18 ส.ค. 2019 เวลา 08:36 • ไลฟ์สไตล์
~ เส้นทางของคนใจถึง ~
วนเวียนกับเรื่องสั้นมาพอสมควร เห็นหมู่มิตรและสหายใน BD วาดอักษรผ่านปลายนิ้วแล้ว เกิดอยากจะเอาบ้าง เลยมาแจมด้วยในแบบ Non-Fiction ด้วยดีกว่า
จากข่าวในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา หรือแม้แต่หินที่ถูกโยนมาบอกทางที่มีทั้งก้อนเล็กพอจะสะกิดให้รู้สึก หรือหินก้อนใหญ่ที่ทำให้จุกได้ ที่เกี่ยวกับการลดขนาดขององค์กร หรือเลิกจ้างพนักงาน เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หายใจติดๆ ขัดขัด หรือแม้แต่จะเป็นด้วยสาเหตุของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาททำงานทดแทนคนก็ตาม
ทำให้ต้องกลับมานั่งทบทวนว่าแล้วอนาคตต่อไปในหน้าที่การงานสำหรับพนักงาน หรือการดำเนินธุรกิจสำหรับเจ้าของกิจการ จะดำเนินไปในทิศทางใด
สำหรับเจ้าของธุรกิจเองคงตอบไม่ได้ว่าปัจจัยเรื่องคนหรือทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจสำหรับแนวคิดปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนส่วนให้เป็นการผลิตสินค้า แต่ต้นทุนที่น้อยกว่าทางด้านทรัพยากรมนุษย์นี่ซิ อาจจะเป็นหยดน้ำผึ้งที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ในภาพใหญ่ ยิ่งเป็นอุตสาหกรรมทางด้านการให้บริการทุกประเภทด้วยแล้ว คน เป็นปัจจัยหลักและเป็นต้นทุนทางตรงที่จะทำให้องค์กรมีกำไรหรือขาดทุนได้
จากปัจจัยต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมา ย่อมทำให้ธุรกิจเกิดการหยุดชะงัก (Disruption) ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุง (Innovation) และเกิดการปฏิรูป (Transformation) ถ้าไม่ไหวก็ต้องพลิกดินเปลี่ยนฟ้า (Revolution) ถ้าไปต่อไม่ได้ก็ต้องโบกมือลา (Close Down)
เป็นไปได้ทั้งนั้นหาก
- บริษัทที่ติดลมบนแล้วแต่มีอัตตราเติบโตแบบถดถอยโดยยังพอรับได้ ก็ปล่อยไปตามลมซะ เดี๋ยวมันก็ดีเอง ปัญหาในองค์กรมึนๆ ไป เดี๋ยวก็ผ่านไปได้ พนักงานก็ให้อยู่กันไปอยู่ได้ก็ไปต่อ
.
- พนักงานก็สนองความตั้งใจขององค์กร ก็ร่วมกันอยู่ไปอย่างนั้น กอดคอไปด้วยกัน เดี๋ยวมันก็ไปได้
คิดดีแต่ดันติดลบ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากองค์กรแบกรับภาระถึงเส้นที่ไม่มีพื้นที่ที่จะถอยอีกแล้ว ประกอบกับการวิเคราะห์โครงการและสถานการณ์ความเสี่ยงที่ให้ผลไปในทางเดียวกันคือ เป็นลบ (Negative)
แน่นอนที่สุด คงต้องมีการขยับต้วจากองค์กรหรือบริษัทต่างๆ เพื่อให้เกิดความอยู่รอดอย่างแน่นอน
.
หลายบริษัทลดชั่วโมงการทำงาน
.
หลายบริษัทลดพนักงาน
.
หลายบริษัทปิดกิจการ
.
และ หลายบริษัทยินดีที่จะให้ระดับหัวหน้าหลัก (Principal) ออกไปพักผ่อน และเลือกที่จะหาคนที่อาวุโสน้อยกว่ามาทำหน้าที่แทน
“ จากข้อมูลที่แบ่งกลุ่มอายุจะสามารถจำแนกได้ดังนี้
.
กลุ่ม 1 ยุคก่อนสงครามโลก (Greatest Gen) เกิดช่วงปี 2444-2467 (อายุ 93-116 ปี)
.
กลุ่ม 2 ยุคระหว่างสงครามโลก (Silent Gen) เกิดช่วงปี 2468-2488 (อายุ 72-92 ปี)
.
กลุ่ม 3 ยุคสิ้นสุดสงครามโลก มีลูกมาก (Baby Boomer) เกิดช่วงปี 2489-2507(อายุ 53-71 ปี)
.
กลุ่ม 4 ยุคที่มีการควบคุมอัตราการเกิด (Gen X) เกิดช่วงปี 2508-2522 (อายุ 38-52 ปี)
.
กลุ่ม 5 ยุคการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Gen Y) เกิดช่วงปี 2523-2540 (อายุ 20-37 ปี)
.
กลุ่ม 6 ยุคเติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีและพ่อแม่ทำงานนอกบ้าน (Gen Z) เกิดตั้งแต่ปี 2541 ขึ้นไป (อายุน้อยกว่า 20 ปี)
.
ข้อมูลนี้อ้างอิงจาก;
คนกลุ่มที่ 1 คงไม่น่ามีผลอะไรมาก
.
คนที่น่าให้ความสนใจคือคนกลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 2 ช่วงต้นถึงกลาง ซึ่งยังคงอยู่ในวงจรการทำงานอยู่ และถ้าบริษัทจะปรับองค์กร หรือเลือกที่จะปลดคนออก บริษัทจะมีแนวทางอย่างไร
.
เหมือนกับเครื่องบินที่มีเครื่องใบพัดที่เสียหายไปจนน้ำหนักเกิน
.
แน่นนอนที่สุด โดยธรรมชาติแล้วเรามักจะเลือกสิ่งที่เป็นปัญหาและเป็นภาระ ที่มีน้ำหนักเกินเป็นอันดับแรก
กลุ่มที่ 5 ยุคการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Gen-Y)
.
เป็นกลุ่มที่กำลังโลดแล่น มีศักยภาพในการทำอะไรได้หลายด้าน สำคัญที่เป้าหมาย การประคองตัวและการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และระวังจะไหลตามอารมณ์จนก่อหนี้ที่เป็นภาระ
.
สิ่งที่ต้องระวังก็คือกรอบแนวความคิด ปรับแนวความคิดให้ออกจากกรอบเดิม หนักให้เอา เบาให้สู้ อายุไม่ใช่สิ่งรับประกันให้ตัวเองก้าวหน้าไปเองได้ อยู่ไปหายใจไปต้องให้มีประโยชน์ในการพัฒนาให้ตนเองเติบโตได้อย่างสง่างาม
.
กลุ่มนี้อาจจะอยู่บนเครื่องบินต่อได้ถ้าหากรู้จักหยิบจับ เป็นลูกมือในการช่วยเหลือกัปตัน หรือเลือกที่จะนั่งสงบเสงี่ยมก็ยังไปได้ แต่ถ้าหากว่าติดขี้วีนแล้วล่ะก็ อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดได้
กลุ่มที่ 6 ยุคเติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีและพ่อแม่ทำงานนอกบ้าน(Gen-Z)
.
เป็นกลุ่มที่เห็นทุกอย่างที่เปลี่ยนไป เหมือนดอกไม้แรกแย้ม ข้อดีมากๆ คือมีต้นทุนอายุที่น้อย ยังสามารถเริ่มทำสิ่งต่างๆ ได้อีกมากมาย เริ่มต้นบริหารชีวิต บริหารการเงิน บริหารความคิด เพื่อที่จะพัฒนารุ่นต่อไปให้ดีขึ้น จุดต้องระวังคือการหลงวัตรที่จะทำให้ถลำลึกลงไปในกับดักเดิมๆ ในวงจร
.
กลุ่มนี้คงเป็นฝ่ายผู้โดยสารที่รอขึ้นเครื่องบินลำถัดไป
กลุ่ม 3 ยุคสิ้นสุดสงครามโลก มีลูกมาก (Baby Boomer)
.
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่บริษัทต้องให้การพิจารณากันอย่างละเอียด เพราะเป็นกลุ่มที่มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจจิตัล (Digital Disruption) และมีผลต่อการทำงานของบริษัทโดยตรง บางคนเป็นไม้ที่ผ่านแดดผ่านฝนมาจนแข็ง เมื่อต้องมาบริหารหรือเกี่ยวเนื่องกับการใช้ระบบดิจจิตัลก็จะเกิดกำแพง หรือแม้กระทั่งหลุด (Out) จากการสื่อสารจากระบบ หรือรูปแบบ (Platform) ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และเกิดความเสียหายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้ที่แข็งเนื่องจากการตากแดด ก็จะมีเนื้อไม้ที่ไม่ยืดหยุ่น ทำให้เวลาตัดการจะขัดก็ไม่กระเทือน จะบากก็ไม่เข้า สุดท้ายก็ต้องปล่อยทิ้ง ก็จะกลายเป็นน้ำหนักที่เกิน
.
แล้วถ้าหากบังเอิญไปอยู่บนเครื่องบินลำนั้นล่ะ?
กลุ่ม 4 ยุคที่มีการควบคุมอัตราการเกิด (Gen-X)
.
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่ดีเพราะเป็นช่วงกลางที่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งช่วงอายุด้านบนและช่วงอายุด้านล่าง และอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน และเป็นช่วงที่ต้องปรับตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้ให้เป็นเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนรู้ระบบเก่าๆ ที่ยังต้องทำงานร่วมกัน ต้องรู้เรื่องเครื่องมือทางการเงิน หรือธุรกิจที่มีแนวทางที่หลากหลายทั้งที่เป็นภาพจริง หรือเป็นเพียงภาพลวงตา
.
เรียกว่าเป็นช่วงต่อยุคของช่วงเลยทีเดียว และที่สำคัญที่สุดช่วงอายุนี้จะเป็นช่วยอายุที่หาคนทำงานที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ ได้น้อย เพราะแต่ละสายงานได้ออกจากสายงานไปเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ๆ
.
นั่นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนช่วงอายุนี้อย่างแท้จริง
.
แต่สิ่งที่ควรระวังคือ การที่ติดหล่มอยู่กับความคิดที่ว่าอายุที่มากขึ้นแล้วได้เลื่อนตำแหน่งไปเอง ไม่มีฝีมือก็ไม่เป็นไรหรอก หลบๆ เลี่ยงๆ เลื้อยไปเดี๋ยวก็ยิงประตูได้ แต่อย่าลืมว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว หากว่าติดความคิดนี้มาจนสะสมให้ได้รับตำแหน่งแล้ว มันจะเป็นเหมือนเส้นเอ็นที่ค่อยๆ รัดคอและแน่นไปเรื่อยๆ จนคอขาดได้
.
กลุ่มนี้เป็นพระเอกในหยิบยัดจัดเรียงน้ำหนักที่เกินตามกัปตันบอก แต่ถ้ายังยื่นงงๆ เก้กัง ยงโย่ยงหยก ที่หน้าประตูแล้ว อาจถูกแรงไม่พึงประสงค์ยันตกลงไปจากเครื่องบินได้
คงต้องมาดูกันแล้วว่าจากหินก้อนโตที่โยนเฉี่ยวไปเฉี่ยวมานั้น เราจะมีวิธีการรับมือกันอย่างไร
ไม่ต้องรอให้หินโยนมาโดนหัวจนเลือดออกแล้วค่อยเริ่ม เราทำได้โดยการ Disrupt ตัวเองกันก่อนด้วยการพัฒนาทักษะ (Up-Skill) ให้เพิ่มขึ้นให้เนื้อหอมเพื่อจะได้เป็นที่หมายตาของบริษัทในยามที่ต้องตัดสิ่งใจ หรือจะปรับโหมดใหม่โยกทะเลย้ายภูเขา (Revolution) ด้วยการ ปรับทักษะกันใหม่ (Re-Skill) เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์กันไปเลย
มันไม่ยากจนทำไม่ได้ หรือง่ายจนไม่ต้องพยายาม เพราะว่าเราอยู่ในพื้นที่ที่สุขสบาย (Comfort Zone) มาตลอด จนดูเหมือยากที่จะ ‘เ ป ลี่ ย น’ ....มันอยู๋ที่ความใจถึง ล้วนๆ
การเดินทางถึงแม้ว่าไม่ได้รีบ แต่อย่าลืมว่าชีวิตมันรอไม่ได้
#เล่าไปตามเรื่อง
๑๘ ส.ค. ๒๕๖๒
โฆษณา