17 ส.ค. 2019 เวลา 04:21 • การศึกษา
Primary and Secondary Beam Modelling
การจำลองโครงสร้างสำหรับการวิเคราะห์นั้นทำกันหลากหลายมาก​ โดยเฉพาะเมื่อกราฟฟิคเริ่มดีขึ้น​ คนเริ่มมองไปที่รูป​ 3D เป็นหลัก​ จนลืมพื้นฐานกันไปหมด​ ขอเพียงแค่รูป​ 3D​ เหมือนจริง​ จนไม่สนใจว่าทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ผมเลยมีคำถามให้คิด​ ถ้ามี​ Primary​ Beam​ ตัดกับ​ Secondary​ Beam​ โดย​ Primary​ Beam​ ลึกกว่า​ แต่มี​ระดับ​ Top of Steel เท่ากัน​ เราควรจำลองโครงสร้าง​อย่างไร​? มีให้เลือ​ก​ 3 แบบตามรูป​ โดยสมมติว่าจุดต่อถ่ายโมเม้นต์​ข้ามระหว่างฝั่งได้นะครับ​ (ไม่ต้องสนใจ​ Bolt ในรูป)
A) เอา​ Node ไว้ที่​ Top of Steel ทั้ง​ Primary และ​ Secondary​ แล้ว​ ใส่​ Member Offset หรือสร้าง​ Rigid​ Link​ เพื่อกดระดับของคานลงมาให้ Top​ of Beam อยู่ที่​ ระดับ​ Top of Steel (หรือคือการกดเมมเบอร์​ลงมาที่​ NA)​ แบบนี้มีคนจำนวนมากทำกัน​ เพราะกดดูระดับ​ Node ในโมเดลจะตรงกับระดับในแบบก่อสร้างทันที​ ทำให้ไม่งง
B) เอา​ Node ไว้ระดับ​ NA ของ​ Primary​ Beam (หรืออาจจะไว้ที่​ NA​ ของ​ Secondary​ Beam) แบบนี้เมมเบอร์​ของ​ Primary​ จะอยู่ที่ระดับ​ Node พอดี​ แต่เมมเบอร์​ของ​ Secondary​ จะอยู่ต่ำเกินไป​ จึงต้องยกขึ้น​ ให้ระดับ​ Top​ of Steel อยู่ระดับเดียวกับ​ Primary​Beam​ แล้วสร้าง​ Member Offset หรือ​ Rigid​ Link​ เชื่อมเอาไว้​ แบบนี้ถ้าดูระดับ​ Node จะไม่ตรงกับระดับ​ Top​ of Steel ในแบบก่อสร้าง​ แต่จะอยู่ต่ำลงมาเท่ากับครึ่ง​หนึ่งของความลึกคาน​ แบบนี้ก็มีคนทำเยอะ
C) ใช้ระดับ​ Node ของ​ Primary และ​ Secondary Beam​ ต่างกัน​ ต่่างคนต่่างอยู่ที่​ NA​ ของตัวเอง​ ดังนั้นระดับเมมเบอร์​จะอยู่ที่​ NA​ พอดี​ และ​ Top of Steel จะอยู่ที่เดียวกันพอดี​ แต่ปัญหา​คือที่จุดต่อ​ จะมี​ 2 Nodes แล้วอยู่กันคนละระดับ​ จะต้องสร้าง​ Member Offset หรือ​ Rigid​ Link​ เชื่อมเอาไว้​ แบบนี้ไม่ค่อยมีคนทำ​ เพราะวุ่นวาย
เรามาวิเคราะห์​ปัญหา​กัน​ การที่คานต่างความลึก​ แต่มี​ Top of Steel อยู่ที่เดียวกัน​ การจำลอง​โครงสร้าง​แต่ละแบบจะต่างกันยังไง​ โดยผมยกมาให้ดู​3 แบบ​ ที่คนทำกันเยอะๆ​
โดย​ Rigid​ Offset / Member Offset / Rigid Link ในความหมายในที่นี้คือ​ มันต้องสามารถจะถ่ายได้ทั้งแรงแต่ละแกนและโมเมนต์​ ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้กันในโมเดลทั่วๆ​ ไป​ (อย่าเอา​ไปปนกับ​ Master-Slave Technique ที่ถ่ายแต่แรง​ 3 แกน​ ไม่ถ่ายโมเมนต์)
การจะเข้าใจ​ Beam​ ที่ใช้ Rigid​ Offset ในตั้งฉากกับคาน​ หรือ​แค่ยกคานขึ้นลงให้ได้ระดับที่ต้องการ​  จะต้องทำความเข้าใจกับ​ Portal Frame​ ก่อน​ เนื่องจากมันเป็นเรื่องเดียวกัน​
จะเห็น Portal Frame มี​ Uniform Load ข้างบน​ จะเห็นว่า​ ต่อให้มีแต่แรงกระทำแนวดิ่ง​ ก็จะเกิดแรงถีบด้านข้างที่จุดรองรับ
ถ้าเราสมมติว่า​ เมมเบอร์​แนวนอนคือ​ คาน​ เมมเบอร์​แนวดิ่งสองฝั่งถ้าเราให้​ Stiffness​ สูงมาก​ มันก็จะเหมือน​ Rigid​ Offset ที่ช่วยยกเมมเบอร์​แนวนอน​ จากจุดรองรับที่เป็น​ Node ที่เราโมเดล​ ขึ้นไปหา​ NA​ ของคานที่ต้องการ​ ซึ่งจะพบว่าเกิดแรงถีบที่​ Node เสมอ​ และจะมีโมเมนต์​ที่ปลายคานที่ต่อกับ​ Rigid​ Offset
เรามาดูวิธีการโมเดลแต่ละแบบว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วิธี​ A เอา​ Node ไว้ที่​ Top of Steel (TOS) แล้ว​ Offset เมมเบอร์​ลงไปตำแหน่ง​ NA​ ของคานแต่ละตัว​
ทำแบบนี้จะเกิดแรงแนวแกนทั้ง​ Primary​ และ​ Secondary​ Beam​ และเกิด​ End​ Moment​ ที่ปลายคาน​ ต่อให้มันเป็นคานตัวสุดท้ายของสแปนก็ตาม
และถ้า​ Secondary​ มีแค่ฝั่งเดียวของ​ Primary​ แรงถีบจากคานรองจะกลายเป็นแรงด้านข้างในคานหลักทันที​ แถมอยู่ที่​ TOS ด้วย​ ทำให้มี​ Torsion เพิ่มอีกด้วย
แรงถีบจะเกิดมาหรือน้อยขึ้นกับ​ Stiffness ของ​โครงสร้างรอบๆ​ ยิ่งแข็งมาก​ แรงถีบยิ่งเยอะ
วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ควรทำที่สุด​ เพราะเกิดแรงที่ไม่สมเหตุสมผล​ในโมเดล​ ทำให้ได้ขนาดโครงสร้างที่ใหญ่เกินไป
วิธี​ B เอา​ Node ไว้ที่​ NA ของ​ Primary​ Beam​ แล้ว​ใช้​ Rigid​ Offset กับ​ Secondary​ Beam​ ขึ้นไปที่ตำแหน่ง​ NA
วิธีนี้จะดีกว่าวิธี​ A​ เพราะแรงแนวแกนในเมมเบอร์​และโมเมนต์​ที่สแปนสุดท้าย​ (ยกเว้นสแปนสุดท้ายเป็น​ Fixed End) ของ​ Primary​ Beam​ จะหายไป
แต่จะยังมีปัญหา​แรงแนวแกนและโมเมนต์​ที่สแปนสุดท้ายของคานรองจากผลของ​ Rigid​ Offset ถึงแม้ว่าจะใช้จุดต่อสุดท้ายของสแปนคานรองเป็น​ pinned ก็ยังเกิดโมเมนต์ปลายคาน​ เพราะจุด​ pinned เป็นปลาย​ Rigid​ Offset ไม่ใช่ปลายคาน​ อาจจะต้องแก้ด้วยการปลดโมเมนต์​ปลายคานช่วย
และปัญหาเดิม​ คือถ้ามีึคานรองฝั่งเดียว​ มันจะเกิดแรงด้านข้างในคานหลักทันที​ แต่ดีหน่อยที่มันเกิดที่​ NA​ ของคานหลัก​ จึงไม่กลายเป็น​ Torsion
ผมแนะนำว่าควรทำวิธีนี้​ เพราะใช้จุดต่อระดับเดียวกัน​ ลดความวุ่นวาย​ แต่ควรจะดูรายละเอียดในบริเวณที่มีคานรองฝั่งเดียว​ ถ้าเกิด​ Moment​ ใน​ Minor Axis อาจจะสามารถยกเว้นไม่พิจารณา​ได้
วิธี​ C​ วาง​ Node ไว้ที่​ NA ของใครของมันเลย​
เป็นวิธีที่ดีที่สุด​ และก็วุ่นวายที่สุด​ เนื่ิองจากแรงในแนวแกน​จะหายไป​ และโมเมนต์​ที่ปลายคานสแปนสุดท้ายก็ไม่เกิด
แต่ปัญหาจะตามมาทันที​ เพราะที่​ Floor เดียวกัน​ อาจจะมี​ Node อยู่หลายระดับ​ ยิ่งใช้คานต่างขนาด​ ยิ่งมีระดับของ​ Node มากขึ้น
นี่เราเพิ่งพิจารณา​เพียงแค่ผลของแรงแนวดิ่ง​ ถ้ามีแรงด้านข้างเข้ามาด้วย​ การที่โมเดลโครงสร้าง​ไม่อยู่ที่​ NA​ เวลาใส่แรงที่​ Node เข้ามา​ มันจึงเกิด​ Torsion ในคานโครงสร้างได้​ ทั้งที่มันไม่ควรมี
การโมเดล​ Plate​ หรือ​ Slab เข้าไปโดยใช้จุดต่อที่อยู่​ที่​NA​ ของคาน​ แล้ว​ใส่​ Offset ให้​ Plate/Slab ให้ขึ้นไปอยู่ระดับตามแบบ ก็เป็นกรณีเดียวกัน​ ที่จะทำให้เกิดแรงด้่านขึ้นในคาน​ ทั้งที่มีแต่แรงแนวดิ่ง
การจะจำลองโครงสร้าง​นั้นไม่มีผิดไม่มีถูก​ มีแต่ใกล้เคียงหรือไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง​ ดังนั้นการที่จะจำลองแต่ละวิธีควรที่จะต้องเข้าใจว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง​ มากกว่าจะดูเพียงรูป​สามมิติว่ามีความสวยงามเหมือนจริง​ รูปสามมิติเหมือนจริงไม่ได้การันตีได้ว่ามีึความถูกต้อง​ แต่แรงภายในที่เกิดขึ้นในโครงสร้าง​เป็นสิ่งที่วิศวกรควรให้ความใส่ใจมากกว่า
โฆษณา