27 ส.ค. 2019 เวลา 08:49 • ความคิดเห็น
สี จิ้น ผิง กับการสร้างจีน 5.0
1
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า จีนเป็น.. ประเทศมหาอำนาจของโลกตอนนี้
นับตั้งแต่ จีน มีนโยบายเริ่มเปิดประเทศ
โดย เติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำรุ่นที่ 2 เมื่อ 40 ปีก่อน ปัจจุบัน "สี จิ้น ผิง" เป็น.. ผู้นำรุ่นที่ 5 หลังจีนเปิดประเทศ เป็น.. ผู้นำที่ได้ชื่อว่า สร้างความเปลี่ยนแปลง และทำให้จีนเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
"สี จิ้น ผิง"
ทำได้อย่างไร และ จะทำอะไรต่อไป
จีน กำลังจะมุ่งหน้าไปทางทิศทางไหน
อังกฤษใช้เวลา 150 ปี กว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ในขณะที่ เยอรมัน ใช้เวลา 65 ปี สหรัฐ 53 ปี
แต่.. จีน.. ใช้เวลาเพียง 12 ปี
ตัวเลขดังกล่าว จะช่วยให้เราเข้าใจคำพูดที่ว่า "เวลามีต้นทุน" ได้อย่างดี
โดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะถ้าคุณแค่อยู่เฉยๆ ในจีน เท่ากับคุณถอยหลังแล้ว
- การเมืองของจีน
มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว "สี จิ้น ผิง" เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกจะปฏิรูประบบการเมืองของจีน ให้อยู่ได้ด้วยแนวทางที่เข้ากับพื้นฐานของประเทศ ไม่ตามชาติตะวันตก จนควบคุมไม่ได้ !!
งานแรกที่ "สี จิ้น ผิง" เลือกที่จะทำ คือ การสลายขั้วอำนาจของการเมืองทั้งสอง ด้วยการปราบคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ !! นักการเมืองสองขั้ว โดนจับมากกว่า 120 คนในช่วงเวลาเพียง 2 ปีแรกที่.. สี จิ้น ผิง.. เข้ารับตำแหน่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมี..การปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นด้วย
1
กวาดล้างคอรัปชั่นนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
หลายฝ่ายมองว่า "สี จิ้น ผิง"
คือ สุดยอดของการคอมมิวนิสต์
คือ รวบอำนาจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้เดียว
แต่.. การกระทำดังกล่าว ทำให้สั่งงานได้ง่าย งานเห็นผล และสร้างความพอใจแก่ประชาชนได้มากที่สุด โดยรัฐบาลจีน ก็ยอมรับเสียด้วย และเรียกตัวเองว่า เป็น.. รัฐบาลเผด็จการเพื่อประชาชน !!
3
แน่นอนว่า การเป็นเผด็จการนั้น ย่อมเป็นเป้าให้ถูกวิจารณ์ แต่รัฐบาลจีน เลือกที่จะปล่อยให้วิจารณ์ไป.. โดยไม่ตอบโต้
แต่กลับรับมือด้วยการจ้าง "กองทัพนักโพสต์" ประมาณ 2 ล้านคน เพื่อคอยโพสต์ผลงานด้านดีของรัฐบาล
เรียกว่า..กระหน่ำโพสด้านดี จนคน..ลืมด้านเสียไปเลย
1
- สิ่งเดียวที่รัฐบาลจะเซ็นเซอร์ คือ ข้อความที่เรียกให้คนออกมารวมตัวกัน
1
เหตุผลที่.. "สี จิ้น ผิง" ต้องรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง น่าจะเป็นเพราะ
1. รวมอำนาจ...
เพื่อความเด็ดขาดในการปราบคอรัปชั่น
2. รวบอำนาจ...
เพื่อสร้างฐานการเมืองให้มั่นคง พอจะต้านกับกลุ่มทุนอำนาจ (ซึ่งน้อยลงทุกทีเพราะโดนล่อจนเรียบ)
3. รวบอำนาจ...
เพื่อสร้างความมั่นคงของรัฐบาล ในการนำประเทศภายใต้นโยบายใหม่ คือ เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งขัดกับรัฐบาล ก่อนๆ.. ที่เน้นการเติบโตแบบร้อนแรง
นโยบายเศรษฐกิจของ "สี จิ้น ผิง" เน้นให้ประเทศเติบโตจากการลงทุนของเอกชน ในขณะที่รัฐบาลชุดก่อน ภาครัฐเป็นผู้ลงทุน และ เน้นการลดกำลังการผลิตส่วนเกิน หันไปสู่การผลิตที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
โดยพยายามส่งเสริมภาคการผลิต ที่เป็นสินค้าเชิงคุณภาพ และมูลค่าสูง เช่น อิเลคโทรนิคส์ หรือ เน้นนวัตกรรม
รัฐบาลจีน..ยังคงลงทุนอยู่ แต่จะลงทุนเฉพาะ
1. สาธารณูปโภคในเมืองห่างไกล
2. ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม
ที่จีนกำลังขาดแคลน
3. ลงทุนในด้านนวัตกรรม หรือ
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น AI
และ ลงทุนในการยกระดับเทคโนโลยี
1
Milestones ของจีน
ภายใต้การนำของ "สี จิ้น ผิง" คือ
-ปี 2021 (พรรคคอมมิวนิสต์ครบ 100 ปี)
คนจีนทั้งประเทศ จะอยู่ดีกินดีระดับหนึ่ง
ปราศจากความยากจน (แค่ 3ปีนับจากนี้)
-ปี 2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย
-ปี 2049 ประเทศจีนจะครบรอบ 100 ปี
จีน.. จะเป็นประเทศมหาอำนาจสมัยใหม่ ที่ร่ำรวย ประชาชนเป็นใหญ่ เลิศวัฒนธรรม สมานฉันท์ และสวยงาม
ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีน
แบ่งตามความเหมาะสมของแต่ละ ภาคส่วน (cluster) ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนยังมี
เทคโนโลยีห่างไกลจากประเทศตะวันตก จีนจะใช้วิธีการเข้าไป takeover บริษัท แล้วดึงความรู้กลับมา (ดูด know how) หรือไปตั้งศูนย์วิจัยของตัวเอง ที่ประเทศดังกล่าว (ดูดคน) หรือ ชักชวนบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงาน หรือมาลงทุนในจีน และสุดท้าย คือ
ส่งเสริมให้ R&D ของจีน ค้นคว้าด้วยตัวเอง
2. ภาคอุตสาหกรรมที่จีนมีเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่น รัฐบาลจะลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง
3. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่มีแรงงานเป็นหลัก ผลิตของราคาถูก จะเน้นให้..ยกระดับไปผลิตของที่มีมูลค่าสูงขึ้น
แต่ถ้าเป็น อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถยกระดับได้ จะให้ย้ายโรงงานฐานการผลิตจากตะวันออกไปตอนกลางของประเทศ หรือไปตั้งที่ต่างประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่า
4. ภาคอุตสาหกรรมใหม่
หรือเศรษฐกิจใหม่ (New Ecomomy)
ที่จีนเริ่มต้น พร้อมประเทศอื่นๆ เช่น AIและนวตกรรมใหม่ๆ
จีนได้เปรียบในเรื่อง จำนวนทรัพยากรมนุษย์อยู่แล้ว
จึงทำให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จ หรือเป็นรูปธรรมได้มากกว่า
นโยบายเศรษฐกิจสำคัญ
ที่เราจะได้เห็นจากจีนนับจากนี้ คือ
ปี 2025
นโยบาย Made in China 2025
ที่จะพลิกจีนจากประเทศ การเป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก สู่ศูนย์กลางการผลิตสินค้า อุตสาหกรรมก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ หุ่นยนต์ รถยนต์ พลังงานสะอาด
ใครที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ การนำเข้าของจากจีน หูตาต้องกว้างไกลแล้ว เพราะต่อไปการขนส่งสินค้าจีน จะเปลี่ยนจากคำว่า Made in China ไปเป็น Made by Chinese แต่โรงงานอยู่ประเทศอื่น
และในปี 2030 จีนตั้งเป้าเป็นผู้นำ ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
เมื่อปี 2015
จีนประการศสร้าง cluster แห่งอภิมหาเมืองรวม 11 แห่ง
หลักการ คือ การเชื่อมเมืองใหญ่ และเมืองเล็กโดยรอบหลายเมืองเข้าไว้ด้วยรถไฟความเร็วสูง
พัฒนาเมืองใหม่ขึ้น ตรงกลางของ Cluster เพื่อเป็นการ
กระจายความเจริญ ลดความหนาแน่นจากเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้คนอยู่เมืองเล็ก ไม่ต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาอัดแน่นในเมือง เพราะรถไฟความเร็วสูงสามารถ พามาถึงเมืองใหญ่ภายในชั่วโมงเดียว
3 แห่งที่จะเป็นอภิมหาเมืองระดับ Super Cluster
-Jing-Jin-Ji ศูนย์กลางอยู่ปักกิ่ง
เชื่อม 13 เมือง 130 ล้านคน
-Yangtze River Delta
ศูนย์กลางอยู่เซี่ยงไฮ้
เชื่อม 16 เมือง 80 ล้านคน
-Pearl River Delta
ศูนย์กลางอยู่กวางเจา
เชื่อม 11 เมือง 80 ล้านคน
ทั้งหมดที่ว่ามา เราจะได้เห็นในปี 2050
โครงการเชื่อมโลก
One-Belt-One-Road ที่เราคุ้นหู
ประเทศไทย อยู่ในส่วนที่เรียกว่า
"ระเบียงเศรษฐกิจคาบสมุทรอินโดจีน"
ซึ่งรวมเวียดนาม และกัมพูชาด้วย
ระเบียงนี้เป็นเพียง 1 ใน 6
ระเบียงเศรษฐกิจย่อยเท่านั้น
ภาพรวมของโครงการนี่ ต้องบอกว่า ใหญ่ระดับที่ส่งผลกระทบ กับชีวิตคนมากกว่าครึ่งโลกจริงๆ
ยุทธศาสตร์นี้เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า
จีนพร้อมแล้ว !!
ที่จะก้าวขึ้นมาร่วมเป็นผู้นำของโลก
นี่คือหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้เกิด
สงครามทางการค้าสหรัฐและจีน
จากเรื่อยเปื่อย: อ่านมาเห็นว่าดีหรู อลังการงานสร้าง ใครสนใจในรายละเอียด ที่ไม่แทรกความเห็นเรื่อยเปื่อย ต้องไปอ่าน China 5.0 นะครับ
เช่นเคย ไม่มีอะไรทำปวดหัว กับ ตลาด เดี๋ยวชกกัน เดี๋ยวมาบอกว่าจะโทรคุยกัน อ้าว!อีกคนมาบอกไม่เคยโทร แล้วมันจะยังไงกัน ไม่ใช่นายเรื่อยเปื่อย นิ
แต่ที่แน่ ๆ ชอบก็กดไลค์ รักก็กดเลิฟ
มึนงงก็กดหัวเราะไว้ก่อนสไตล์ไทย
พอใจก็กดติดตาม ถ้ายังไม่ได้กดรีบกดโอ้โห นะจ๊ะ ขอบพระคุณ 😛😜😝
โฆษณา