30 ส.ค. 2019 เวลา 03:34 • กีฬา
แชร์ประสบการณ์งานปั่นประเพณีขึ้นดอยอินทนนท์ ครั้งที่ 10
(แชร์ประสบการณ์ฯ และแนะนำวิธีเอาตัวรอด-เท้าไม่แตะพื้น-ไม่เป็นตะคริว)
ที่เรียกว่างานปั่นประเพณี เพราะงานนี้ไม่มีกติกาขอให้ปลอดภัย ... รถอะไรก็ได้ เบาเท่าไหร่ก็ได้ มาทดสอบตัวเองกัน กับภูเขาลูกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ความชัน ความสูงรวมประมาณ 2,500 m. ในระยะประมาณ 45 กม. ... ปีที่แล้วมาปั่นครั้งแรก ทำเวลาไป 4 ชั่วโมง 48 นาที จูงตั้งแต่เนินพระธาตุจนถึงสิ้นเนิน TOT (เป็นระยะประมาณ 3 กม. ที่โหดที่สุดของทางขึ้นดอยอินทฯ) ...
ประสบการณ์จากปีที่แล้ว ความรู้ที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมจากการเติมพลังงาน การโภชนาการ การประคองหัวใจ และการเข้าใจร่างกาย กล้ามเนื้อที่(น่าจะ)ได้เพิ่มเติมจากการฝึกวิ่ง ... ทำให้ปีนี้ปั่นได้จบ “เท้าไม่แตะพื้น” รอดพ้นจากตะคริว ... แม้ว่า ปีนี้ จัดตรงกับวันที่ 19 กพ 60 เพียง 7 วันหลังจาก CMU Marathon แค่อาทิตย์เดียว ร่างกายยังไม่ Full Recovery เหนื่อยจากการเดินทาง และไม่ได้ซ้อมจักรยานเลยในช่วงสุดท้ายก่อนมาราธอน ... ทำให้ไม่คาดหวังมากนัก .. แผนคือประคองตัวเป็นหลัก
ประสบการณ์จากปีที่แล้วที่มาแบบไม่ตั้งใจ ไปราชการกทม. ขากลับแวะมาปั่น ... ทำให้ปีนี้ให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวมากขึ้น .. ปีนี้ ...
- เปลี่ยนเบาะ กับล้อ และเอาทุกอย่างออกเท่าที่เอาออกได้ น้ำหนักเหลือประมาณ 7.4 กก. ... ไม่รวมน้ำ 2 กระติก (แชมป์ปีนี้รถหนัก 5.4 กก.)
- ไม่แบกของไปมากนัก .. แต่ก็ยังเอาเสื้อร่มกันหนาว ยางอะไหล่-เครื่องมือซ่อมรถนิดหน่อยติดไป … ไม่เป็นไร ไม่ได้ชิงแชมป์โลก ไม่คาดหวังเวลามากนัก ขอแค่ sub4 คิดว่าพอไหว ...
- ชุดขับ ไปถอดเอาเฟือง XT 11-34 ของเสือภูเขา มาใส่ (ลงทุนน้อยสุด) .. โดยต่ออะแดปเตอร์เสริมตีนผี นอกนั้น เป็นชุด SRAM Force ตัวเก่า 10 speed .. ตีนผีก็ตัวเดิม ปรับระยะได้พอดี ... ปีที่แล้วเอาเฟือง 11-30 จากรถอีกคัน กทม. มาประกอบหน้างาน แต่เฟือง 30 เข้าไม่ได้ บดนิดๆเพราะตีนผีสั้นไป .. ต้องปั่นเฟือง 27 ขึ้นไปจนถึงเนินพระธาตุ แล้วไปบด 30 แป๊บนึงก่อนตะคริวมาทั้งขา ปั่นไม่ได้อีกต่อไป .. คิดย้อนไปก็นับถือตัวเองที่ลากมาได้ขนาดนั้น
- ความรู้เรื่องเติม ประเมินแคลอรี่แล้วน่าจะใกล้เคียงกับการวิ่งมาราธอน คือประมาณ 2,500 kcal คำนวณแล้วต้องเติมแคลอรี่ประมาณ 600 kcal ... ทำให้ปีนี้เตรียมเจลไป 5 ซอง .. ฉีกกินตามกำหนดตามแผน ... ก่อนปล่อยตัวกินอินทผาลัม และช๊อคโกแลตไปอีก ไม่นับก่อนออกบ้านขนมปัง-กาแฟตามปกติ ... รวมๆแล้วประมาณว่าแคลอรี่เหลือดีกว่าขาด .. กินน้ำเกือบทุกจุด .. (เรื่องน้ำสามารถ ลดน้ำหนักรถได้อีก เพราะหลัง กม. 20 มีน้ำหลายจุด แทบไม่ต้องพกน้ำ)
- ทำกระดาษ Note ความชันที่ยากๆ แปะติดรถไว้เตือนตัวเองให้เตรียมตัวรับมือกับเนินโหดๆ
ข้ามเรื่องเดินทาง การนอนพักผ่อนที่ไม่ค่อยพอ ไปจนถึงหน้าจุด Start เลยล๊ะกัน .. ปีนี้จุด Start เปลี่ยนมาอยู่ในเส้นขึ้นดอยอินทฯก่อนถึงแยกไฟแดง ... ดังนั้น ระยะจะสั้นกว่าปล่อยหน้าที่ทำการอำเภอไปประมาณ 2-3 กม. ... การจัดการเรื่องจราจร ดีกว่าปีที่ผ่านมาเยอะ .. แม้ว่าขาลงมายังจุดจอดรถบรรทุกขนคนลง อาจจะอันตราย แต่ก็ควรระวังกันเองด้วย สำหรับนักปั่น .. เอาจริงๆงานนี้ มือใหม่มากๆ ก็ไม่ควรมา ควรปั่นเป็นพอสมควร เพราะขาขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว ขาลงอันตรายเสมอ สำหรับภูเขา งานปล่อยตัวสายกว่ากำหนดการนิดหน่อยตามพิธีการเมืองไทย .. งานนี้ไปปั่นกับทีม SUDSOI THAILAND เชียงใหม่ วางแผนกันว่าต้องไปรอออกตัวด้านหน้า เพื่อหลบปัญหารถติดที่เนินรับน้องหลังด่าน 1 (เนินชันเนินแรก) ... พอออกตัว ก็กระจายตัวกันไป ส่วนตัวก็ไปเร็วแต่ไม่เร็วมาก พยายามไม่เกิน 40 km/h. เพื่อเตรียมหัวใจไว้รับเนินรับน้อง แล้วจะไปตามแผนคือ คุม hr. ไม่เกิน 160 แล้วทดสอบเกียร์ต่างๆให้นิ่ง .. ทุกอย่างเป็นไปตามแผน .. พอผ่านเนินยากๆ ซัก 3-4 ลูก .. ลำดับต่างๆก็ค่อนข้างนิ่ง .. ไปกันตาม tempo ของใครของมัน .. ช่วงแรกไม่ยากมาก จุดให้น้ำจะเริ่มมีหลัง กม. 20 ไปแล้ว หลังเนินยาวก่อนถึงน้ำตกวชิรธาร ... ปั่นมาเรื่อยๆ เน้นปั่นให้สบาย “คุม Heart Rate และสลับกล้ามเนื้อ ลุกยืน-นั่งปั่น ไปเรื่อยๆ” (เคล็ดลับเอาตัวรอดเลย)
มาถึงที่ทำการฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที (ประมาณ กม.ที่ 31) .. จำได้ว่าเร็วกว่าปีที่แล้ว 20 นาที .. และรู้ว่าหลังจากนี้คือ ของจริง .. ความยากของงานขึ้นดอยอินทฯ คือ ทางชันที่จะค่อยๆนวดเรามาเรื่อยๆ .. ยิ่งใกล้เส้นชัยยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ .. ทางชันยาวๆ 2-3 กม. ต่อเนื่องเริ่มมีมากขึ้น .. โอกาศในการพักขาแทบไม่มี พร้อมกับการกิน การดื่มน้ำที่ต้องหาจังหวะกินเจลตามแผนตาม Note ที่เตรียมมา ... พอผ่านด่านตรวจที่ 2 นั่นแปลว่าเหลือระยะไม่ถึง 10 กม. เท่านั้น (แต่จากนี้ใช้เวลาเกือบ ชม.ครึ่ง) ... และแล้ว ก็ผ่านทิวเขาเห็นพระธาตุ (พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล ) อยู่ไกลๆ (เข้า Dead Zone) .. ทางชัน 15-20% ยาวๆ เริ่มออกมานวดเราไปเรื่อยๆ .. พอโผล่มาที่จุดชมวิว กิ่วแม่ปาน ที่ๆซึ่งตากล้องจะไปรอดักถ่ายภาพ ... ความชันพีคๆ และความล้าสะสมจะแสดงผลตรงนี้ กันเป็นส่วนใหญ่ .. ปีนี้ ปั่นประคอง สลับลุกยืนโยก สลับนั่งถีบ สังเกตตัวเลข Heart Rate และความล้าที่กล้ามขาสลับไป .. “หลักการ คือ ความชัน ทำให้เรากดบันไดไม่ลง หรือใช้กล้ามเนื้อเยอะมาก จนเสี่ยงตะคริว .. ส่วนการยืนโยก น้ำหนักตัวช่วยให้กดบันไดง่าย แต่หัวใจจะขึ้นเร็ว (ใครยืนโยกไม่เป็น หรือไม่ทน ไม่มีทางขึ้นเขาสำเร็จ) ... ต้องคอยสลับกล้ามเนื้อ และพักหัวใจไปไม่ให้อย่างใดอย่างนึงถึงจุด peak” พอผ่านเนินกิ่วแม่ปาน ที่รอดพันจากการถ่ายรูปคนจูงรถ ทางยังลาดขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดให้ recovery ถ้ามีพื้นที่ ควรอาศัยการปั่นซิกแซก เพื่อลดความชันลงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ทำได้ยาก เพราะติดเพื่อนนักปั่นด้วยกัน .. พอผ่านกิ่วแม่ปาน ทางเริ่มราบแต่ยังเป็นทางขึ้นตลอด แต่พอได้หายใจบ้าง .. ตรงนี้ มีความภูมิใจว่าผ่านเนินพระธาตุมาได้ .. เพราะปีที่แล้วเป็นตะคริวที่เนินพระธาตุ แล้วเข็นยาวๆ ไป เพราะขึ้นจักรยานไม่ได้เลย ตะคริวตอดแรงๆตลอดเวลา ... แต่เอาจริงๆ เนินโหดสุด กลายเป็น เนิน TOT เนินชันยาวสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย .. ความล้าที่สะสม ทำให้การประคองผ่านเนิน TOT กินเวลายาวนานและทรมานสุดๆ .. นั่งปั่นจนกล้ามเนื้อกดลูกบันไดไม่ลงแล้ว (คนเตรียมเฟืองเบอร์ใหญ่มาจะได้ประโยชน์ในการนั่งปั่น) ตะคริวส่งสัญญาณมาไกลๆ แต่การสลับกล้ามเนื้อ ก็ประคับประคองจนผ่านไปได้จนพ้นเนิน เสียงจุดให้น้ำบนเนินบอกเลยว่า “หมดแล้วพี่ สู้ๆ” ... เรารู้แล้วว่าปีนี้ ทำสำเร็จแล้ว ... จากนั้นก็เป็นทางราบไว้ตั้งความเร็วนิดหน่อย เพื่อปั่นเข้าเส้นชัยตามเวลา Gun Time ที่ 3:42:44 เวลา Chip Time คือ 3:40:47 (เป็นทางการ) ... ทำได้สำเร็จ “ปั่นถึงยอดดอยอินทนนท์ โดยเท้าไม่แตะพื้น” .. รู้สึกสะใจ ภูมิใจ และหนาว (อุณหภูมิด้านบนประมาณ 13 องศา) .. พอรับเหรียญ รับเวลา ติดสติ๊กเกอร์ที่เหรียญ ทานข้าวแล้ว ก็รีบไหลลงมากิ่วแม่ปาน แล้วนั่งรถบรรทุกขนรถ-ขนคนลงมาจุด Start .. ปั่นจักรยานกลับไปที่รถยนต์ แล้วขับรถกลับแม่ฮ่องสอน อิ่มอกอิ่มใจ ... จบ
ถามว่าปีหน้ามามั๊ย .. ถ้าตอบแบบเร็วๆ คงตอบว่าไม่มาแล้ว .. เพราะทำได้แล้วตามที่ตั้งใจ ... แต่ถ้ามาอีกเพื่อพัฒนาเวลา ต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้เยอะ ... 1) ซ้อมแรงขาให้มี watt เยอะๆ 2) เพิ่มเฟืองหลังเพื่อมี safety ในเนินโหดๆ, เพื่อรักษารอบขา และเพื่อไม่ต้องพะวงใช้แรงอัดทำเวลาในช่วงอื่นๆได้ หรือ 3) ลดน้ำหนักรถลงอีก และ 4) เตรียมร่างกายให้ดี ลดน้ำหนักซักหน่อย ... มาก่อนซักวันสองวันเพื่อพักร่างกายให้ดีๆ ... หรือหากมีเหตุอื่นๆ ก็อาจจะมาอีก แบบปั่นขำๆกับเพื่อนฝูง หรือ ลองเปลี่ยนมาเป็นเสือภูเขาบ้าง .. คือ งานท้าทายและสนุกดี ระหว่างปั่นก็มีเรื่องสนุกๆเยอะ .. ปัญหามีแค่การเตรียมการมันเยอะ .. การเดินทาง ที่พัก ... คนเยอะมากต้องจองล่วงหน้านานๆ ... แต่ก็ยอมรับว่าจัดได้ดีขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการกันรถ การจราจรต่างๆ .. และคงจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เพราะเป็นงานประเพณีที่นักปั่นทุกคนคงจะต้องมาซักครั้ง .. พวกยังไม่ผ่าน ก็จะมาแก้มือกันทุกปีๆ ... ว่ากันไป
#test
โฆษณา