26 ส.ค. 2019 เวลา 12:11 • ธุรกิจ
ฝันร้ายของ Facebook
Facebook ได้เริ่มก้าวสู่ออนไลน์ครั้งแรกในปี 2004 ตอนที่ myspace hi5 ยังเป็นที่นิยม
ตอนนี้ Facebook มีผู้ใช้งาน 2.4 พันล้านคนที่ใช้งานอย่างเป็นประจำทุกเดือน
Facebook เป็นตัวแทน Social media ในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และ Facebook ยังเข้าซื้อ Instagram และ Whatsapp ด้วย
Facebook, Whatsapp, Instagram
อย่างไรก็ตามในช่วงเร็วๆนี้ ทัศนคติของผู้คนต่อ facebookเริ่มเปลี่ยนไป
นี่อาจะนำไปสู่การเสื่อมถอยของ Facebook ที่คนเริ่มเลิกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
1
ไม่ว่าจะเป็นการถูกกล่าวหาว่า Facebook สร้างผลเสียต่อจิตใจ, ความปลอดภัยของข้อมูล เหตุเหล่านี้มีปัจจัยหลายๆอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันดังจะกล่าวในบทความนี้
1. การเสื่อมถอยของ Facebook
เวลาที่ใช้ในการเล่น Facebook จากการสำรวจผู้ใช้อเมริกา
ผลการสำรวจโดยสำนักวิจัยพิว (Pew research center) กับกลุ่มคนอเมริกันอายุ 18 ขึ้นไปพบว่า
คน 42% ได้หยุดการใช้ Social Network หรือระงับบัญชีผู้ใช้เป็นเวลาหลายอาทิตย์
44 % ลบแอพพลิเคชัน Facebook ออกจากมือถือ
https://www.groovypost.com/howto/delete-multiple-third-party-apps-from-facebook-at-once/
คนส่วนใหญ่ที่ยังมี Facebook ไว้ก็เพื่ออ่านข่าว ซื้อของ ดู event หรือ Messenger คุยกับเพื่อน
นี่เป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งต่อบริษัท Facebook ว่าผู้คนทั่วไปเริ่มระแวงและหนักถึงผลเสียของ Social Media แล้ว
2. Facebook ทำลายความเห็นใจของมนุษย์
ความเห็นใจของมนุษย์หรือ Empathy คือการถามตัวเองว่า “ถ้านั่นเป็นเราล่ะ?”
เป็นความรู้สึกที่เราเอาตัวเองไปแทนคนอื่นที่โชคร้ายและน่าเห็นใจ ความเห็นใจเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของมนุษย์
Social Media อาจจะได้ทำลายความเห็นใจที่มนุษย์ควรมี
มีกลุ่มเด็กชายอายุ 14-16 ปีใน Florida แพร่ภาพทาง Social mediaขณะเยาะเย้ยคนที่กำลังดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือก่อนที่จะจมน้ำตาย
https://www.youtube.com/watch?v=GmQ6l8zoo1I
คลิปข่าวดังกล่าว:https://www.youtube.com/watch?v=GmQ6l8zoo1I
พวกเราทุกคนอาจได้เห็นการหายไปของความเห็นใจของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็น
1
ความขัดแย้งของกลุ่มคนอย่างรุนแรงถึงขนาดอยากให้อีกฝ่ายประสบเหตุร้ายแรงหรือ การรีบกล่าวหาคนอื่นโดยไม่มีมูลเหตุโดยไม่ทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมดก่อน
ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนที่ถูกกล่าวหาทั้งที่เราอาจจะไม่ได้ผิดจะรู้สึกอย่างไร
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วอินเตอร์เน็ตรวมถึงเรื่องการเคลื่อนไหวของสังคมและการเมือง
https://thefederalist.com/2019/08/19/united-states-can-support-self-rule-hong-kong-without-starting-war/
แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือกลุ่มคนรุ่นใหม่
มีหลักฐานจากนักประสาทวิทยาว่าเมื่อเราสนใจโทรศัพท์ สมองส่วนที่ ฝันกลางวันจะหยุดทำงาน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นตัวหลักในการให้เกิดความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึกเห็นใจคนอื่น
Loneliness
สถาบันวิจัยสังคมในอเมริกา พบว่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีความเห็นอกเห็นใจลดลง 40% เทียบกับช่วงปี 1990
โดยการวิจัยดูจากเช่น การช่วยคนแปลกหน้าขนกระเป๋า หรือ ให้ความช่วยเหลือเพื่อนยามเดือดร้อน และยังพบอีกว่านักศึกษายังมีแน้วโน้มที่จะสนใจแต่ตัวเอง และกังวลในภาพลักษณ์ที่คนอื่นมอง
3. ความเสี่ยงของสุขภาพจิตจาก Facebook
บทวิจัยจาก Penn State University ปี 2015 พบว่า
การใช้ Social Media มากเกินไปนำไปสู่ ความวิตกกังวล ความซึมเศร้าและความเครียด
บน Social Media ทุกคนล้วนนำเสนอแต่มุมชีวิตที่ Perfect และทำอะไรเจ๋งๆ
https://www.alux.com/wp-content/uploads/2015/09/Photographer-Reveals-the-Truth-behind-Those-%E2%80%98Perfect%E2%80%99-Instagram-Photos-2.jpg
ไม่ว่าจะเป็นรูปตอนไปเที่ยวต่างประเทศ กินอาหารหรูๆ หรือซื้อของแบรนด์เนม
นั่นทำให้ความคาดหวังของคนที่ใช้ Social media นั้นสูงมากเพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือการเปรียบเทียบเรากับคนอื่น และเราคิดว่านั่นคือเรื่องปกติของทุกคน
https://www.preachingtoday.com/illustrations/2017/july/6072417.html
ทั้งๆที่จริงๆแล้วคนเราย่อมมีทั้งช่วงที่อยู่คนเดียว หดหู่ หรือช่วงที่เศร้าเสียใจ
แต่ด้านเหล่านั้นไม่เคยถูกนำเสนอบน Social media เพราะคนเราย่อมอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อนำเสนอให้ทุกคนได้เห็น
การเปรียบเทียบที่ด้อยกว่านี่ย่อมนำไปสู่ความรู้สึกแย่กับตัวเอง ว่าทำไมชีวิตเราไม่เป็นแบบนั้นบ้าง?
นอกจากนี้ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนยุคก่อนทำให้ระยะห่างระหว่างความคาดหวังและความเป็นจริงนั้นไกลขึ้นไปอีก นำไปสู่ปัญหาทางจิตดังที่กล่าวไปข้างต้น
4. Facebook ใช้ประโยชน์จากกลไกสมองมนุษย์
เบื้องหลังบริษัท Social Media มีพนักงานที่รับผิดชอบเรื่องการหาวิธีที่จะดึงความสนใจของเราทุกคนไว้ให้ได้นานที่สุด
สิ่งที่พวกเขาทำคือ เล่นกับ วงจรโดปามีนของสมองของเรา
โดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่จะหลั่งเมื่อเรามีความสุขมากจากการตอบสนองขั้นพื้นฐานเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป เช่น การทารอาหารอร่อยๆ การมี sex ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์
https://www.preachingtoday.com/illustrations/2017/july/6072417.html
Social Media ได้ใช้กลไกนี้เป็นการดึงความสนใจของเราไว้ให้ได้นานที่สุด เช่น การที่เราสามารถเลื่อนลงดู Newfeed ได้อย่างไม่มีที่สุด ปุ่มไลค์, แชร์, คอมเมนท์หรือการแจ้งเตือนที่ทำให้เราเกิด Dopamine ทุกครั้ง
1
กระบวนการนี้อาจนำไปสู่การติดได้เทียบได้กับการใช้ยาเสพติดเลยทีเดียว
1
Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook
Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook เคยถึงกับกล่าวว่า “พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามัน (facebook) ทำอะไรกับสมองเด็กๆของเรา (God only knows what it does to our children’s brain)”
5. การโต้แย้งที่รุนแรง
เราอาจะเห็นได้ว่าอินเตอร์เน็ตนับวันจะเต็มไปด้วยการโต้แย้งที่รุนแรง ไร้เหตุผล และไม่รับฟังกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่อาจจะเป็นสาเหตุจากการที่ไม่มีความพยายามเข้าใจมุมมองผู้อื่นที่ได้กล่าวไปแล้วจากการขาดความเห็นอกเห็นใจ รวมถึงอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า Dunning Kruger Effect
Source: https://pantip.com/topic/37736878
Dunning Kruger Effect อธิบายได้สั้นๆว่าบุคคลที่รู้น้อยจะคิดว่าตัวเองนั้นรู้มากแล้วในหัวข้อหนึ่งๆและมีความมั่นใจสูงมาก
แต่คนที่รู้เยอะจะตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรอีกเยอะจนต้องมีความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งก่อนถึงจะมั่นใจอีกครั้ง
ถ้าเราเอาทฤษฎีนี้มาใช้จะเห็นว่าการคุยกันบนอินเตอร์เน็ต เต็มไปด้วยคนที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องนั้นๆทั้งๆที่ไม่รู้อย่างจริงๆโต้แย้งกัน แต่คนที่เชี่ยวชาญจริงๆก็จะไม่อยากโต้แย้งเพราะรู้ว่าอาจจะมีมุมมองที่ตนเองไม่รู้ก็ได้
เมื่อเรารวมเรื่อง Dunning Kruger Effect กับ การไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่คิดถึงมุมมองคนอื่น ก็จะได้สูตรผสมที่ลงตัวของความโกลาหลโต้แย้งบน Social Media พอดีครับ
6. ความปลอดภัยของข้อมูล
อาจกล่าวได้ว่าหนึ่งในคดีอื้อฉาวที่สุดของ Facebook คือ คดี Cambridge Analytica ขายข้อมูลของผู้ใช้ Facebook
1
The Great Hack สารคดีทาง Netflix
นี่ทำให้ทุกคนตื่นตัวถึงความปลอดภัยของข้อมูลตัวเอง และความเป็นส่วนตัว (ล่าสุดมีสารคดี The great hack ทาง Netflix ซึ่งเกี่ยวกับคดีที่ Facebook ขายข้อมูลให้ Cambridge Analytica แนะนำให้ลองไปดูกันครับ)
บทส่งท้าย
จะเห็นว่าผู้คนเริ่มตื่นตัวถึงอันตรายและข้อเสียของ Social Media ถ้าหากใช้มากเกินไป
แต่นั่นก็เป็นธรรมดาของประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เราค้นพบอะไรบางอย่าง ใช้มันมากเกินไป ค้นพบข้อเสียของมัน และกลับมาสู่จุดสมดุลหรือความพอดี
ไม่ว่าจะเป็น ทีวี โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต ทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร
เฟสบุ๊คนั้นก็ยังเป็นเครื่องมือที่เยี่ยมยอดในการติดต่อเพื่อน คนรู้จัก ครอบครัว เพียงแต่เราต้องใช้มันอย่างรับผิดชอบและเหมาะสมเท่านั้นเอง
References
โฆษณา