A) เอา Node ไว้ที่ Top of Steel ทั้ง Primary และ Secondary แล้ว ใส่ Member Offset หรือสร้าง Rigid Link เพื่อกดระดับของคานลงมาให้ Top of Beam อยู่ที่ ระดับ Top of Steel (หรือคือการกดเมมเบอร์ลงมาที่ NA) แบบนี้มีคนจำนวนมากทำกัน เพราะกดดูระดับ Node ในโมเดลจะตรงกับระดับในแบบก่อสร้างทันที ทำให้ไม่งง
B) เอา Node ไว้ระดับ NA ของ Primary Beam (หรืออาจจะไว้ที่ NA ของ Secondary Beam) แบบนี้เมมเบอร์ของ Primary จะอยู่ที่ระดับ Node พอดี แต่เมมเบอร์ของ Secondary จะอยู่ต่ำเกินไป จึงต้องยกขึ้น ให้ระดับ Top of Steel อยู่ระดับเดียวกับ PrimaryBeam แล้วสร้าง Member Offset หรือ Rigid Link เชื่อมเอาไว้ แบบนี้ถ้าดูระดับ Node จะไม่ตรงกับระดับ Top of Steel ในแบบก่อสร้าง แต่จะอยู่ต่ำลงมาเท่ากับครึ่งหนึ่งของความลึกคาน แบบนี้ก็มีคนทำเยอะ
C) ใช้ระดับ Node ของ Primary และ Secondary Beam ต่างกัน ต่่างคนต่่างอยู่ที่ NA ของตัวเอง ดังนั้นระดับเมมเบอร์จะอยู่ที่ NA พอดี และ Top of Steel จะอยู่ที่เดียวกันพอดี แต่ปัญหาคือที่จุดต่อ จะมี 2 Nodes แล้วอยู่กันคนละระดับ จะต้องสร้าง Member Offset หรือ Rigid Link เชื่อมเอาไว้ แบบนี้ไม่ค่อยมีคนทำ เพราะวุ่นวาย
เรามาวิเคราะห์ปัญหากัน การที่คานต่างความลึก แต่มี Top of Steel อยู่ที่เดียวกัน การจำลองโครงสร้างแต่ละแบบจะต่างกันยังไง โดยผมยกมาให้ดู3 แบบ ที่คนทำกันเยอะๆ
โดย Rigid Offset / Member Offset / Rigid Link ในความหมายในที่นี้คือ มันต้องสามารถจะถ่ายได้ทั้งแรงแต่ละแกนและโมเมนต์ ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้กันในโมเดลทั่วๆ ไป (อย่าเอาไปปนกับ Master-Slave Technique ที่ถ่ายแต่แรง 3 แกน ไม่ถ่ายโมเมนต์)