30 ส.ค. 2019 เวลา 02:51 • ความคิดเห็น
ผู้จัดการทีมฟุตบอล ซีอีโอ และ นายกรัฐมนตรี
เนื่องจากหาภาพเก้าอี้นายกฯ ที่ทำเนียบตอนว่างไม่ได้ จึงขอให้รูปนี้แทน
ข่าวกีฬาที่เคยดูในตอนเช้า ‘ทีม... ปลดผู้จัดการคนเก่า... เนื่องจากผลงานในฤดูกาลที่ผ่านมาย่ำแย่มาก จึงเปลี่ยนผู้จัดการทีมคนใหม่ ชื่อ... มาเป็นผู้กุมยุทธศาสตร์เกมลูกหนังแห่งทีม...(ฉายา) ข้ามมาอีกช่วงเวลาหนึ่งยามอาทิตย์อัสดง ‘ซีอีโอ... แห่งบริษัท... ขอลาออกจากการบริหารบริษัทด้วยความไม่โปร่งใส และมติที่ประชุมของกรรมการ ได้ออกมาให้นาย... เป็นซีอีโอในที่สุด...
Alex Ferguson เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุด
Steve Jobs เป็นหนึ่งในซีอีโอที่ผมชื่นชอบเนื่องจากเขามีปรัชญาในการสร้าง Apple
ผมสงสัยว่า ถ้าโลกเราปล่อยเสรี ให้คนทั่วโลกมีโอกาสที่จะได้รับเลือกเป็นผู้นำประเทศๆ หนึ่ง มันจะมีผลดีและผลเสียอย่างไรบ้าง
ผลดี:
1)เป็นการเปิดเสรีภาพในการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง (Freedom to be a leader) โดยไม่ถูกจำกัดด้านรัฐที่สังกัดอยู่ สัญชาติที่ได้รับมาตอนเกิด หรือความชื่นชอบส่วนตัวของแต่ละคน
2)ผู้มีสิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งจะมีตัวเลือก (Candidate) จำนวนมากมายมหาศาลจากทั่วโลก และเลือกคนที่คู่ควรมากที่สุด เป็นการเปิดเสรีภาพด้านการเลือกผู้นำ และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน พัฒนาความคิด อุดมการณ์ เพราะคนเก่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้เป็นผู้นำ
3)หากมีคนมีความสามารถต่างสัญชาติมาคอยพัฒนาพื้นที่ จากที่ๆ ไม่มีใครเหลียวแล สามารถกลายเป็นพื้นที่มี ความเจริญมากขึ้นได้ สำหรับผู้ที่มีจิตอาสา อยากเป็นนักพัฒนาชุมชน ดังที่เห็นมีชาวยุโรปหลายคนไปพัฒนาพื้นที่ในทวีปแอฟริกา
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ขององค์การสหประชาชาติ หลายข้อในนี้ได้พูดถึงการพัฒนาพื้นที่กันดารเช่นแอฟริกา ให้พัฒนาให้ดีเทียบเท่าส่วนอื่นของโลก
4)เป็นวิธีที่ดีในการสลายความแตกต่างระหว่างชาติ สิ่งที่สร้างมาจากประวัติศาสตร์ และหลอมรวมทุกคนกลายเป็นพลเมืองของโลก (World Citizen) และผมเชื่อว่า เมื่อมนุษย์สามารถท่องอวกาศไปอยู่บนดวงดาวอื่น เมื่อนั้นความเป็นชาติที่ผูกพันธ์กับเขตแดนจะไม่จำเป็น ในอนาคตสิ่งที่จะแทนประเทศน่าจะเป็นดาวที่อยู่ และระบบสุริยะจะแทนเขตแดนของแต่ละประเทศ
หนังสือเดินทาง (Passport) อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปหากเราเป็นพลเมืองของโลกใบนี้โดยปราศจากการแบ่งแยกระหว่างกัน
ผลเสีย:
1) ทำให้ความกระตือรือร้นที่จะมาพัฒนาบ้านเกิดน้อยลง เพราะว่าเราสามารถออกไปพัฒนาทุกทีได้ และไม่ได้เป็นการฝึกทักษะให้กับคนจริงๆ เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด แม้ว่าการสร้างคนให้เก่งจะยากกว่า ใช้เวลานานกว่าการดึงตัวคนเก่งมาใช้งานเลย แต่การสร้างคนให้เก่งเพียงหนึ่งคน และเอาความเก่งที่ได้ ไปถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปให้ได้ 10 คนจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า
2) เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นระหว่างพื้นที่ที่มีตัวเลือกมาก กับพื้นที่ที่มีตัวเลือก หากเอาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลือกกับประชากรจะสามารถแบ่งได้เป็นสี่กลุ่มได้แก่ 1.คนมากตัวเลือกมาก (จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่นเป็นต้น) 2.คนมากตัวเลือกน้อย (ประเทศในทวีปแอฟริกา) 3.คนน้อยตัวเลือกมาก (น่าจะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย) 4.คนน้อยตัวเลือกน้อย (น่าจะเป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก)
แผนที่โลก
3) อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้นได้ และหากมีคนจีน (ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด) มาเป็นผู้นำทุกประเทศทั่วโลก ในทางพฤตินัยแล้ว เท่ากับว่าทั้งโลกเป็นของประเทศจีนไปแล้ว แต่ถ้าไม่ได้มีเจตนาที่ดี มาเพื่อพัฒนาท้องที่นั้นๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนในพื้นที่เดิม แต่คนในพื้นที่เดิมที่มีความสามารถจะถูกทอดทิ้ง และถูกบังคับให้อพยพออกไปพัฒนาพื้นที่อื่น
4) ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมจะหายไป ข้อนี้ผมไม่สามารถเขียนได้เนื่องจากยังมีความลำเอียงอยู่นิดนึงไปกับฝั่งเห็นชอบ แต่ผู้เขียนขอพูดถึงข้อจำกัดระหว่างภาคเอกชน (ทีมฟุตบอล บริษัท) กับมหาชน (ประเทศ) เนื่องจากเอกชนต้องการผลประกอบการให้ดีที่สุด ทั้งการเป็นหัวตารางให้กับแฟนๆ หรือการมีกำไรที่เติบโตให้กับผู้ถือหุ้น ต่างจากมหาชนที่ต้องทำให้ประชาชนมีความสุขในการใช้ชีวิตให้มากที่สุด หรือเงื่อนไขด้านผู้มีสิทธิออกเสียงในฝั่งเอกชนจะประกอบด้วยประธานสโมสร กรรมการทีม กรรมการบริษัทเป็นต้น ต่างจากมหาชนที่มีผู้ออกเสียงคือประชาชนที่อายุถึงเกณฑ์
ผมมีความยินดีถ้าการเป็นผู้นำประเทศไม่ได้จำกัดที่ประเทศที่เกิด สัญชาติที่ได้รับ และเป็นผู้นำรับใช้นายหลายแผ่นดินเฉกเช่นประเทศจีนในกลียุค ที่แม่ทัพต่างแปรพักตร์กันบ่อยครั้งเพื่อตนเองบ้าง เพื่อครอบครัวบ้าง เพื่อแผ่นดินบ้าง หรือเพื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าคือหนึ่งในสุดยอดคน
สำหรับคุณผู้อ่านทุกๆ ท่านที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ผมก็ขอขอบคุณด้วยครับ และผมอยากทราบว่าผู้อ่านมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา