15 ส.ค. 2019 เวลา 14:21 • ประวัติศาสตร์
นโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่มา : อนุสรณ์ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม. 14 กรกฎาคม 2540.
จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัย ได้แก่ สมัยที่ 1 วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2481 - 1 สิงหาคม พ.ศ.2487 และสมัยที่ 2 วันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2491 – 16 กันยายน พ.ศ.2500 ซึ่งถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานคือรวมทั้งหมดสองสมัยเกือบ 15 ปี โดยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ใช้นโยบายชาตินิยมครอบคลุมทุกด้านของประเทศทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ฯลฯ ด้วยนโยบายชาตินิยมดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการใช้ความเป็นชาตินิยมเข้าไปกำหนดรูปแบบสังคมและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมส่งผลให้เกิดการขัดต่อวิถีปฏิบัติและความศรัทธาของชาวมุสลิมที่มีอยู่เดิมจนเกิดความรุนแรงขึ้นตามมา รวมทั้งนโยบายชาตินิยมที่เน้นผลประโยชน์ในบริเวณเมืองหลวงเป็นสำคัญและเน้นการดำเนินนโยบายเรื่องเขตแดนเพื่อปลุกจิตสำนึกรักชาติให้เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งการใช้นโยบายชาตินิยมในทางสังคมและวัฒนธรรมของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาหรือความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้มาจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถยกตัวอย่างนโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมได้ดังต่อไปนี้
1. การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติและส่งเสริมการนับถือพุทธศาสนา จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ให้ความสนใจและสนับสนุนงานด้านการทำนุบำรุงพุทธศาสนาโดยให้กรมศาสนาเป็นหน่วยงานดำเนินการ เช่น พ.ศ.2492 ดำเนินการจัดสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ขึ้นที่บริเวณมุมหนึ่งของทุ่งพญาไท การส่งคณะผู้แทนพุทธศาสนิกชนไทยเข้าร่วมการประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก การจัดคณะผู้แทนพุทธศาสนิกชนชาวไทยไปร่วมงานฉลองพุทธชยันตีที่ประเทศพม่าและญี่ปุ่น การจัดตั้งหน่วยวิจัยพระพุทธศาสนาขึ้น การแปลพระไตรปิฎกออกเป็นภาษาไทยฉบับสมบูรณ์ เป็นต้น
2. การใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดกแทนกฎหมายอิสลาม โดยไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และดาโต๊ะยุติธรรมที่กำหนดให้เลือกตั้งจังหวัดละ 2 คนไม่ได้รับความนิยมจาก ประชาชน ซึ่งการปรึกษาคดีเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกยังคงเป็นไปนอกอำนาจของสถาบันศาลไทย ทั้งนี้อิสลามจะแสวงหาผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงเพื่อขอคำปรึกษาและแนะนำตามรูปแบบธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
3. การกำหนดการแต่งกายแบบสุภาพชนที่ต้องสวมหมวก ใส่ถุงเท้าและรองเท้า รวมถึงห้ามสวมโสร่งและห้ามใช้ผ้าคลุมศีรษะ ซึ่งการกำหนดการแต่งกายแบบสุภาพชนปรากฏอยู่ในรัฐนิยมฉบับที่ 10 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย กล่าวว่า ชนชาติไทยไม่พึงประกฎตัวในที่ชุมนุมชนหรือสาธารณสถานในเขตเทศบาล โดยไม่แต่งกายให้เรียบร้อย เช่น นุ่งแต่กางเกงชั้นใน หรือไม่สวมเสื้อ หรือนุ่งผ้าลอยชาย เป็นต้น
4. การเปลี่ยนชื่อนามสกุลให้เป็นแบบไทย ซึ่งมีการเรียกแยกคนไทยว่าไทยเหนือ ไทยใต้นั้น ควรใช้คำว่าไทยโดยไม่แบ่งแยก เช่น เป็นคำไทยสามัญ (เข็ม เงิน ฯลฯ) เป็นคำศัพท์สามัญ (จินดา ฉันท์ ชัย เดช ฯลฯ) เป็นคำที่เก็บรวบรวมไว้ในนามานุกรม เป็นต้น
5. การให้เรียนและสื่อสารด้วยภาษาไทย การห้ามใช้ภาษามลายูในการติดต่อราชการ และการห้ามเรียนคัมภีร์อัลกุรอ่าน โดยการให้เรียนและสื่อสารด้วยภาษาไทยปรากฏในรัฐนิยมฉบับที่ 9 เรื่องภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ยกเลิกการเรียนภาษามลายูในโรงเรียนชั้นประถม ห้ามนำหนังสือจากมาเลเซียมาสอนในโรงเรียน และอพยพชาวไทยพุทธจากภาคอื่นเข้าไปตั้งถิ่นฐานและพยายามอบรมเยาวชนในโรงเรียนว่าเป็นคนไทย แต่นับถือศาสนาอิสลาม
นโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านี้ของจอมพล ป. พิบูลสงครามมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดและมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน ทำให้ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาล เพราะการถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพที่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ดังปรากฏในงานเขียนของอิมรอน มะลูลีม (2538 : 141) ว่า
“เรื่องที่ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้สึกเดือดร้อนที่สุดก็คือ การที่รัฐบาลไทยมาควบคุมชีวิตประจำวันมากขึ้น ภาษา ศาสนา และคุณค่าทางวัฒนธรรมของพวกเขาได้ตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลมากขึ้น และรัฐนั้นมีคนที่เป็น “กาเฟร” ครอบครองอยู่ ยิ่งกว่านั้นการต้องสูญเสียการปกครองตนเองไปก็มีความหมายเป็นพิเศษแก่ชาวไทยมาเลย์ ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายอิสลาม ดังนั้น การสูญเสียการปกครองตนเองไป และการที่กฎหมายศาสนาถูกแทนที่ด้วยกฎหมายทางโลก จึงทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกว่าตนไม่ได้ทำหน้าที่ทางศาสนาซึ่งตนควรจะทำ...การต่อต้านการปกครองของไทยตั้งแต่ต้นนั้น มีมาในรูปแบบของการลุกฮือเรื่องศาสนา โดยพยายามจะปลดปล่อยอำนาจทางการเมืองของต่างชาติ (ไทย) ออกไปจากอาณาบริเวณนั้น...”
เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไขและปรับความเข้าใจกันได้ด้วยบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ต่างฝ่ายต่างต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันเลวร้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
แหล่งข้อมูล :
1.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์. จอมพล ป. พิบูลสงครามกับการเมืองไทยสมัยใหม่. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2544.
2.ชาญวิทย์ แพงแก้ว. จอมพลผู้พลิกวัธนธัม. กรุงเทพฯ : ฐานบุ๊คส์, 2553.
3.ธงชัย วินิจจะกูล. กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ. กรุงเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟร่วมกับสำนักพิมพ์อ่าน, 2556.
4.มูลนิธิจอมพล ป. พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม.จอมพล ป. พิบูลสงคราม ครบรอบ ศตวรรษ 14 กรกฎาคม 2540 / มูลนิธิจอมพล ป. พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ, 2540.
5.การดำเนินการของรัฐ. เข้าถึงได้จาก : http://www.thaiheritage.net/nation/situation/border_r6.htm / สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2561.
6.ความรุนแรงและความตายภายใต้นโยบายรัฐ : กรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. เข้าถึงได้จาก : http://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/
Article12.htm / สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2561.
7.สถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้. เข้าถึงได้จาก : http://www.fpps.or.th/news.php?detail=n1149477695.news / สืบค้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2561.
โฆษณา