16 ส.ค. 2019 เวลา 11:00 • กีฬา
"จับให้ได้ถ้านายแน่จริง"
10 กว่าปีก่อนมีหนังดังเรื่อง Catch me if you can เป็นชีวิตจริงของ แฟรงค์ อบาเนล นักต้มตุ๋นระดับเทพ
มันเคยมีหนังสือออกมาก่อนแล้ว แฟรงค์ อบาเนล ตัวจริงเขียนเล่าถึงชีวิตการเป็นนักต้มตุ๋นระดับเทพของเขาตั้งแต่เด็ก จนโดนจับติดคุก และออกมาใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองช่วยเหลือรัฐบาล
ในโลกลูกหนัง ก็มี แฟรงค์ อบาเนล อยู่เหมือนกัน
อยู่ในเส้นทางฟุตบอลอาชีพ 26 ปี แต่แทบไม่ได้หวดบอลเลย
คาร์ลอส เอ็นริเก้ ราโปโซ่ หรือ คาร์ลอส ไกเซอร์
ในปี 1979 สโมสรในเม็กซิโกอย่าง ปวยบลา มาเห็นแววเด็กหนุ่ม คาร์ลอส ในวัย 16 ปีเข้าระหว่างการซ้อมหนหนึ่ง
เขาเซ็นสัญญากับ ปวยบลา แต่สุดท้ายไม่สามารถทะลุขึ้นมาลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ได้เลย ทำให้ในที่สุดปวยบลาก็ปล่อยตัวออกจากสโมสร
เขาเดินทางกลับบราซิล หนนี้เอง เขาเริ่มชีวิต "นักเตะกำมะลอ" อย่างจริงจัง
"ไกเซอร์" ทำความรู้จัก และได้สนิทกับนักเตะชั้นยอดหลายราย ที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้ แนะนำชื่อ คาร์ลอส ไกเซอร์ ให้กับสโมสรต่างๆ
นักเตะดังที่เขาตีซี้ด้วยนี่ ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่ถึงขึ้น คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ตอร์เรส กัปตันทีมชาติบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1970 (ล่วงลับเมื่อปี 2016), ริคาร์โด้ โรช่า, เรนาโต้ เกาโช่ เป็นต้น
ทีนี้แหละ เขาเลือกเซ็นสัญญากับสโมสรต่างๆ ด้วยสัญญาระยะสั้น โดยอ้างว่าช่วงแรกเขายังไม่พร้อมที่จะลงสนามได้ในทันที เพราะขาดเรื่องแม็ทช์ฟิตเนส ทำนองห่างหายเกมจริงไปนาน
ด้วยวิธีนี้เขาเลยได้แยกตัวมาซ้อมเรียกความฟิตกับโค้ชฟิตเนส ขณะที่เพื่อนร่วมทีมลงซ้อมทีม
เขาทำได้ดีในระหว่างการซ้อมเรียกความฟิต แต่เมื่อไหร่ที่ใกล้ๆ จะถึงวันแข่ง ต้องซ้อมร่วมกับทีม เขาจะแกล้งเจ็บทันที
ต้องบอกว่าสมัยนั้น คือปลายยุค 70s ต่อต้น 80s เทคโนโลยีด้านการตรวจอาการเจ็บต่างๆ ยังไม่ดีเหมือนสมัยนี้ เลยไม่มีใครจับได้ อีกทั้งการที่สโมสรได้รับคำรับรอง และแนะนำจากนักเตะเก่งๆ ที่เขาไปตีซี้ไว้ ทำให้เขาไม่เป็นที่สงสัย
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสนิทกับนักข่าวกีฬาอยู่ด้วย เลยรวมหัวกันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับตัวเขาในแง่บวก หรือตีข่าวผลงานเยี่ยมๆ ของเขา ถึงขนาดตีข่าวว่าเขาได้รับสัญชาติเม็กซิกัน และได้รับการเรัยกตัวไปติดทีมชาติเม็กซิโกด้วย
แท็คติกของเขายังก้าวหน้าไปอีกขั้น เขาจะมีโทรศัพท์มือถือของปลอม สมัยนั้นมือถืออันใหญ่ และราคาโคตรแพง แล้วเขาจะแกล้งพูดโทรศัพท์เป็นภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่สโสรต่างๆ รู้สึกว่าเขามีหลายทีมกำลังตามจีบอยู่
ปกติประเทศบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกส คนที่นั่นใช้ภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย นี่เรื่องจริง กระทั่งทุกวันนี้คนพูดอังกฤษได้เผลอๆ จะน้อยกว่าคนไทยด้วยซ้ำ แล้วลองนึกว่าเป็น 30 กว่าปีก่อนสิ
อย่างไรก็ตาม แท็คติกนี้ก็เคยโดนจับได้เหมือนกันตอนเขาเซ็นกับ โบตาโฟโก้ ทีมดังในริโอ เด จาเนโร แล้วก็ใช้โทรศัพท์ปลอมพูดภาษาอังกฤษไปเรื่อย กะว่าไม่มีใครฟังรู้เรื่อง แต่บังเอิญ แพทย์ประจำสโมสรเก่งภาษาอังกฤษ เลยฟังออกว่ามั่ว แล้วก็โป๊ะแตก
เขาเคยมาค้าแข้งในฝรั่งเศสกับ กาเซแล็ก อฌักซิโอ้ ด้วย ความแพรวพราวของเขาตอนเปิดตัวมีแฟนบอลมาดูกันเยอะ กลัวโดนจับได้ว่าไม่เก่งจริง แทนที่จะโชว์สกิลสวยๆ เขาเลือกเตะบอลวางอยู่หลายลูกใส่กลุ่มคนดู ทำนองเตะบอลแจก แล้วก็จับตราสโมสรขึ้นมาจูบ แค่นี้ก็ซื้อใจแฟนๆ ได้แล้ว
กับ กาเซแล็ก อฌักซิโอ้ เขาได้ลงสนามจริงๆ แม้ว่าจะไม่กี่นัดก็ตาม แต่คงจะเล่นได้แย่จริงๆ เพราะไม่นานก็โดนปล่อยตัวออกมาอีก
เมื่อเขาอำลา กาเซแล็ก อฌักซิโอ้ แล้วก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนนักข่าวของเขาที่จะตีพิมพ์ว่า เขาเล่นในฝรั่งเศสถึง 8 ฤดูกาลและประสบความสำเร็จเสียด้วย ถึงขนาดเป็นดาวซัลโว
กลับจากฝรั่งเศส เขาเซ็นสัญญากับ บังกู อัตเลติโก้ อีกหนึ่งทีมในริโอ แล้วใช้วิธีการแกล้งเจ็บเดิมๆ แต่หนนี้ บังกู มีผู้สนับสนุนหรือป๋า แทบจะเรียกว่าเป็นเจ้าของสโมสรกลายๆ อย่าง คาสตอร์ จี อันดราดี เจ้าพ่อแห่งริโอ เด จาเนโร ถ้าเทียบบ้านเราคือเจ้าพ่อบ่อนพนันผิดกฏหมายที่ใหญ่ที่สุด
คาสตอร์ ทนไม่ไหว สั่งให้ทีมหาทางส่งนักเตะที่ว่าเก่งๆ คนนี้ลงสนามเสียที นี่คือจุดที่ คาร์ลอส ไกเซอร์ เจอความกดดันที่สุดในชีวิตนักเตะกำมะลอ ของเขา
ทีมกำลังตาม 0-2 เขาโดนโค้ชสั่งไปวอร์ม อัพ ระหว่างนั้นเขาก็คิดหาทางออกไปเรื่อย แล้วไอเดียก็บังเกิดเมื่อมีแฟนบอลบางคนตะโกนด่าเขา เขารีบปรี่เข้าไปชกต่อยทันที กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ผู้ตัดสินปรี่มาแจกใบแดงให้เขาทันที เขาไม่ต้องลงเล่นแล้ว โดนต่อย โดนใบแดงดีกว่าเยอะ
เขากล้าที่จะหลอกใครต่อใครว่าตัวเองเป็นมิดฟิลด์คนดังอย่าง คาร์ลอส เอ็นริเก้ แข้งอินเดเปนเดียนเต้ เจ้าของแชมป์โกปา ลิเบร์ตาโดเรส ปี 1984
หลอกคนคุมคลับว่าเขาเป็น เรนาโต้ เกาโช่ ซึ่งรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกันมาก แถบเกิดปีเดียวกันอีก จน เรนาโต้ เกาโช่ ตัวจริงมายังโดนการ์ดห้าม บอกว่า ตัวจริงเขามาตั้งนานแล้ว เอ็งอย่ามามั่ว
แม้จะเป็นจอมหลอกลวง แต่เขาไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายอะไร คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ผู้ล่วงลับบอกว่า เขาจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ทำให้เพือนนักเตะมีความฝัน นั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าไปที่ไหนทุกคนก็รักเขา
เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านการพูดปลุกใจ ให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม ในภายหลัง วาสโก ดา กาม่า เซ็นเขาเข้ามาเพื่อช่วยนักเตะที่ติดเหล้า เพราะเขาเป็นคนดีและไม่นิยมดื่มเหล้า
เขามีรูปร่าง ทรงผม ท่าทาง เหมือนนักฟุตบอลอาชีพ มีออร่าโดยธรรมชาติ และคารมดี
เบเบโต้ เคยบอกว่า เขาคุยเก่ง พูดเก่งมาก ถ้าคุณปล่อยให้เขาอ้าปากพูดเมื่อไหร่ นั่นแหละ เขาจะดึงดูดคุณ คุณหนีไม่พ้นเลย หลงเสน่ห์เขาเต็มๆ
คาร์ลอส ไกเซอร์ เคยบอกว่า "Life is marketing" ชีวิตคือการโฆษณาตัวเอง
เมื่อมองคุณสมบัติและวิธีคิดของเขา ไม่แปลกใจเลยทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จบนเส้นทาง "นักฟุตบอล" ของเขาตลอด 26 ปี แม้ว่าจะไม่เคยเตะบอลเลยสักครั้งเดียวก็ตาม
--------
ปัจจุบัน ในวัย 56 ปี คาร์ลอส ไกเซอร์ มีอาชีพเป็นเทรนเนอร์ฟิตเนสให้กับผู้หญิง ซึ่งก็น่าจะเหมาะกับเขาอยู่ ยังดูแลตัวเองได้ดี โดยเฉพาะผมหยักศกยาวเคลียไหล่ ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็น อาภรที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา
ปี 2018 ชีวิตของ คาร์ลอส ไกเซอร์ ถูกทำเป็นภาพยนต์ด้วย ใช้ชื่อว่า ไกเซอร์ : นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้ไม่เคยเล่นฟุตบอล
Kaiser: The Greatest Footballer Never to Play Football
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา