25 ส.ค. 2019 เวลา 14:35 • ธุรกิจ
5 ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทระดับโลก
เราต่างเคยได้ยินเรื่องของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ สร้างตัวเองจาก 0 เป็น 10,000 ล้านได้ในเวลาไม่กี่ปีอย่าง Amazon, Google, Facebook ที่ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจอยากจะพัฒนาตัวเองไปให้ถึง
บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตามโลกเรานั้นไม่ได้สวยงามเสมอ เรื่องราวที่ตรงกันข้ามล่ะ?
1
นี่คือ 5 ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทระดับโลก บริษัทที่เคยสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก และสุดท้ายกลับกลายเป็นขาดทุน ลดขนาดลง หรือแม้กระทั่งล้มละลายไปเลย
1. Kodak
กล้องฟิล์มของ Kodak
20 กว่าปีก่อนที่กล้องฟิล์มยังเป็นที่นิยมมาก Kodak น่าจะเป็นชื่อที่คนอายุ 25 ขึ้นไปรู้จักกันดี
กระบวนการที่ถ่ายรูปแล้วนำฟิล์มมาล้างที่ร้าน อาจจะยังอยู่ในความทรงจำหลายๆคน ต่างจากวันนี้ที่ทุกคนใช้กล้องดิจิตอลหรือกล้องมือถือกัน ชื่อของโกดักแทบจะไม่เป็นที่ได้ยินแล้ว
จริงๆแล้ว โกดักได้จดสิทธิบัตรกล้องดิจิตัลตัวแรกของโลกเมื่อปี ค.ศ. 1977 ซึ่งตอนนั้นใช้เทปแม่เหล็กในการเก็บรูป
กล้องดิจิตัลตัวแรกของโกดัก
แต่ด้วยตอนนั้นโกดักมีรายได้จากกล้องฟิล์มเยอะมาก ทางทีมบริหารเลยไม่สนใจพัฒนาต่อยอดในเทคโนโลยีใหม่นี้ แต่ยังคงโฟกัสที่กล้องฟิล์มต่อไปแม้ตอนนั้นจะชัดเจนว่าตลาดมีความต้องการกล้องดิจิตัล
เมื่อโกดักเริ่มขายกล้องดิจิตัล ตอนนั้นคู่แข่งต่างๆได้กินตลาดไปหมดแล้ว และก็ไม่สามารถจะสร้างยอดขายแย่งตลาดจากรายอื่นได้
ปี 2018 โกดักขาดทุนประมาน 16 ล้านเหรียญ (480 ล้านบาท)
2. Excite ตัดสินใจไม่ซื้อ Google ที่ราคาน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ (30 ล้านบาท)
หน้าเว็บของ Excite
ในปี 1999 ตอนนั้น Yahoo ยังเป็นผู้นำเรื่อง Search engine ส่วน google นั้นยังไม่มีใครรู้จัก Excite เป็น search engine อันดับสองรองจาก Yahoo (ไม่รู้ใครเคยใช้หรือเปล่า)
ในตอนนั้น Larry Page CEO และผู้ร่วมก่อตั้งของ Google ได้ยื่นข้อเสนอที่จะขาย Google ให้ Excite ในราคา 750,000 เหรียญ (21 ล้านบาท) โดยให้ใช้ Algorithm ในการค้นหาของ Google แต่ Excite ปฏิเสธ
ในปี 2004 Excite ถูกซื้อโดย Ask.com ซึ่งตอนนั้นมีผู้ใช้น้อยกว่า 2% ทั่วโลก
ราคาหุ้น Alphabet เทียบดัชนี Nasdaq
Google ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Alphabet ตอนนี้มีทรัพย์สิน 1.47 แสนล้านดอลลาร์ (4.4 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่าราคาเสนอขายให้ excite ตอนนั้น 196,000 เท่า
2. Blockbuster ปฏิเสธที่จะซื้อ Netflix
ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 ถึงช่วง 1990 ระบบเทปวีดีโอ (VHS- Video Home System) เป็นที่นิยมในการดูหนัง หลังจากนั้นจึงเป็น CD และ DVD
ในยุคนั้นอินเตอร์เน็ตความเร็วยังไม่สูง ทำให้ธุรกิจร้านให้เช่าเทปวีดีโอ/ดีวีดีเกิดขึ้นซึ่ง Blockbuster ซึ่งแทบจะครองตลาดอเมริกา
CEO ของ Netflix ซึ่งในตอนนั้นมีโมเดลธุรกิจในการให้เช่า DVD ทางไปรษณีย์ ได้มาเสนอขาย Netflix ให้แก่ Blockbuster ในราคา 50 ล้านเหรียญ (1.5 พันล้านบาท) แต่ Blockbuster ปฏิเสธ
Netflix ยุคที่ส่งแผ่น DVD ทางไปรษณีย์
ปี 2007 Netflix เริ่มธุรกิจดูหนังออนไลน์ แต่ Blockbuster ก็เริ่มเช่นกันเพียงแต่ CEO ในตอนนั้นมองไม่เห็นถึงความสำคัญของธุรกิจออนไลน์แต่กลับโฟกัสไปถึงอย่างอื่นแทน
Blockbuster ร้านปิดตัวลง
Blockbuster ถูกยื่นล้มละลายในปี 2010 และปิดตัวในปี 2013
ปี 2018 Netflix มีรายได้ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ (4.5 แสนล้านบาท)
3. Nokia ปฏิเสธไม่ใช้ระบบ Android
Nokia มีส่วนแบ่งถึง 51% ในตลาดโทรศัพท์มือถือในปี 2007
จุดเริ่มต้นของการล่มสลายของ Nokia เกิดขึ้นในปี 2007 นั่นคือการเกิดขึ้นของ Iphone
ทีมซอฟต์แวร์ของ Nokia รู้ทันทีว่านี่เป็นอันตรายแน่นอน จึงแบ่งเป็นสองทีม ทีมหนึ่งปรับปรุงระบบปฏิบัติการ Symbian อีกทีมนึงสร้างระบบปฏิบัติการใหม่ที่ชื่อ MeeGo
โทรศัพท์ Nokia ด้วยระบบปฏิบัติการ Symbian
อย่างไรก็ตามทั้งสองทีมนั้นได้แข่งกันเพื่อได้รับความสนใจจากผู้บริหาร ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในองค์กร การตัดสินใจครั้งหนึ่งกินเวลานับปี
ในการแข่งขันของธุรกิจเทคโนโลยี เวลาไม่เคยคอยใครอยู่แล้ว
แทนที่จะประหยัดเวลาในการใช้ Software Opensource อย่าง Android รวมกับอุปกรณ์ Hardware ที่ทันสมัยของ Nokia เอง CEO ของ Nokia กลับปฏิเสธและยังดึงดันที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองต่อไป โดยใช้เงินในการพัฒนาถึงปีละ 5 พันล้านเหรียญ
ในที่สุดตลาดของ smartphones ก็ได้ถูกครอบครองทั้งหมดโดย Iphone และ Android จน Nokia ต้องขายแบรนด์มือถือตัวเองให้กับ Microsoft
ส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือของโนเกียตั้งแต่ปี 2007
ส่วนแบ่งตลาดมือถือของโนเกียตั้งแต่ปี 2007
แม้กระทั่ง Microsoft ก็ไม่สามารถกลับมาสร้างชื่อให้ Nokia ได้ ต้องเสียเงินไปถึง 8 พันล้านเหรียญก่อนที่จะยุติการผลิต
5. Xerox สูญเสียเม้าส์ให้กับแอปเปิ้ล
ลองจินตนาการดูว่าคุณมี สิ่งประดิษฐ์ที่เยี่ยมที่สุดในศตรวรรษที่ 20 ในมือ แต่ดันให้คนอื่นไปเพราะไม่รู้ค่าของมัน
คอมพิวเตอร์ในช่วงก่อนปี 1980 นั้นยังแสดงผลแบบเป็นโค้ดบรรทัดอยู่ การมีเม้าส์และคลิกภาพต่างๆยังเป็นไอเดียที่แปลกใหม่
Commodore PET 2001 ปี 1977
Xerox Alto เครื่องคอมพิวเตอร์ทดลองในปี 1973 เป็นคอมพิวเตอร์ล้ำยุคที่แสดงผลแบบ GUI (Graphical User Interface) เหมือนคอมเราในทุกวันนี้ ด้วย เม้าส์, หน้าต่างวินโดวส์, ตัวจัดการไฟล์
Xerox Alto
ผู้บริหารขอ Xerox มองไม่ออกถึงอนาคตของอุปกรณ์ตัวนี้ว่า จะเป็นรูปแบบคอมพิวเตอร์ในอนาคต จนบุคคลที่ชื่อว่า Steve Jobs ได้มาเห็นมันเข้าจากการที่ Xerox อยากให้บริษัท Apple ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิต เขารู้ทันทีว่านี่จะเป็นสิ่งที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเป็นในอนาคต
นั่นจึงนำไปสู่คอมพิวเตอร์ LISA เครื่องแรกที่ใช้ระบบ Macintosh แสดงผลรูปแบบกราฟฟิค แทนที่จะเป็นโค้ดบรรทัดๆ และ Windows ก็ได้ใช้ไอเดียนี้เหมือนกัน จนเป็นมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยชื่อ Xerox ไม่เคยได้ถูกกล่าวถึงเลย
บทเรียน
1. ในโลกของธุรกิจ ต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับโอกาสใหม่ๆ อดีตที่สำเร็จไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะเป็นอยู่เพราะโลกเราเปลี่ยนไปตลอดเวลา
2. ในโลกของธุรกิจ ดูตลาดผู้บริโภคและปรับตัวให้ตามทันเทรนด์ในอนาคตอยู่เสมอ ไม่งั้นคุณอาจจะสูญเสียทุกอย่างที่สร้างมาได้ในเวลาไม่กี่ปี เพราะโลกเปลี่ยนไปไวมาก
References
โฆษณา