‘แม่ถนอมกล่อมลูกสุดใจรัก
แม่ฟูมฟักกล่อมเลี้ยงให้เติบใหญ่
แม่แลดูลูกรักสุดห่วงใย
แม่เฝ้าไข้ปัดป้องแลพัดวี
.
เป็นหญิงกล้าหญิงแกร่งให้ห้าวหาญ
โจนทะยานพุ่งไปตามวิถี
ไม่ครั่นคร้ามอิดออดไม่รอรี
เสี่ยงชีวีสร้างคนเบ่งลูกมา
.
อีกชีวิตในท้องแม่ยังคิด
ค่อยสะกิดลูบท้องอย่างห่วงหา
ยามจะพลิกสะบัดดิ้นเกรงผิดท่า
กลัวลูกว่าจะเจ็บให้เข็ดกาย
.
สามสิบหกสัปดาห์แสนมีสุข
เมื่อลูกขลุกยันถีบท้องขยาย
แต่ยังทุกข์สุดใจเหมือนเจียนตาย
ห่วงร่างกายลูกนั้นไม่สมบูรณ์
.
แม้นลูกดื้อเมินฟังคำสอนกล่าว
เหมือนมีหลาวทิ่มแทงให้เสียศูนย์
แม่ยังคอยประคองด้วยอาดูร
ยังไม่สูญเสียแรงแม่ยังทำ
.
จวบจนเจ้าออกเรือนเพื่อสร้างหลัก
แม่ยังพักเพียรสอนป้องถลำ
ยังคอยสอนให้คิดสิ่งควรทำ
ไม่เคยซ้ำตอกย้ำยามพลาดมา
.
ลูกมีลูกแม่รู้แม่ยิ่งรัก
ยังคอยลัดขอเลี้ยงด้วยอาสา
ยังมีแรงอุ้มไหวขอเวลา
ได้นำพาให้แม่ทำสมดั่งใจ
.
ได้เห็นลูกก่อร่างและสร้างฐาน
ได้เห็นหลานเติบใหญ่ผ่านวัยใส
ได้เห็นลูกและหลานอยู่ปลอดภัย
แม่วางใจคงได้พักในสักวัน
.
อยากบอกเจ้าให้รู้ไม่เคยโกรธ
อย่าได้โทษว่าแม่ทำหุนหัน
ที่คอยพูดพร่ำบอกอยู่ทุกวัน
เพียงแค่ฝันให้เจ้าสำเร็จการ
.
แม้นไม่มีสมบัติมากองให้
แม่จะใช้ร่างกายนี้เล่าขาน
ธาตุเคยจับดึงรั้งไม่อยู่นาน
เมื่อถึงกาลให้สลายต้องผุพัง
.
แม้ร่างไหม้แต่คนต้องพูดถึง
ให้ได้พึ่งเหมือนแสงผ่านทุกขัง
คือความดีความชั่วเทียวเสียงดัง
เจ้าจงฟังให้ธรรมนำประคอง
.
ลูกเห็นแล้วรักของหญิงชื่อแม่
เป็นรักแท้ที่หนึ่งไม่มีสอง
เฝ้าเลี้ยงลูกแต่เกิดตามครรลอง
คอยเฝ้ามองฟูมฟักจนสิ้นวัน
.
วางความเหนื่อยด้วยจิตประภัสสร
เอนตัวนอนหลับนิ่งอย่างสุขสันต์
ออกเดินทางกลับบ้านย่ามสุขครัน
ลู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวนิจนิรันดร์’