25 ส.ค. 2019 เวลา 09:51 • ความคิดเห็น
"เด็กไทยเรียนหนักที่สุดในโลก!"
ได้มีโอกาสอ่านบทความของ"หมอเดว"
รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ท่านเขียนถึงเรื่องเด็กนักเรียนหญิงป.4คนนึง
คือครูบอกว่าเด็กคนนี้สมาธิสั้น จึงแนะนำว่าควรมาพบคุณหมอ แม่เด็กจึงพามาหาท่าน จากการพูดคุยกับเด็ก ได้ข้อสรุปต่างๆมาดังนี้
-เด็กอยู่ป.4แต่ก็ต้องเรียนเนื้อหาของป.5ด้วย
-ทุกเช้าต้องตื่นตั้งแต่ตี5เพื่อรีบไปโรงเรียน ให้ทันทำ"การบ้านเช้า" (ทุกเช้าต้องทำการบ้านก่อนเข้าเรียน)
-หลังจากกลับมาบ้าน ทำการบ้านเย็นเสร็จ เด็กไม่ได้ไปเล่นไหน เพราะคุณตากวดขันให้ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ อ่านหนังสือ ท่องสูตรคณิตศาสตร์ ทุกวัน และเข้านอนตอน4ทุ่ม
-เสาร์-อาทิตย์ ต้องไปเรียนพิเศษ
หมอเดวถามเด็กว่าต้องการอะไรในตอนนี้มากที่สุด เด็กน้อยตอบว่า"อยากมีเวลาเล่นกับแม่" ถึงบรรทัดนี้ผมถึงกับสะอึก และเห็นใจกับเด็กคนนี้มากๆ
เราเป็นประเทศที่การศึกษาเข้มข้นและกดดันมากๆนะครับ ตั้งแต่อนุบาลเด็กต้องเข้าสู่การแข่งขันในระบบ"แพ้คัดออก" ผู้จัดการที่ทำงานผม พาลูกไปสอบแข่งกับเด็กทั้งประเทศตั้งแต่ตอนอนุบาล เพราะอยากรู้ว่าลูกของตัวเองอยู่ตรงไหนของเด็กคนอื่นๆ จะสู้เด็กคนอื่นๆได้หรือเปล่า
คนที่รู้จักกันกวดขันให้ลูกของตัวเองเรียนหนักมาก เพราะอยากให้ลูกเป็นหมอ ตอนนี้ลูกอยู่ป.6เรียนพิเศษทุกวัน วันก่อนมาบ่นให้ผมฟังว่าเจอสมุดเรียนของลูก ในนั้นลูกวาดการ์ตูน เค้าเครียดมากกลัวลูกไม่ตั้งใจเรียน!?
คือเราจะให้เด็กๆเค้าต้องเจออะไรแบบนี้จริงๆเหรอครับ ต้องแข่งขัน ต้องกดดัน ต้องกวดขันกันขนาดนี้เลยเหรอครับ น่าแปลกนะครับที่การศึกษาบ้านเราหนักที่สุดในโลกแต่เวลาวัดผลออกมาเด็กบ้านเราสู้ประเทศอื่นๆไม่ได้
แบบนี้คือผิดที่เด็กหรือผิดที่ผู้ใหญ่ ผมอยากให้ทุกคนมาลองทบทวนกันใหม่ พ่อแม่บางคนควรต้องปรับทัศนคติใหม่ ครูบางคนควรต้องปรับการสอนใหม่ ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาควรต้องคิดใหม่ทำใหม่ มันยังไม่สายหรอกนะครับ
ผู้ใหญ่ คนเป็นพ่อเป็นแม่ ควร"แนะนำ" ไม่ใช่"ชี้นำ" เราควรทำแค่สนับสนุนและเฝ้ามองอนาคตที่เค้าได้เลือกเอง อย่าไปกดดันหรือคาดหวังว่าเค้าต้องเป็นในสิ่งที่"เราอยากให้เค้าเป็น"เลยนะครับ
โฆษณา