14 ส.ค. 2019 เวลา 00:00 • กีฬา
หลายคนคงทราบกันแล้วว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2019 ที่ผ่านมา
เชลซีโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่มยับถึง 4 ประตู ต่อ 0
นับตั้งแต่ยุคโรมัน อบราโมวิชเป็นต้นมา เชลซี ไม่เคยแพ้ในนัดเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกมาก่อน
ในส่วนของการเจอกับแมนยู นี่ยังเป็นความพ่ายแพ้ที่เละเทะที่สุดในรอบ 25 ปีอีกด้วย
ซึ่งแน่นอน แฟนเชลซีทุกหมู่เหล่าย่อมต้องเศร้าและเสียใจกับผลการแข่งขันในเกมนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนตัวแล้วผมในฐานะแฟนเชลซีก็เสียใจอยู่ทั้งคืนเหมือนกันแหละ
แต่ส่วนตัวผมว่านี่คือแง่มุมที่น่าสนใจของเชลซีจากเกมนี้
สรุปมาให้ 7 ข้อดังนี้ครับ
1. ทรงบอลที่ตื่นเต้นเร้าใจและน่าเอาใจช่วย แต่ควรจะต้องมี Balance ที่เหมาะสมทั้งรุกและรับ
ด้วยความสัตย์จริง นับตั้งแต่ โจเซ่ มูรินโญ่ ย่างเท้าเข้ามากุมบังเหียนสแตมฟอร์ด บริดจ์
เชลซีเป็นทีมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นเน้นผลมาโดยตลอด
ไม่ต้องเน้นบุก เน้นเอนเตอร์เทน จะเล่นน่าเบื่อแค่ไหนก็ช่าง ขอแค่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ และประสบความสำเร็จต่อเนื่องเป็นพอ
ที่ผ่านมา มีเชลซีเพียงไม่กี่ชุดที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรุกที่เร้าใจ 2008-09 ครึ่งซีซั่นแรกภายใต้ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, 2009-10 ชุดดับเบิ้ลแชมป์กับ คาร์โล อันเชล็อตติ, 2012-13 ต้นซีซั่นกับ Mazacar ของ Di Matteo, 2014-15 ครึ่งซีซั่นแรกที่เชสส่งคอสต้ายิงเป็นว่าเล่น, 2018-19 ซีซั่นก่อนที่ Sarriball มาดีในช่วงแรก
หากแต่ว่าในเกือบทุกฤดูกาลที่ว่ามา สุดท้ายแล้ว เชลซีมักจะเห็นว่า บุกเกินไปก็ไม่รอด จนต้องกลับมาเน้นรัดกุมจนกลับมาประสบความสำเร็จซะทุกที
ข้อยกเว้นคงเป็นซีซั่น 2009-10 ที่เป็นฤดูกาลเดียวที่เชลซีเล่นเกมบุกเมามันส์จนยิงถล่มทลาย คว้าแชมป์ลีกไปด้วยการยิง 103 ลูก, และ 2018-19 ที่ดันทุรังเล่นแท็คติกเดิมเกือบทุกนัดทุกนาที มีดีบ้าง แย่บ้าง แต่สุดท้ายจบสวยด้วยการจบที่สามในลีก พ่วงด้วยแชมป์ยูโรป้าลีก
ในส่วนของเชลซีในเกมเจอกับแมนยูนั้น ถ้าใครดูเกมจะเห็นได้ชัดว่าจริงๆแล้วเชลซีบุกใส่แมนยูทั้งเกม ครองบอล 57% ยิง 13 เข้ากรอบ 7 แต่ไม่ได้ประตู
ในส่วนของเกมรุกก็เล่นบุกดุดัน เน้นเอ็นเตอร์เทนอย่างชัดเจน ทรงการเล่นเกมบุกจะมีความคล้ายฟุตบอลสไตล์เฮฟวี่เมทัลของ Jurgen Klopp หน่อยๆ แต่ประสิทธิภาพยังไม่ดีเท่า เพียงแต่ในเกมนี้ยิงโดนเสา+คานไปสอง และโดนเดเคอาเซฟไปอีก 7 แม้ลูกที่ยิงตรงกรอบส่วนมากจะมาจากนอกกรอบเขตโทษ เพราะแนวรับแมนยูรับได้เหนียวแน่นมาก แต่ก็ยังถือว่าเกมรุกหาช่องยิงประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเป็นวันที่โชคดีกว่านี้ คงจะมีประตูบ้าง และคงไม่แพ้เละขนาด 4-0
ว่าด้วยทรงบอลอย่างเดียว มีแฟนแมนยูหลายคนด้วยซ้ำที่คิดว่าเชลซีเล่นได้ดี แต่อับโชค บางคนยังเอาใจช่วยเชลซีในแมตช์ต่อๆไปเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ฟุตบอลไม่ได้วันกันที่ทรงบอลและ % การครองบอล แต่วัดกันที่ผลสกอร์และจำนวนประตู
และผลการแข่งขันที่จบด้วยความพ่ายแพ้ 4-0 หมายความได้ว่าเกมรุกของคุณไม่มีประสิทธิภาพมากพอ และเกมรับแย่อย่างสุดๆ
จุดนี้ก็น่าสนใจว่า Lampard จะปรับสมดุลของทีมอย่างไรเพื่อให้เล่นเกมรุกได้แบบเดิมแต่จบสกอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่เกมรับก็ไม่เสียประตูง่ายอย่างในเกมนี้
2. ก็ดีที่แลมพาร์ดให้โอกาสดาวรุ่ง แต่บางทีมันก็มากไป…
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เชลซีขึ้นชื่อเรื่องการไม่ให้โอกาสดาวรุ่งครับ
อย่าว่าแต่เกม Big Match ในพรีเมียร์ลีกเลย
แค่เกมทั่วไปในพรีเมียร์ลีก เชลซียังไม่เคยคิดจะให้ดาวรุ่งที่ไม่มีประสบการณ์เป็นตัวจริง เว้นแต่ว่านั่นเป็นเกมท้ายซีซั่นที่ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้ว
ฉะนั้นการได้เห็น Tammy Abraham และ Mason Mount ลงตัวจริงในเกมบิ๊กแมตช์กับแมนยูนั้น
ไม่ว่าใครก็ต้องแปลกใจครับ
Tammy นั้นจริงๆเคยเล่นในพรีเมียร์ลีกแบบยืมตัวกับสวอนซี นอกจากนั้นก็เคยเล่นเป็นสำรองสองนัดให้เชลซีในช่วงท้ายซีซั่น 2015-16 ที่เชลซีจบที่ 10 แบบไม่ได้ลุ้นอะไร แต่ประสบการณ์ที่เหลือคือนอกพรีเมียร์ลีกหมดเลย
ส่วน Mount นั้น เป็นดาวรุ่งอายุน้อยที่มีแววรุ่งแบบสุดๆครับ ฤดูกาลก่อนถูก Lampard ยืมตัวไปเล่นด้วยกันที่ Derby ในแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งเจ้าตัวก็ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดที่นั่น แต่ยังไงซะเจ้าหนูรายนี้ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกอยู่ดี
ไม่ว่าใครที่ได้เห็น Line-up ก็คงจะสงสัยกันว่า ทำไม Mount และ Abraham ถึงได้ลงเป็นตัวจริงก่อน Pulisic และ Giroud ที่มีประสบการณ์ในเกมระดับสูงมากกว่า
“มันจะไหวเหรอ?”
ซึ่งคำตอบนัดนี้มันก็ชัดเจนแล้วครับว่า
“มันยังเร็วไป”
ทั้งสองคนยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างในเกมระดับสูงได้ในเร็วๆนี้แน่
นอกจากจังหวะยิงติดเซฟของ De Gea 2 ครั้ง Mount นั้นแทบจะไม่มี Impact อะไรกับเกม ดูเอาแค่จังหวะเบียดกับแรชฟอร์ดที่ถึงตัวจะไม่ใหญ่ แต่ Body Build หนา
Rashford แทบไม่ต้องออกแรงมาก Mount ก็โซเซแล้ว
ชัดเจนว่านอกจากจะต้องเก็บประสบการณ์เพิ่มแล้ว Mount ควรต้องเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งกว่านี้ เพื่อรับมือกับเกมระดับสูงอีก (จริงๆมีจังหวะที่ยิงได้แต่เลือกส่งจนเกมบุกเสียด้วย แต่เอาน่ะ น้องเค้ายังเด็ก)
ส่วน Tammy ทำดีในการยิงชนเสาตอนต้นเกม แต่นอกนั้นก็ไม่ได้มีส่วนอะไรกับเกมมาก แถมยังมีส่วนในการเสียประตูที่สองอีกด้วย
ลูก 2-0 ของแมนยูนั้น เริ่มจากการที่ Abraham พยายามบังบอลเพื่อเล่นต่อ แต่สุดท้ายแพ้ความเก๋าของ Harry Maguire กองหลังสถิติโลกของแมนยู
จนสุดท้ายบอลโดนแย่งไป ส่งผลให้แมนยูได้โต้กลับและได้ประตูในทันที
จริงๆมันชวนให้คิดนะครับ ว่าถ้าจังหวะนั้น คนบังบอลเป็น Giroud ไม่ใช่ Abraham เกมมันจะออกมารูปแบบไหน
แต่ถึงยังไงก็ช่างเถอะ นัดนี้มันแสดงให้เห็นแล้วว่า การให้โอกาสดาวรุ่งเป็นสิ่งที่เป็นผลดีกับบรรดาดาวรุ่งทั้งหลาย แต่การให้โอกาสดาวรุ่งที่ไม่เคยเป็นตัวจริงให้ทีมชุดใหญ่ เป็นตัวจริงในเกมใหญ่ เป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป
ก็เหมือนกับที่มูรินโย่วิจารณ์ไว้ท้ายเกมว่า “ไม่ต้องสนอายุ คนที่สมควรได้เล่นก็จะได้ลงเล่น”
แค่นั้นเอง
3. แผงมิดฟิลด์ที่ขาดผู้สนับสนุนเกมรับ และ Kanté ผู้เป็นดั่งทุกสิ่งทุกอย่างของทีม
ในเกมนี้ไม่ใช่ว่า Barkley ที่ถูกถ่างออกไปเล่นปีกซ้าย , Kovacic และ Jorginho เล่นไม่ดีนะครับ
จริงๆแล้วสามคนนี้แทบจะเล่นดีที่สุดของทีมในวันนี้เลยล่ะ
แต่ส่วนนึงที่เห็นได้ชัดจากการเสียประตูทั้งสี่ลูกคือไม่มีกลางรับคอยสกัดบอลก่อนที่ฝั่งแมนยูจะแทงยาว หรือตักโด่งได้เลย
เว้นอยู่จังหวะเดียวที่จอร์จินโญ่เห็นอันตรายเลยยอมโดนใบเหลืองจากการสกัดหนัก จริงๆถ้าจังหวะนั้นไม่สกัด มีโอกาสสูงมากที่เกมจะจบ 5-0 (จริงๆตอนเสียลูกที่สี่ Kanté ลงมาแล้ว แต่เนื่องจากไม่ฟิตเต็มร้อย จะไปโทษแกที่ตัดบอลไม่ได้มันก็ไม่แฟร์ ที่สำคัญ ทุกคนต้องช่วยกันด้วย ไม่ใช่หวังพึ่งแกในการตัดบอลคนเดียว)
ตรงนี้ว่าไม่ได้ทั้ง Lampard และกองกลางทุกคนนะครับ
Kovacic, Barkley, Mount, Jorginho ไม่มีซักคนเลยที่เป็นตำแหน่งกลางรับธรรมชาติ
ในขณะที่กลางรับธรรมชาติคนเดียวในทีมอย่าง Kanté ก็ยังต้องเรียกความฟิตหลังอาการบาดเจ็บ
ฉะนั้นตัวโค้ชก็ต้องจัดทีมแบบไม่มีกลางรับนี่แหละ ไม่มีทางเลือก (เว้นว่าเอา Kanté ลงตัวจริง แต่สุดท้ายก็คงต้องเปลี่ยนออกทีหลังเพราะฟิตไม่เต็มที่อยู่ดี)
และเมื่อไม่มีกลางรับ ก็เป็นธรรมดาที่จะโดนยิงจากเกมสวนกลับได้ง่าย และก็แพ้ไปแบบหมดรูป
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าความพ่ายแพ้นัดเดียวมันอยู่ตรงนี้ครับ
เชลซีที่ซื้อนักเตะเพิ่มไม่ได้ มี Kanté เป็นกลางรับอาชีพเพียงคนเดียวตลอดซีซั่น
ลองคิดดูว่าถ้า Kanté เจ็บขึ้นมา
ทีมจะเป็นยังไง
ทีมที่ไม่มีกลางรับอาชีพ ไม่ว่าจะยิงได้เยอะแค่ไหน มันก็มีโอกาสเสียง่ายกว่าทีมที่มีครับ
แถมเมื่อ Kanté ลงมาแค่ไม่นานในเกมล่าสุด ยังช่วยตัดเกม และดูสำคัญกับทีมมากอีกด้วย
ฉะนั้นสำคัญมากที่ Kanté ห้ามเจ็บห้ามตายตลอดทั้งซีซัน
เป็นทุกอย่างให้เชลซีแล้วอย่างแท้จริง
ตามจริงถ้า Loftus-Cheek หายเจ็บกลับมา ความแข็งแกร่งของสรีระที่สูงใหญ่ก็น่าจะช่วย Kanté ได้บ้างนะครับ แต่ในเมื่อธรรมชาติของชีค ไม่ใช่กลางรับ ยังไงก็ไม่สำคัญกับเกมรับเท่า Kanté อยู่ดี
อีกคนนึงที่น่าจะช่วยได้ และมีเซนส์เกมรับพอสมควร คือ Bakayoko
ซึ่งส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ผมสนับสนุนให้ Lampard ขุดกลับมาใช้ที่สุด เพราะรองจาก Kanté คนที่มีคุณสมบัติกลางรับมากที่สุดในทีมก็หมอนี่แหละ แม้จะไม่ได้เป็นกลางรับจ๋าเท่าก็ตาม
จริงๆถ้าใช้ Loftus-Cheek หรือ Bakayoko ยืนคู่ Kanté ในระบบ 4-2-3-1 ได้ มันน่าจะเป็นคู่ที่ลงตัวและส่งผลดีต่อเกมรับนะครับ คนนึงคอยใช้ความเร็ว ความคล่องตัววิ่งตัดบอล อีกคนใช้ความใหญ่ แข็งแกร่ง เบียดแย่งบอลหรือบังบอลได้ แถมใช้ความแข็งแกร่ง เลี้ยงตะลุยไปข้างหน้าได้อีก
แต่ก็อย่างว่า ตอนนี้ Loftus-Cheek เจ็บ, Kanté เรียกฟิต, ส่วน Bakayoko นี่ฟอร์มไม่ดี เล่นเข้ากับทีมให้แลมพาร์ดพอใจมากพอไม่ได้ แถมมีข่าวจะโดนขายขาดหรือปล่อยยืมอยู่รอมร่อ
ณ ตอนนี้ สิ่งที่น่าสนใจเลยเป็นประเด็นที่ว่าแลมพาร์ดจะจัดแผงกองกลางอย่างไรให้กระทบต่อเกมรับน้อยที่สุดด้วยกองกลางที่มี?
หลังจากนั้น เมื่อ Kanté กลับมาจะทำยังไงให้รักษาความสดได้ตลอดทั้งฤดูกาล?
เมื่อ Loftus-Cheek กลับมาจะจัดทีมอย่างไร?
หาก Bakayoko ถูกขายก็จบไป แต่ถ้าไม่ จะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่มั้ย?
จุดนี้เราก็คงต้องตามดูกันต่อไปครับ
4. แผงหลังล่ะเอาไง ดูหลวมโพรกไม่มั่นคงเหลือเกิน หรือจะแย่ทั้งซีซัน แต่ทำให้เรารู้ว่าใครบ้างที่ควรอยู่กับทีม
ในเกมนี้สิ่งที่ชัดอีกอย่างคือแผงหลังที่ยืนตำแหน่งกันผิดพลาดและเข้าพรวด จนนำไปสู่การเสียประตูทั้งสี่ลูกครับ (ขอไม่พูดถึงความดีความชอบของ Emerson ในเกมรุกนะ ที่มีจังหวะสอดขึ้นไปสร้างโอกาสยิงได้หลายครั้ง)
จริงอยู่ที่เกมรับเสียเยอะ เพราะไม่มีกลางรับ
แต่ถ้าหลังนิ่งและมีสมาธิกว่านี้ บางทีมคงไม่เสียถึง 4 ลูก ยกตัวอย่างเช่นลูกแรกที่ซูม่าเข้าพรวดจนเสียจุดโทษ หรือลูกสองที่กองหลังยืนกันหลายคนมากๆในกรอบเขตโทษ แต่ก็ยังไม่สามารถกันลูกครอสจากริมเส้นได้ จนโดน Martial ยิงเข้าไป
เอาจริงๆแลมพาร์ดจัดตัวกองหลังได้ดีแล้วนะครับในเกมนี้ ในเมื่อไม่มี David Luiz ที่ย้ายทีมกระทันหัน และ Rudiger ที่กำลังกลับมาจากอาการบาดเจ็บ
คู่เซ็นเตอร์ที่ดีที่สุดก็คือซูม่ากับคริสเตนเซ่นนี่แหละ
เห็นกันแล้วว่า Mount กับ Abraham เป็นยังไงในเกมใหญ่นัดแรก ถ้าฝืนเอา Tomori ลง ก็ไม่น่าจะต่างกัน
แบ็คขวากัปตันทีมอย่าง Azpilicueta ยังไงก็ควรตัวจริง ถูกแล้ว
แบ็คซ้าย Emerson ก็ฟอร์มดีกว่า Alonso ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
บางทีที่เกมรับเสียเยอะอาจจะเป็นที่แท็คติกการเล่นเกมรับของตัวโค้ชเอง หรือความไม่เข้าขาที่ยังต้องฝึกอีกมาก
จุดนี้ก็เป็นการบ้านที่ Lamps ต้องไปคิดอีกเช่นเคย
ในสภาพที่เชลซีซื้อใครไม่ได้ จะไปหวังให้จู่ๆจะมีคนพัฒนาขึ้นมาจนสำคัญกับทีมเท่า Trent หรือ Robertson ของลิเวอร์พูลก็คงยาก
แต่ที่แน่ๆเลยคือซีซั่นนี้จะเป็นตัวคัดกองหลังเลยว่า ใครจะดีพอที่จะอยู่กับทีมต่อและใครควรจะต้องไป
5. Big shoes to fill, but unity is the key.
การไม่มี Eden Hazard ทำให้ประสิทธิภาพเกมรุกของทีมลดลงครับ แม้ทีมจะบุกดี แต่ยิงไม่ได้ คือถึงแม้ Hazard จะไม่ได้เล่นในเกมนี้ แต่มันก็ชวนคิดนะ ว่าสกิลการยิงที่เฉียบคม การจ่ายที่เฉียบขาด และการเลี้ยงที่ไม่เป็นสองรองใคร อาจทำให้ทีมยิงได้ และไม่จบด้วยผลพ่ายแพ้เละเทะแบบนี้ก็ได้
เช่นกันกับ David Luiz ที่แฟนเชลซีทุกคนก็คงคิดว่า ถึงมีอยู่ก็คงแพ้ 4-0 อยู่ดี แต่อย่าลืมว่าการไม่มีเจ้าตัว ทำให้มิติการออกบอลยาวจากแดนหลังหายไป ใครจะรู้ ถ้าเกมนี้มีการออกบอลยาวสวยๆ ทีมอาจจะยิงได้ก็ได้ ที่สำคัญ Luiz ยังสามารถเล่นกลางรับในระบบ 4-2-3-1 ได้รวมถึงใช้ความแข็งแกร่งสกัดบอล และออกบอลยาวช่วยทีมได้อีกแน่ะ แถมยังเป็นตัวทีเด็ด หากทีมจะเปลี่ยนแผนกลับไปใช้หลังสามเพื่อความหลากหลายด้วย
ยังไม่นับเรื่องความเฉียบคมของกองหน้าที่ยังแก้ไม่หายซะที นับจากการจากไปของ Costa
การขาดหายไปของ Killer Pass ที่จากไปที่โมนาโกพร้อมกับ Fabregas
ภาวะผู้นำที่หายไปพร้อมกับ Captain, Leader, Legend อย่าง Terry
ปัญหาเหล่านี้ ดูยังไง เชลซีก็ยากที่จะแก้ได้ทั้งหมด ด้วยผู้เล่นที่แทบจะเป็นชุดเดิมกับซีซั่นก่อน
แต่อย่างนึงที่เห็นได้ชัดเจนพอสมควรในนัดนี้คือ ความมุ่งมั่นและเป็นหนึ่งเดียวครับ
แม้จะแพ้เละ จะยืนตำแหน่งไม่เอาอ่าว แต่ทุกคนก็ยังมีใจสู้กันเต็มที่ สู้เพื่อทีม และเป็นหนึ่งเดียวกันนะครับ
และสิ่งสำคัญที่สุดในฟุตบอลก็คือใจสู้กับความเป็นหนึ่งเดียวนี่แหละ
ยกตัวอย่างง่ายๆคือ ต่อให้เชลซี 2015-16 มีประสบการณ์คว้าแชมป์ลีกมาสดๆ มีโค้ชที่แท็คติคเยี่ยม แต่เมื่อไม่เป็นหนึ่งเดียวเหมือนเก่า มีข่าวไล่โค้ชไม่เว้นแต่ละวัน และใจไม่สู้เท่าเดิม สุดท้ายก็พุ่งชนความล้มเหลวอย่างจัง
ตรงจุดนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความมุ่งมั่นและเป็นหนึ่งเดียว จะนำไปสู่พลังที่ยิ่งใหญ่ และกลบจุดด้อยของทีมให้มากที่สุดนะครับ
6. แฟนบอลยังคงร้องเพลง Super Super Frank แม้จะแพ้ 4-0
ต้องเกริ่นก่อนนะครับ ว่าแฟนบอลเชลซี ไม่ใช่กลุ่มแฟนบอลที่จะให้ใจกับใครง่ายๆ
ต่อให้คุณเริ่มต้นอย่างสุดวิเศษและพาทีมขึ้นมาเบียดลุ้นแชมป์ลีกได้อย่าง Maurizio Sarri
เมื่อทีมผลงานแย่ติดๆกัน แพ้บอร์นมัธเละเทะ 4-0 แพ้แมนซิ ถล่มทลาย 6-0
แฟนเชลซียังพร้อมที่จะร้องเพลงไล่ว่า F**k Sarriball โดนไม่นึกถึงความดีความชอบในอดีตเลย
มีไม่กี่คนนะครับ ที่จะโดนปลดอยู่รอมร่อ แฟนๆยังร้องเพลงเชียร์ อย่าง Mourinho กับ Conte
มีไม่กี่คนที่แฟนบอลจะพร้อมส่งท้ายอย่างสวยงามแบบ Hiddink
แต่ Lampard คือคนคนนั้นครับ
คนที่แฟนบอลพร้อมซัพพอร์ตตลอดเวลา
คนที่แฟนบอลรักโดยไม่มีเงื่อนไข
คนที่แฟนบอลพร้อมจะร้องเพลงเชียร์ให้ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
เชลซีได้คนแบบนี้กลับมาเป็นโค้ชแล้วนะครับ
อย่างนึงที่แน่นอนคือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แฟนบอลพร้อมที่จะ “เอาด้วย” กับ Lampard ครับ
เสียงเชียร์ที่ล้นหลาม และกำลังใจจากแฟนบอล มันน่าจะเป็นพลังบวกช่วยให้นักเตะกลับมาทำผลงานดีให้กับทีมได้
อย่างไรก็ดี หวังเป็นอย่างยิ่งนะ ว่าผลงานจะกลับมาดีต่อเนื่องได้ เพราะต่อให้แฟนๆจะรักแค่ไหน
แต่บอร์ดบริหารก็มีลิมิตนะ
ถ้าแย่ขนาดเสี่ยงตกชั้นในระยะยาว สโมสรก็คงไม่เอาไว้เหมือนกัน
และที่เลวร้ายที่สุด อาจมีแฟนบอลบางกลุ่มไล่แลมพาร์ดก็ได้
ซึ่งภาพบาดตาแบบนั้น ผมว่าไม่มีใครอยากเห็นหรอก เว้นว่าคุณอคติกับเชลซีหรือแลมพาร์ดมากเกินไป
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Super Frank จะทำได้ดีนะครับ
7. ฤดูกาลแห่งความอดทน
หากใครได้ดูรายการ Super Sunday ของ Sky Sports ในเทปของเกมนี้ (ที่มี Mourinho มาร่วมด้วย)
คงเห็นช็อตนึงที่นักวิจารณ์เห็นพ้องต้องกันว่า
นี่จะเป็นฤดูกาลแรกในยุคของโรมัน อบราโมวิชที่แฟนบอลไม่ได้คาดหวังให้ทีมเป็นแชมป์(ลีก)
ซึ่งก็จริงตามนั้นครับ
แฟนบอลรู้ดีว่าสภาพทีมไม่ดีพอ จำเป็นต้องเสริมหลายตำแหน่งเพื่อกลับมายิ่งใหญ่
แต่กลับเสริมไม่ได้เพราะโดนแบน
ฉะนั้นก็เป็นธรรมดาที่แฟนบอลจะลดความคาดหวังของตัวเองลงมาอยู่ที่การคว้า Top 4 และแชมป์บอลถ้วยก็พอ
ซึ่งแค่การลดความคาดหวังเนี่ย สำหรับแฟนๆเชลซีที่คุ้นเคยกับการเห็นทีมคว้าแชมป์ใน 11 จาก 16 ซีซั่นของยุคเสี่ยหมี ก็นับว่าต้องฝึกความอดทนมากแล้ว
ล่าสุดยังต้องมาเจอทีมโดนถล่มเละ ดาวรุ่งยังอ่อนเกินทั้งประสบการณ์และสรีระทางร่ายกาย รวมถึงมีปัญหาเยอะไปหมดในแนวรับ
ยิ่งต้องอดทนมากขึ้นไปอีก
และถึงแม้เกมนัดเดียวจะบอกไม่ได้ทั้งหมด
แต่ดูทรงแล้วมีโอกาสเหมือนกันที่แฟนเชลซีอาจจะต้องทนกับผลการแข่งขันที่ไม่เป็นใจ และปัญหาความผิดพลาดของนักเตะในทีมไปตลอดทั้งซีซั่น
แต่ส่วนตัวผมหวังว่าจะได้เห็นข้อดีจากความอดทนนี้นะครับ
การต้องอดทนน่าจะช่วยกรองแฟนเชลซีตัวจริงที่อยู่กับทีมไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ได้ และน่าจะช่วยให้แฟนๆรักทีมมากขึ้นได้
การโดนแบนเองก็น่าจะทำให้ทีมรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้
และเมื่อซีซั่นนี้และโทษแบนผ่านไปแล้ว
มีโอกาสสูงมากที่เชลซีจะเป็นสโมสรที่อบอุ่นขึ้น
สโมสรที่เต็มไปด้วยแฟนบอลและนักเตะที่รักทีม และพร้อมจะลุกขึ้นสู้ เพื่อความสำเร็จอีกครั้งอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคง
…………………
ปล. ออกตัวก่อนว่าคงไม่เขียนทุกนัดนะครับเพราะยาวมากกกก เอาเฉพาะเกมที่น่าสนใจหรือเกมเจอทีมยักษ์ใหญ่ก็พอ
ปล2. ในคืนวันพุธที่ 14 สิงหาคมนี้ เชลซี แชมป์ UEFA EUROPA LEAGUE จะมีแข่ง UEFA Super Cup กับแชมป์ UEFA CHAMPIONS LEAGUE อย่างลิเวอร์พูลนะครับ และถึงแม้เชลซีจะเป็นรองชัดเจน
ในฐานะแฟนบอลก็คงต้องภาวนาว่า “May the force be with us!” 💙
โฆษณา