12 ส.ค. 2019 เวลา 15:17 • ธุรกิจ
ถึงเวลาของ App Food delivery ?
ภาพจากเพจ​ คาราโอเกะชั้นใต้ดิน
บริการส่งอาหารไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่สมัยก่อนจะจำกัดบริการเฉพาะร้านอาหารชื่อดัง หรือพวก Chain ขนาดใหญ่อย่าง พิซซ่า แมคโดนัล KFC
การเกิดขึ้นของ App Food delivery ช่วยให้บริการส่งอาหารขยายขอบเขตไปถึงร้านอาหารขนาดเล็ก ร้านข้างทางริมถนน หรือแม้แต่ร้านเด็ดร้านดังที่จะไปกินแต่ละทีช่างยากลำบาก
kobkid.com
จริงๆแล้ว App พวกนี้ก็มีในไทยมาได้ระยะนึง แต่ช่วง 6 เดือนหลังมานี้ เริ่มเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้คนเริ่มใช้ App พวกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากคนรอบข้างที่แม้จะดู low tech ยังเริ่มหันมาใช้บริการ ช่วงเที่ยงๆจะเห็นพี่วินหอบถุงข้าวพะรุงพะรังขึ้นมาส่งตามออฟฟิศ หรือแม้แต่เวลาไปกินข้าวตามร้าน มักเจอพี่วินหมุนเวียนกันเข้ามารับอาหารอย่างต่อเนื่อง
อะไรเป็นตัวเร่งกระแสความนิยม App พวกนี้​ ?
ข้อแรกน่าจะเป็นเพราะการแข่งขันใน App Food delivery สูงมาก ไม่ว่าจะเป็น Foodpanda Lineman Grabfood GET และอีกมากมาย จึงเห็นการทุ่มอัดโปรโมชั่นเพื่อหวังเพิ่ม Market share ของแต่ละเจ้า หลายเจ้ายอมขาดทุนด้วยซ้ำ ผู้บริหารเจ้านึงเคยเล่าให้ฟังว่า ค่าส่งอาหารที่คิดลูกค้าอย่างเราๆ 10 บาทนั้น ต้องจ่ายให้พี่วินที่ขับไปรับอาหารถึง 50-70 บาท !!!
ข้อต่อมาคือราคาที่ถูกกว่า ตอนแรกผมเป็นคนนึงที่ไม่ใช้ App พวกนี้ เพราะคิดว่าประเทศเรามีร้านอาหารเต็มไปหมด การเดินไปซื้อเองไม่ได้ยากลำบากเท่าไหร่ แต่ !!! โปรโมชั่นแรงมาก แรงจนขนาดที่ว่าการยอมเหนื่อยเดินไปซื้อเอง กลับได้ราคาแพงกว่าการซื้อผ่าน App ทุกวันนี้จะกินชานมไข่มุกใต้ตึกออฟฟิศ ต้องกดผ่าน App เพื่อเรียกพี่วินไปซื้อให้แทน
App GET
ข้อสุดท้าย น่าจะเป็นเพราะเราขี้เกียจมากขึ้น ด้วยวิถีชีวิตคนเมือง ด้วยสภาพการจราจร ทำให้ความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่เราแสวงหา ทุกวันนี้พี่วินมาส่งถึงใต้ตึก​ แล้วโทรมาบอกว่าให้ลงมารับอาหารหน่อย หลายคนตอบกลับไปว่า “ช่วยแลกบัตรแล้วเดินเอาขึ้นมาให้ข้างบนด้วย”
ในด้านผู้ใช้บริการ ช่วงนี้ก็เรียกได้ว่า Happy ทั้งสะดวกสบาย และยังมีโปรโมชั่นลดราคาให้ฟินกันอยู่เรื่อยๆ
ด้านพี่วิน จากปกติงานยุ่งในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน และว่างในช่วงกลางวัน ก็จะมีงานมากขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น
ด้านร้านอาหาร ก็ได้คนมาช่วยทำการตลาด ทำให้ขายอาหารได้ง่ายขึ้นไปด้วย
จะมีก็แต่เจ้าของ App นี่แหละ ที่ดูยังเหนื่อย และแบกภาระขาดทุนอยู่
แต่ที่ทุกเจ้ายอมแข่ง ยอมสู้กัน เพราะเชื่อว่าธุรกิจนี้มีอนาคต และธุรกิจการส่งอาหารแตกต่าง​และมีเสน่ห์​เมื่อเทียบกับการส่งคนอย่าง Uber ตรงที่มีผู้เล่นเกี่ยวข้องเพิ่มเข้ามา นั่นคือร้านอาหาร ซึ่งเป็นช่องทางที่เจ้าของ App สามารถสร้างรายได้จากตรงนั้นได้ เพราะการได้ช่วยให้ร้านอาหารขายได้ดีขึ้น ก็ควรจะมีส่วนแบ่งกำไรมาให้บ้าง โดยหวังว่าจะชดเชยค่าใช้จ่ายอื่น​ได้
และสุดท้ายเป้าหมายระยะยาวที่ทุกคนหวัง คือการก้าวเป็น Super App ซึ่งคือการเป็น App ที่ทุกคนตื่นเช้าขึ้นมาต้องนึกถึงและเข้าใช้ จะมี Data มากมายไหลเข้าไปสู่ Eco system ซึ่งสามารถนำไปต่อยอด ขยายบริการด้านอื่นๆได้อีกเยอะ
GO-JEK
การยอมขาดทุนวันนี้ จึงอาจเป็นอะไรที่คุ้มค่า
เพื่อนๆล่ะครับ คิดว่าคุ้มไหม ?
โฆษณา