ ที่บันไดเจ้าหน้าที่ตำรวจพบถุงผ้าใบที่มีชิ้นส่วนศพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเท้าและอวัยวะภายใน นอกจากนี้ที่โรงรถของเขาตำรวจยังพบกองปูนขนาดใหญ่มีที่หนังศีรษะมนุษย์ปนอยู่ในนั้นด้วย
เจ้าหน้าที่นับจำนวนศพได้ประมาณ 27 ศพ มีทั้งเพศชาย ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ทุกศพถูกหั่น ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ ลำตัว แขนขา ทุกศพไม่มีร่องรอยการใช้มีดหรือกระสุนปืน นอกเหนือจากศพเหล่านี้เจ้าหน้าที่ยังพบยาเบื่อ เฮโรอีนและมอร์ฟีนในคฤหาสน์แห่งนี้ด้วย
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในการระบบเหยื่อในจำนวนซากศพเหล่านั้น ตำรวจสามารถระบุไม่กี่ศพ หนึ่งในนั้นเป็นนายหน้าขายยาเสพย์ติดที่เป็นลูกค้าที่มารับยาเสพย์ติดของด็อกเตอร์มาร์เซล์ จนกระทั้งถึงเดือนมีนาคม 1942 เขาเกิดหายตัวไป โดยตำรวจเชื่อว่าเขาเป็นเหยื่อจากฆาตกรรมในคฤหาสน์นรกแห่งนี้
รายต่อมาที่ระบุได้คือ เป็นคนไข้เของด็อกเตอร์มาร์เซล์ที่หายตัวไปในเดือนมีนาคม 1942 เจ้าหน้าที่พยายามหาตัวเธอแต่ไม่พบร่องรอย จนกระทั้งมาพบชิ้นส่วนศพของเธอในคฤหาสน์แห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีศพหลายคนที่เป็นชาวยิวที่รวมกลุ่มเพื่อขอให้ด็อกเตอร์มาร์เชล์ช่วยเหลือ หากผลสุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็จากโลกนี้ด้วยสภาพที่โหดร้ายเกินกว่าจะพรรณนา
เมื่อด็อกเตอร์มาร์เซล์ได้ยินข่าวก็รีบมาที่ คฤหาสน์ทันที เขาอ้างว่าศพเหล่านี้เป็นพวกทหารนาซีและคนทรยศชาติ น่าแปลกที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อคำโกหกเหล่านั้น เนื่องจากบุคลิกที่น่าเชื่อถือทางสังคมของหมอ ประกอบกับช่วงนี้ฝรั่งเศสกำลังถูกปลดปล่อยจากพันธมิตรหลังตกอยู่ภายใต้การปกครองเยอรมันมานานหลายปี ทำให้ด็อกเตอร์มาร์เซล์ลอยนวลอีกครั้ง
ด็อกเตอร์มาร์เซล์รู้ว่าหากเขายังอยู่ที่นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกจับ เขาเลยเลิกปฏิบัติการคฤหาสน์มรณะ และรีบเก็บข้าวของเผ่นหนีออกจากปารีสไปหลบซ่อนในบ้านนอก ในระหว่างที่เขาหลบหนีอยู่นั้นเขาบอกเพื่อนว่าพวกตำรวจเกสตาโบต้องการเขาเพราะเขาเป็นสายลับและฆ่าพวกเยอรมัน
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรู้สึกตัว ด็อกเตอร์มาร์เซล์ก็หลบหนีไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่อต้านนาซีกลุ่มใดเลย อีกทั้งตำรวจยังไปเจอกองมหาสมบัติและบัญชีรายชื่อที่เป็นเหยื่อจำนวนมากกว่า 63 ราย เมื่อตำรวจสอบประวัติผู้ตายแล้วไม่พบคนทรยศชาติสักคน อีกทั้งยังมีบัญชีที่เขาปลดทรัพย์สินของเหยื่อด้วยวิธีหน้าด้านรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200 ล้านฟรังซ์
การปลอมตัวของด็อกเตอร์มาร์เซล์
 
ด็อกเตอร์มาร์เซล์กลับมาที่ปารีสอีกครั้ง โดยการปลอมตัวมาร่วมขบวนฉลองวันยุติสงครามโลก แต่การปลอมตัวของเขาไม่ได้ผล เพราะมีหลายคนจำหน้าเขาได้ จนนำมาซึ่งการจับกุมตัวเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1944 ในสถานีรถไฟใต้ดินกรุงปารีส สภาพเขาในวันจับกุมนั้นเขาไว้หนวดเครารุงรัง ในตัวเขามีอาวุธปืนพก และเงิน 31,000 ฟรังซ์ และเอกสารประจำตัวกว่า 50 ชุด และหลังจากการจับกุมเจ้าหน้าที่ได้สะสางคดีของด็อกเตอร์มาร์เซล์ใหม่อีกครั้ง
ด็อกเตอร์มาร์เซล์ยังคงอ้างว่าเขาฆ่าเฉพาะศัตรูของฝรั่งเศส ศพที่พวกเขาพบคฤหาสน์นี้เป็นของพวกนาซีที่เขาและสมาชิกกลุ่มต่อต้านร่วมมือกันฆ่า แต่สุดท้ายเขาก็จำนนด้วยหลักฐานต่าง ๆ เช่น หีบห่อเสื้อผ้ากว่า 1,500 ชุด ห้องในคฤหาสน์มรณะ บัญชีรายชื่อเหยื่อ และเงินที่จดบันทึก ซึ่งมากพอที่จะให้ศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆ่าคนชิงทรัพย์จริง มีความผิดต้องโทษประหารชีวิต ในช่วงอ่านคำพิพากษานั้นในศาลมีแต่คนส่งเสียงเซ็งแซ่ จนด็อกเตอร์มาร์เซล์แทบไม่ได้ยินคำตัดสิน จนต้องถามคนข้างเคียงว่าตนมีความผิดหรือไม่
เช้าตรู่ ของวันที่ 26 พฤษภาคม 1946 ด็อกเตอร์มาร์เซล์ ปดีตถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัวด้วยกิโยติน ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปสู่กิโยตินเพื่อประหารชีวิตนั้น หมอมาร์เซล์ได้ขอร้องคนข้างเคียงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตว่าขอปัสสาวะ หากแต่เพชฌฆาตปฏิเสธไม่ทำตามคำขอ ทำให้เขาถูกประหารทั้งๆ ที่ปวดฉี่อยู่
คำพูดสุดท้ายเขาได้พูดกับผู้สังเกตการณ์ว่า “ท่านสุภาพบุรุษ ผมคิดว่าคุณไม่ควรดู เพราะภาพต่อไปนี้มันไม่น่ารักเลย”
เรื่องราวของด็อกเดอร์มาร์เชล์ ปดีต ได้ถูกนำไปดัดแปลงและสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Docteur Petiot(1990) กำกับโดย Christian de Chalonge โดยมีตัวเอก ไมเคิล Serrault แสดงเป็นด็อกเตอร์มาร์เชล์, ภาพยนตร์แนวสงคราม Seven Thunnders(1957), Zwartboek(2006) มีตัวละครที่มีบุคลิกลักษณะและแรงบันดาลใจอย่างชัดเจนว่าเหมือนด็อกเตอร์มาร์เซล์ปรากฏอยู่ในเรื่อง
มาดของด็อกเตอร์มาร์เซล์ในชั้นศาล
สัมภาระเหยื่อของด็อกเตอร์มาร์เซลล์ในชั้นศาล
โฆษณา