30 ส.ค. 2019 เวลา 10:11
'กรมทหารที่ 54'
กองทหารผิวดำผู้ไม่ครั่นคร้ามต่อความตาย
+ ปี ค.ศ. 1861-1865 สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกามีจุดกำเนิดจากความขัดแย้งเรื่องทาส เป็นแรงผลักดันให้คนหนุ่มผิวดำทั่วประเทศลุกขึ้นจับอาวุธ เพื่อแสดงพลังขจัดอคติที่มีต่อคนผิวสี
+ 'กรมทหารที่ 54' หรือ กรมทหารราบอาสาสมัครแมสซาชูเซตส์ที่ 54 (54th Massachusetts Volunteer Infantry Regiment) เป็นกองทหารผิวดำที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มแรกๆ และมีชื่อเสียงที่โด่งดังที่สุด วีรกรรมอันหาญกล้าของทหารเดนตายกลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้กองทัพฝ่ายเหนือได้รับชัยชนะในที่สุด
+ ในยุคที่คนผิวสียังไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง กองทหารกองนี้ต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งทั้งจากทหารผิวขาวในกองทัพตัวเอง และความโหดเหี้ยมไร้ปราณีจากศัตรูที่มองว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์เท่าเทียมกัน
ภายใต้บรรยากาศอันสงบของสวนสาธารณะ Boston Common เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ มีรูปปั้นสำริดบนอนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งเป็นฉากนายทหารหนุ่มหนวดเข้ม ไว้เคราแพะ กำลังขี่ม้าด้วยท่วงท่าองอาจ ท่ามกลางกองทหารเดินเท้าที่แบกปืนนำหน้าไปยังสมรภูมิ
หากมองผิวเผินก็เหมือนอนุสาวรีย์รำลึกถึงชัยชนะในการรบอันโด่งดังทั่วไป แต่สิ่งที่แปลกไปจากอนุสาวรีย์สงครามคือ กองทหารกลุ่มนั้นเป็นทหารผิวดำ
พวกเขาคือเหล่าทหารผิวดำจากกรมทหารราบอาสาสมัครแมสซาชูเซตส์ที่ 54 (54th Massachusetts Volunteer Infantry Regiment) กองทหารผู้เกรียงไกรแห่งสงครามกลางเมืองอเมริกา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1863 ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ประกาศเลิกทาสอย่างเป็นทางการครั้งแรกในระหว่างที่สงครามกลางเมืองกำลังระอุ ฝ่ายเหนือกำลังถูกฝ่ายใต้หรือฝ่ายสมาพันธ์ (Confederacy) รุกหนักจนพ่ายแพ้หลายครั้ง ในเนื้อหาของประกาศระบุว่า คนผิวดำสามารถจับอาวุธเข้าร่วมกองทัพได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของกองทหารผิวดำในกองทัพฝ่ายสหพันธ์หรือฝ่ายเหนือ (Union)
กองทหารผิวดำถูกจัดตั้งขึ้นหลายกรม หนึ่งในนั้นคือ กรมทหารที่ 54 แห่งแมสซาชูเซตส์ นำโดยผู้พันหนุ่มผิวขาววัย 24 ปี จากครอบครัวนักรณรงค์เลิกทาส นามว่า โรเบิร์ต กูลด์ ชอว์ (Robert Gould Shaw)
สมาชิกส่วนใหญ่ของกรมทหารที่ 54 เป็นอิสรชนผิวดำจากรัฐทางเหนือ บางส่วนเป็นอดีตทาสหลบหนีจากทางใต้ที่เคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาก่อน ด้วยแรงจูงใจอันเต็มเปี่ยมจึงตัดสินใจจับอาวุธเพื่อปลดปล่อยพวกพ้องของตนทางใต้ โดยได้รับเงินเดือน 13 ดอลลาร์ต่อเดือนเท่ากับทหารผิวขาว ถือเป็นสิ่งดึงดูดคนผิวดำที่กระตือรือร้นจำนวนมากจากทั่วทุกมลรัฐ แม้ฝ่ายใต้ประกาศว่า เชลยผิวดำและนายทหารจะไม่ได้รับการไว้ชีวิตก็ตาม แต่นั่นไม่ได้สร้างความหวาดกลัวต่อคนที่เคยถูกกดขี่มานานแต่อย่างใด
"ข้าพเจ้ารู้สึกเคารพและภูมิใจในทหารใต้บังคับบัญชาของข้าฯอย่างมาก" เป็นข้อความอันน่าตื้นตันใจที่ผู้พันชอว์ได้บันทึกไว้
ความอยุติธรรมและการกลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่ทหารผิวดำต้องเผชิญระหว่างการฝึกหนักหลายเดือน แม้จุดหมายของฝ่ายเหนือคือการเลิกทาสก็ตาม แต่ชาวเหนือจำนวนมากยังคงเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำ
หลังจากเริ่มฝึกได้ไม่ถึงร้อยวัน ทหารผิวดำหน้าใหม่ทั้งหมดก็ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจภายใต้เครื่องแบบกองทัพสหรัฐ เสื้อกับหมวกแก๊ปสีน้ำเงินและกางเกงสีฟ้าอันสะดุดตา กองทหารกองนี้เดินแถวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนลงเรือไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องให้กำลังใจจากชาวเมืองบอสตัน แม้จะดูแปลกตา แต่พวกเขาก็เป็นตัวแทนแห่งความภาคภูมิใจของคนผิวสีในขณะนั้น คนที่เคยเป็นทาสแล้วหันมาจับปืนเดินหน้าเข้าต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตน
เมื่อมาถึงรัฐเซาท์ แคโรไลน่า ปราการด่านแรกของฝ่ายใต้ ผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพฝ่ายเหนือมองว่ากองทหารผิวดำไม่มีความสามารถเทียบเท่าทหารผิวขาว จึงโอนให้ไปเป็นช่วยงานช่าง ขุดส้วม ตัดไม้ตั้งค่าย แทนการสู้รบ ผู้พันชอว์ไม่อาจทนเห็นขวัญกำลังใจที่ตกต่ำลงของทหารตนอีกต่อไป เขาจึงร้องเรียนและขู่จะฟ้องศาลทหารเรื่องอาชญากรรมสงครามและทรัพย์สินที่ยึดมาอย่างผิดกฎหมายของเหล่านายพล หากยังไม่ยอมให้กองพันผิวดำได้ออกรบในแนวหน้า
ผลจากการขู่แบล็คเมล์ ทำให้กองพันผิวดำถูกส่งไปร่วมรบในการยกพลขึ้นบกที่เกาะเจมส์ (Battle of James Island) ศึกครั้งนั้นกองทัพฝ่ายเหนือถูกฝ่ายใต้โถมเข้าโจมตีพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้อง ทหารของผู้พันชอว์ระดมยิงและบุกเข้าประจัญบานจนฝ่ายใต้จนต้องล่าถอยไปในที่สุด ทำให้ฝ่ายเหนือกำชัยชนะและยึดพื้นที่นั้นได้
แต่แทนที่จะได้รับการตอบแทน กองทัพฝ่ายเหนือกลับประกาศว่า ทหารผิวดำจะได้รับเงินเดือนเพียง 10 ดอลลาร์ต่อเดือน หักค่าชุดอีก 3 ดอลล่าร์ เหลือเพียง 7 ดอลลาร์ ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ผู้พันชอว์ประณามการตัดสินใจของกองทัพ พร้อมแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทหารใต้บังคับบัญชา ด้วยการไม่ขอรับเงินเดือนจนกว่ากองทัพจะยอมจ่ายเงินเดือนตามจำนวนที่สัญญาไว้ พวกเขากลายเป็นทหารกลุ่มเดียวที่ไม่รับเงินเดือนตลอดปี ทว่ายังตัดสินใจสู้ต่อเพื่อพิสูจน์ตนเอง
เดือนก.ค. ปี 1863 กองทัพฝ่ายเหนือพยายามยึดเมืองชาร์ลส์ทาวน์ (Charlestown) อันเป็นเมืองท่าสำคัญของฝ่ายใต้ แต่ต้องผ่านป้อมวากเนอร์ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทาง ป้อมนี้อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม มีทะเลล้อมฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งเป็นบึงใหญ่ แถมตัวป้อมอยู่บนเนินทรายลาดชัน มีเพียงแนวทรายแคบๆ ที่สามารถเข้าไปถึงตัวป้อมได้ ถึงอย่างนั้นก็สามารถบุกเข้าไปได้แค่ทีละกองพันเท่านั้น ชัยภูมิแบบนี้เองที่ทำให้ข้าศึกตีฝ่าเข้าไปได้ยากลำบาก ทหารฝ่ายใต้กว่า 1,800 นายที่ป้องกันอยู่ย่อมต้องเล็งกระบอกปืนใหญ่มาทางแนวทรายแคบๆ อยู่แล้ว เพราะรู้ว่าฝ่ายเหนือไม่มีช่องทางอื่น
1
หลังจากกองเรือฝ่ายเหนือระดมยิงถล่มป้อมมาหลายวัน นายพลจอร์จ ซี. สตรอง (George C. Strong) ได้สั่งการให้กรมทหารที่ 54 นำทัพเข้าโจมตีป้อม นั่นหมายความว่า กองทหารผิวดำจะเป็นหน่วยกล้าตายที่ต้องฝ่ากระสุนและปืนใหญ่ศัตรูเข้าไปทะลวงแนวป้องกันก่อน เพื่อถ่วงเวลาและเบิกทางให้กองทหารอื่นตามเข้าไปได้ทีหลัง
ช่วงหัวค่ำของวันที่ 18 ก.ค. ปี 1863 กรมทหารที่ 54 เริ่มเดินหน้าไปตามทางแคบๆ ตามด้วยกองหนุนอีกสองกองพัน เมื่อเข้าใกล้ตัวป้อม ฝ่ายใต้เริ่มเปิดฉากสาดกระสุนและปืนใหญ่ใส่อย่างเต็มที่ สภาพที่กองทหารกำลังฝ่าเข้าไปเหมือนนรกอันแสนอลหม่าน ท้องฟ้าเริ่มมืด ฝุ่นฟุ้งกระจาย เสียงระเบิดรอบตัว ห่ากระสุนพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ท่ามกลางความโกลาหลนั้นเอง ผู้พันชอว์ได้ชักดาบออกมาแล้วสั่งบุกทันที เหล่าทหารหาญต่างวิ่งอาศัยกำบังหลุมทรายเป็นระยะๆ เพื่อหาทางเข้าใกล้ป้อม แต่ปืนใหญ่ของฝ่ายใต้ยังพุ่งเข้ามาไม่หยุดยั้ง เหล่าทหารยังต้องเผชิญกับคูน้ำตื้นๆ ที่มีไม้แหลมปักอยู่เป็นกับดัก ทำให้ต้องเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ท่ามกลางความมืดและแสงแปลบปลาบจากปลายกระบอกปืนของศัตรู
เมื่อเหล่าทหารฝ่าขวากหนามขึ้นมาได้ ก็ไต่ขึ้นไปตามเนินทรายท่ามกลางห่ากระสุน ระหว่างนี้เองผู้พันชอว์ที่นำหน้าทหาร ถูกกระสุนปลิดชีพเข้าที่หัวใจเสียชีวิตทันที พอพวกทหารเห็นผู้บังคับบัญชาสิ้นลม แทนที่จะถอยหนีตามปกติ กลับเปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นความบ้าคลั่ง พลธงโบกสะบัดธงนำทหารรุกขึ้นเนินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ประจัญบานกับศัตรูบนแนวกำแพงทรายอย่างห้าวหาญ การต่อสู้แบบระยะประชิดตัวเริ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างโรมรันกันด้วยดาบปลายปืน ไม่นานหลังจากนั้นศัตรูฝ่ายใต้ที่ป้องกันอยู่แถวกำแพงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ กองพันสนับสนุนที่ตามมาข้างหลังจึงเริ่มเข้าตีแนวป้องกันใกล้เคียงได้
ชัยชนะดูเหมือนจะใกล้แค่เอื้อม แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทหารฝ่ายใต้ที่เหลือเห็นแนวกำแพงของตนเองกำลังเสียเปรียบ ก็ส่งกำลังเสริมหลายร้อยนายเข้ามาโต้คืน ทหารฝ่ายเหนือรุกคืบเข้าไปได้ไม่นานก็ถูกตีโต้กลับ ต้องล่าถอยออกมาในที่สุด ศึกนองเลือดครั้งนี้คร่าชีวิตทหารกรมทหารที่ 54 ไปกว่าครึ่งหนึ่ง รวมถึงนายทหารและผู้บังคับบัญชาหลายคนที่เสียชีวิตในหน้าที่ด้วย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับฝ่ายใต้ ทำให้ต้องทิ้งป้อมไปอีกสองเดือนให้หลัง ความเสียสละของเหล่าทหารกล้าผิวดำในครั้งนั้นจึงไม่สูญเปล่า
1
วีรกรรมอันห้าวหาญของกรมทหารที่ 54 เลื่องลือไปในกองทัพฝ่ายเหนือ สิบเอกวิลเลียม คาร์นี (Sergeant William Carney) อดีตทาสเป็นผู้คว้าธงขึ้นนำเพื่อนทหารหลังพลธงตาย เขาถูกยิงถึงสามนัดแต่รอดมาได้ และเป็นชายผิวดำคนแรกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญในเวลาต่อมา
ปี 1864 กองทัพสหรัฐยินยอมจ่ายเงินเดือนเต็มจำนวนเทียบเท่ากับทหารผิวขาวให้พวกเขาในที่สุด กรมทหารที่ 54 กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ และต้นแบบให้คนผิวดำจำนวนมากสมัครเข้าร่วมกองทัพฝ่ายเหนือ ก่อนสิ้นสงครามมีจำนวนทหารผิวดำในกองทัพมากกว่า 180,000 นาย จนประธานาธิบดีลินคอล์นถึงกับยกย่องให้พวกเขาเป็นผู้ช่วยพลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายสหพันธ์ชนะสงครามได้ ก่อนที่กรมทหารที่ 54 จะปลดประจำการในช่วงสิ้นสงคราม
2
สามสิบปีต่อมา ชาวบอสตันรวมตัวกันจ้างศิลปินชื่อดังชาวฝรั่งเศส โอกุสตุส แซง-โกดอง (Augustus Saint-Gauden) ให้สร้างอนุเสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงความทรหดกล้าหาญของเหล่าทหารที่นอกจากจะสู้กับศัตรูแล้ว ยังต่อสู้กับความอยุติธรรมในกองทัพด้วย
ผลงานรูปปั้นสำริดชิ้นนี้เป็นผลงานไม่กี่ชิ้นที่แสดงถึงนายทหารและพลทหารที่ร่วมกันสู้รบ สื่อถึงความกลมเกลียวระหว่างผู้บังคับบัญชากับเหล่าทหารที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาด้วยกันตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต และได้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์คนผิวดำของสหรัฐอเมริกาจนถึงทุกวันนี้.
อ้างอิง
.
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ http://www.gypzyworld.com/article/view/1255
โฆษณา