เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "สบาย..สบาย..สไตล์บาฮามาส" โดย...ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่...
“สบาย...สบาย...สไตล์บาฮามาส”
ประเทศบาฮามาส (Bahamas) เป็นเกาะตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกอีกที
ทางตอนใต้ใกล้กับประเทศคิวบา
ตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับเมือง Miami รัฐ Florida
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเครื่องบิน
เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ผู้อพยพจากคิวบาล่องเรือมาขึ้นฝั่งที่ฟลอริด้า หรือบางที ก็ยังมีพวกว่ายน้ำ ลอยคอมาได้ด้วยซ้ำ
ถ้าบอกว่าคิวบาใกล้ดินแดนอเมริกามากแล้ว ผมว่าบาฮามาสใกล้กว่า แค่เฉือนด้วยปลายจมูกนั่นเลยทีเดียว
แต่กลับไม่ค่อยปรากฏมีข่าวว่า มีผู้อพยพมาอเมริกาเพื่อทำงานสักเท่าไร
อาจจะเป็นเพราะว่า ประชาชนชาวบาฮามาสราว 3 แสนคนทั้งประเทศ ไม่ได้ยากจนนัก
มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก หรืออาจจะอยู่ดีมีสุขไปกับประเทศสวยๆ ของตนเอง ไม่เดือดร้อนอะไร
“แสงแดดเจิดจ้า ฟ้าสวยทะเลสีคราม ค่ำคืนอาบน้ำกับแสงจันทร์ ราตรีฝันไม่สร่างซา อยากหายบ้าให้มาหาเรา”
อันนี้ไม่ได้เป็นคำขวัญของประเทศบาฮามาสแต่อย่างใด มันเป็น จินตนาการของผมเองล้วนๆ กับประเทศที่สวยงามและล้อมรอบด้วยทะเลแบบนี้
ซิลวาโน ซอนเดอร์ส หนุ่มผิวดำ ร่างบาง สูงราว 175 ซม. อายุประมาณ 35 ปี เป็นคนบาฮามาสแท้ๆ
เกิดที่นั่น โตที่นั่น
แต่มาโดนจับที่อเมริกานี่ ก็เพราะความเพลิดเพลินเกินห้ามใจ
ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เขาประทับลงตราให้อยู่ในประเทศไม่เกิน 6 เดือน แต่ซิลวาโนเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย เท่าที่นึกอยากจะไป
ไม่ใช่ว่าร่ำรวยอะไรนักหรอก ก็กินเที่ยวแบบประหยัดนี่แหละ
ไปรัฐนั้นบ้าง รัฐนี้บ้าง ฟลอริด้า จอร์เจีย เพนซิลวาเนีย นิวยอร์ค ฯลฯ
เที่ยวจนลืมวันลืมคืน และลืมเวลาที่กำหนดให้ สุดท้าย ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่ กลายเป็นเอเลี่ยนโดยประมาท และเผอเรอ
ประเทศบาฮามาสใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ
จึงไม่ต้องสงสัยว่า ซิลวาโนใช้ภาษาอังกฤษได้ดี
แต่ผมอยากจะบอกว่า สำเนียงของซิลวาโนฟังยากอยู่พอสมควร วรรณยุกต์ของเขาจะโยนตัวไปมา วูบวาบ สูงต่ำ เหมือนชิงช้าถูกไกวไปแรงๆ โดยตัวอิจฉาในละครไทย ประหนึ่งว่า กลัวนางเอกจะมาแย่งชายที่ตนเองหลงรัก ถ้าเปรียบเป็นภาษาไทย ก็คงจะแถบสุพรรณบุรี อ่างทอง ที่มีความเหน่ออยู่ในตัว อังกฤษสำเนียงบาฮามาสของซิลวาโน ก็เหน่อเช่นนั้น !!
ซิลวาโนเป็นพวกชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว
เป็นพวกสบาย..สบาย..หาดทราย..สายลม..สองเรา...
เหมือนรวมเพลงพี่เบิร์ด นักร้องซูเปอร์สตาร์เมืองไทยไว้ ยังไงยังงั้น
และที่เห็นชินตาที่สุด ก็คือ อ่านหนังสือ
อ่านมันทั้งวัน เลิกอ่านก็นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง
อ่านจบ ก็ไปยืมห้องสมุดมาใหม่อีกทีละ 3-4 เล่ม
ซิลวาโนเคยบอกผมว่า
“ถ้ายูอยากอ่านหนังสือ ก็เอาไปอ่านได้เลยนะ วางอยู่ล็อคเกอร์ปลายเตียงนั่น”
ผมพยักหน้า และขอบคุณเขาไป แต่ไม่เคยหยิบหนังสือของเขามาอ่านเลย ส่วนเหตุผลคงไม่ต้องบอก แค่เอาตัวให้รอดกับการพูด การฟัง นี่ก็น้ำลายเหนียวคอแล้ว
ถ้าหากต้องอ่านหนังสือ Pocket Book นั่นจริง ๆ ผมคงลำไส้อักเสบแน่ ๆ !!
ผมเคยเห็นซิลวาโนเอาหนังสือไปให้ “ครูซ” หนุ่มน้อยกัวเตมาลา ไปอ่านเพื่อฝึกภาษา แล้วถ้ามีปัญหา ไม่เข้าใจอะไรให้มาถามเขา
และครูซ ก็แวะเวียนมาถามเขาอยู่บ่อยๆ จนภาษาอังกฤษพัฒนาดีขึ้นเป็นลำดับ
นับว่าเขามีวิญญาณของความเป็นครูอยู่มิใช่น้อย
ซิลวาโนมาอยู่ที่ศูนย์ฯนี้ได้เกือบจะ 1 เดือนแล้ว
แต่ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่า เขาจะดำเนินการอะไร ยังไง แบบไหน
เขาจะประกันตัวออกไป
หรือจะไม่จ่ายเงินประกัน และรอให้ทางศูนย์ฯ ส่งกลับประเทศตามขั้นตอนของกฎหมาย
ซึ่งขั้นตอนนี้ ขอขยายความเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เขาเรียกว่า การเนรเทศออกนอกราชอาณาจักร หรือ Deportation
ซึ่งวิธีนี้ จะมีรายละเอียด ขั้นตอนอยู่พอสมควร
อธิบายใจความสำคัญได้ว่า
- จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1- 4 เดือน
- เอเลี่ยน หรือผู้ถูกควบคุม ไม่ประสงค์จะวางเงินประกันตัวออกไป
- ศูนย์ฯเป็นผู้ดำเนินการจัดหาพาหนะเพื่อเดินทางกลับประเทศของตนเองให้ โดยจะเป็นรถยนต์ เครื่องบิน ตามแต่เห็นสมควร ประเทศที่มีพรมแดนติดกัน เช่น เม็กซิโก
ส่วนใหญ่จะจัดรถบัสให้ ประเทศที่อยู่ไกลๆ ก็เป็นเครื่องบิน แต่ก็อย่าหวังว่า ของฟรีแบบนี้จะมี First Class ให้นะ ไม่ได้เกาะขอบล้อกลับบ้าน ก็น่าจะโอเคแล้ว
- จะถูกบันทึกเป็นแบล็คลิสต์ว่า เป็นผู้ทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองของประเทสหรัฐอเมริกา และห้ามเข้าประเทศอีกในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า แล้วแต่กรณี
ซิลวาโนเคยคุยกับผมในตอนแรกว่า เงินประกัน 10,000.- ยูเอส ดอลลาร์นั้น มันมากเกินไปสำหรับเขา เขาจะต่อรองศาล ให้เหลือสัก 7,500.-
พอไปขึ้นศาล และศาลอนุมัติให้ตามคำขอ คือ 7,500.-
เขากลับไม่จ่าย หรือไม่มีเงินจ่าย ผมก็ไม่รู้แน่ชัด
เหมือนเขาพูดกลับไปกลับมา
เช่น จะจ่ายอยู่หรอก รอเงินจากพี่สาวส่งมาให้อยู่
หรือ ฉันไม่มีเงินหรอก จะรอศูนย์ฯส่งกลับนี่แหละ มันฟรี ไม่ต้องซื้อตั๋วเอง
ฉันจะไปต่อรองกับศาลอีกครั้ง ให้เหลือสัก 1,500.-
เอิ่มม...มึงต่อรองยังกะซื้อสินค้ามือสองแถวคลองถมเลยนะเนี่ย !!
ขณะที่มันสับสนกับตัวเอง เวลาก็จะเดินไปเรื่อย ๆ
อยู่ในศูนย์ฯไปเรื่อย ๆ อ่านหนังสือชิลๆ ไปเรื่อย
ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย...สบาย...สบาย...
ซึ่งดูๆ ไปแล้ว มันขัดกับไลฟ์สไตล์ของมัน
มันชอบอิสระ ชอบท่องเที่ยว ซึ่งการมาอยู่ที่ศูนย์ฯแห่งนี้ ไม่มีให้มันแน่ ๆ
หรือว่ามันเป็นคนปรับตัวเก่ง อะไรก็ได้ในชีวิต อยู่ที่นี่ กูไม่มีอิสระ ไม่ได้เที่ยว กูก็อ่านหนังสือ ไม่ได้รีบร้อน หรือกระตือรือร้นที่จะออกไป
อยู่มันไปเรื่อยๆ นี่แหละ !!
ถ้ามึงไม่ลดราคา กูก็ยังไม่ออก อย่างนั้นเหรอ?
ผมก็งงกับมันมาก
แต่ในความงงนั้น ก็ได้แลเห็นปรัชญาในการใช้ชีวิตของมัน
แม้มันจะเป็นคริสต์ แต่มันกำลังสอนพุทธศาสนาให้ผม
มันสงบ เยือกเย็น ไม่ยินดียินร้าย มันมีสมาธิ อ่านหนังสือได้ทั้งวัน
มันรู้จักทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้ความดับทุกข์ และรู้หนทางปฏิบัติแห่งการดับทุกข์
โอ้ว...อริยสัจ 4 เลยนะเนี่ย !!
เพียงแต่มันยังไม่ทำตามนั้น มันยังสบาย..สบาย..อยู่...
เฮ่ออ...มึงจะเหนือชั้นไปถึงไหน..!!
ซิลวาโน ไม่ได้มีแต่มุมอ่านหนังสืออย่างเดียว
มันละสายตามาคุยกับผู้คนอยู่บ้าง โดยเฉพาะนังผิน
อาจจะเป็นเพราะคุยกันรู้เรื่อง ภาษาอังกฤษดีทั้งคู่ก็เป็นได้
แต่ก็มีบางมุมที่แอบแขวะกันนิดๆ หน่อยๆ
“นี่ไมค์ ถ้ายูอยากรู้เรื่องอะไรในศูนย์ฯให้ไปถามนังเบิร์ตนะ”
มันหมายถึงนังผิน
ฟิลิปปินส์ผู้เลอโฉมนั่นแหละ
“อ๋อ..เรื่องเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆของที่นี่น่ะเหรอ?” ผมก็แกล้งถามไป
“เปล่า...เรื่องนินทาชาวบ้านนี่แหละ ใครจะกล้วยเล็ก กล้วยใหญ่ ใครแอบสบตากับใคร
ใครจะนัดฟีตเจอริ่งกับใคร ชีรู้หมดแหละ ถามได้เลย ไม่มีผิดหวัง!!”
“Oh My Godness !!!” ผมอุทานแบบดัดจริตชน แล้วก็หัวเราะพร้อมกันกับซิลวาโน
ด้วยความที่ซิลวาโน มีจิตวิญญาณของนักท่องเที่ยว
เขาก็ไม่ลืมที่จะถามถึงไทยแลนด์ แดนสะตอหวาน ข้าวสารสวย ผมก็อธิบายไปเท่าที่จะนึกออก
“มันมีทุกๆ อย่างที่ยูต้องการนั่นแหละ ท้องฟ้าสดใส หาดทรายขาว ๆ ผู้คนเป็นมิตร
อาหารอร่อย ค่าครองชีพไม่แพง”
“อืม...ดีจัง..ฉันอยากจะไปสักวันหนึ่ง” ซิลวาโนพูดด้วยแววตาเจิดจ้า
เขาบอกว่า จริงๆ แล้ว เขาก็อยากไปเที่ยวทั่วโลกนั่นแหละ ไม่อยากทำงาน เที่ยว..เที่ยว..เที่ยวมันอย่างเดียว แต่มันก็คงทำไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขาก็จะพยายามทำตามความฝันให้ได้มากที่สุด และก็เชิญชวนผมไปเที่ยวบ้านเขาบ้าง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
“But it may be expensive. The current one US.Dollar is one BS.Dollar”
“แต่มันอาจจะแพงหน่อยนะ เพราะค่าเงินตอนนี้ 1 ยูเอส ดอลลาร์ เท่ากับ 1 บาฮามาส ดอลลาร์เลยทีเดียว” เขาว่าอย่างนั้น
ในขณะที่ 1 ยูเอส ดอลลาร์ เท่ากับ 30-31 บาท
“Oh My Godness !!!” อีกครั้ง
มึงรอกูก่อน มึงอย่าเพิ่งตายนะซิลวาโน กูไปหามึงแน่
อย่างน้อย ก็ได้เซฟค่ากิน ค่าอยู่ ไปหลายมื้อล่ะวะ !!!
คนไทย หรือคนเอเชียเราส่วนมาก ไม่ค่อยมีกลุ่มประเทศในทะเลแคริบเบียนเป็นเป้าหมายในการท่องเที่ยวนัก
อาจจะด้วยเหตุผลหลายๆ ประการแตกต่างกันไป
อีกทั้งก็ไกลแสนไกลจากเรา
ประมาณว่า ถ้าจะไกลขนาดนั้น ก็ไปเที่ยวอเมริกาเลยดีกว่า
แต่ผมกลับมองว่า ประเทศแถบนี้มันดูมีเสน่ห์ ดูสดใส ดูมีชีวิตชีวา ดูครึกครื้น ตื้นตันใจ ยังไงก็ไม่รู้ ยกตัวอย่าง ประเทศที่พอจะรู้จัก เช่น
ทรินิแดด แอนด์ โทเบโก
ถ้าใครนึกไม่ออก ก็ให้นึกถึง ดไวท์ ยอร์ค ศูนย์หน้าเปื้อน
ยิ้มของทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็แล้วกัน ซึ่งทำให้นึกไปว่า ผู้คนใประเทศนี้ มันคงยิ้มกันทั้งประเทศ เอ๊ะ...หรือมันปลูกกัญชาเยอะวะ !!
จาไมกา ดินแดนที่ผลิตนักวิ่งระยะสั้นออกมาเป็นแชมป์โลกอยู่บ่อยๆ เช่น
ยูเซน โบลต์ หรือถ้าไม่ใช่คอกีฬา ก็ให้นึกถึง บ็อบ มาร์เลย์ ผู้เป็นศาสดาของแนวเพลง
เร็กเก้ ที่คนทั่วโลกรู้จักดี
บาร์เบโดส ประเทศฮ็อตฮิตสำหรับการตากอากาศของเซเลบดังๆ ทั่วโลก ไทเกอร์ วู้ดส์
อดีตนักกอล์ฟมือ 1 ของโลก ก็เคยเลือกประเทศนี้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวของเขา และเป็นบ้านเกิดของป็อบสตาร์อย่าง ริฮานน่า ด้วย
เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ก็เป็นเกาะสวยๆ เหมาะสำหรับการซ่อนเงินที่เหลือใช้จากประเทศของตนเองยิ่งนัก
เคย์แมน น้องใหม่ มาแรงแซงทางเรียบ ดำเนินกิจการแบบเดียวกับ เวอร์จิน ไอส์แลนด์ แต่อาจมีโปรโมชั่นเสริม เพื่อความพึงพอใจของลูกค้า ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้น ผมก็มิอาจจะทราบได้ เนื่องจากผมยังไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ที่จะนำเงินไปฟอก..เอ๊ย...ฝากได้...
เปอร์โตริโก เขาแอบนินทากันว่า เป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา เพราะผู้คนที่นี่ไม่ต้องขอวีซ่า ซื้อตั๋วเครื่องบินและเดินทางไปอเมริกาได้เลย สามารถทำงานได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เบื่อก็กลับ
หายเบื่อก็บินกลับมาทำงานใหม่ ดีงามพระราม 5 จริง ๆ
แต่ถ้าเอาอย่างเป็นทางการจริงๆแล้ว เปอร์โตริโกถือเป็นดินแดนหรืออาณาเขต (Territory) ของสหรัฐอเมริกา โดยไม่ถือว่าเป็นรัฐ (State)
ในอดีต เปอร์โตริโกเคยเป็นอาณานิคมของสเปนมาตั้งแต่ ค.ศ.1509 จนกระทั่งปี ค.ศ.1898 สหรัฐอเมริกาจึงได้ครอบครองเปอร์โตริโก
เนื่องจากเป็นผู้ชนะในสงคราม สเปน-สหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน เปอร์โตริโก เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของกองทัพสหรัฐในทะเลแคริบเบียน
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจของประเทศ และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน
ก่อนตาย...ต้องไปให้ได้นะ !!
และก่อนที่จะกลายเป็นวิชาประวัติศาสตร์ไป
เรากลับมาเรียนภาษาอังกฤษกับซิลวาโนอีกครั้ง
แม้ซิลวาโนจะเชิญชวนให้ผมอ่านหนังสืออยู่หลายครั้ง และผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง
โดยให้เหตุผลว่า ผมมีอย่างอื่นที่ต้องทำอยู่
แต่สุดท้าย...ผมก็สะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งจนได้
มันเริ่มจากซิลวาโนอ่านประโยคคมๆ อันหนึ่งในเล่มให้ฟัง
ผมจำไม่ได้ทั้งประโยคหรอก
แต่คิดว่า มันน่าจะคม บาด ลึก แน่ ๆ
เลยขอหนังสือเล่มนั้นเขามา
ชื่อหนังสือ “A 2nd Helping of Chicken Soup for the Soul”
เขียนโดย Jack Canfield and Mark Victor Hansen
แล้วด้านใน ก็จะบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
“101 More Stories to Open The Heart And Rekindle The Spirit”
“อีก 101 เรื่องราว ที่จะเปิดหัวใจและจุดประกายไฟในจิตวิญญาณของคุณให้ลุกโชนอีกครั้ง”
และยังบอกอีกว่า เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของผู้เขียนคนนี้ ในปี ค.ศ.1995
แล้วผมก็เปิดหาคำคมที่ซิลวาโนอ่านให้ฟังเมื่อสักครู่นี้
ว่าประโยคเต็มๆ มันพูดว่าอย่างไร ใครเป็นคนเขียน
“The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched,
they must be felt with the heart.”
(Helen Keller)***
“สิ่งที่ดีที่สุดและสวยงามที่สุดในโลก ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้หรอก
มันจะต้องรู้สึกได้ด้วยหัวใจเท่านั้น”
มันเป็นประโยคที่ดูธรรมดา ง่ายๆ แต่สื่อออกมาจากจิตวิญญาณ สวยงาม มีเสน่ห์ เหนือคำบรรยายจริง ๆ
หากคิดว่า คำแปลของผมยังไม่ดีเพียงพอ เชิญท่านจินตนาการ และรังสรรค์ความหมายของมันออกมาตามใจชอบ
เอาให้สวยงามที่สุด ตามที่ใจปรารถนาอยากให้เป็นเลย
ถือว่าเป็นการเรียนภาษาอังกฤษไปกับซิลวาโนก็แล้วกัน
@@@@@@
***
Helen Keller
(ค.ศ.1880-1968) เจ้าของประโยคสวยๆ นี้ เกิดที่เมือง Tuscumbia รัฐ Alabama สหรัฐอเมริกา เป็นนักเขียน นักมนุษยธรรม และนักรณรงค์เพื่อคนพิการ
เธอพิการทั้งตาบอดและหูหนวก ตั้งแต่อายุ 1 ปี 7 เดือน จากการเจ็บป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบ
แต่ได้ Anne Sullivan มาเป็นผู้สอนการพูด การอ่าน และเขียน ซึ่งต่อมาก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปตลอดชีวิต
Helen Keller จบศิลปศาสตร์บัณฑิต (Bachalor of Arts) เกียรตินิยมจาก Ratcliffe College สังกัด Harvard University ซึ่งนับว่าเป็นบัณฑิตที่หูหนวกและตาบอดคนแรกของมหาวิทยาลัย
เธอมีผลงานการเขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด คือ The Story of My Life ซึ่งภายหลังได้รับการนำไปทำเป็นบทละคร เรื่อง The Miracle Worker ในปีค.ศ 1959
และได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในอีก 3 ปีต่อมา
ในด้านการเมือง
Helen Keller ได้ชื่อว่าเป็นนักรณรงค์เพื่อคนพิการ ที่มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง
รวมไปถึงการสนับสนุนให้สตรีมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงต่อต้านความรุนแรง และสนับสนุนการคุมกำเนิด โดยในปี ค.ศ.1915 เธอได้ก่อตั้ง Helen Keller International ขึ้น เพื่อป้องกันการตาบอด โดยมีเธอกับเพื่อนๆ และครู นั่นคือ Anne Sullivan ซึ่งได้ร่วมเดินทางไปเยือนประเทศ ต่างๆ 39 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
ช่วงบั้นปลายของชีวิต Helen Keller ได้เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยม (Social Party)
รณรงค์ช่วยเหลือชนชั้นกรรมกร (Working Classes) และหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เธอมาทำงานให้กับมูลนิธิอเมริกันเพื่อคนตาบอด (American Foundation for the Blind)
จนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.1968 รวมอายุได้ 88 ปี
เรื่องราวของ Helen Keller ผู้ซึ่งมีความพิการโดยสิ้นเชิง ทั้งตาบอดและหูหนวก
ได้เป็นที่สนใจและสร้างแรงบันดาลใจเป็นอันมากแก่คนทั่วโลก และยังคงเป็นตัวอย่างที่ดี ในด้านความวิริยะ อุตสาหะ แก่คนในรุ่นปัจจุบัน
@@@@@@
โปรดติดตามตอนต่อไป ; "คาเมรูนอันตราย"
@@@##%%@@@
โฆษณา