1 ก.ย. 2019 เวลา 07:05 • ธุรกิจ
“เมื่อทฤษฎีของผมทำงาน หุ้นจะขึ้นจนคุณต้องร้องของชีวิต"
หนึ่งในวลีเด็ดในโลกออนไลของเหล่านักลงทุนในช่วง ปี2016 คงหนี้ไม่พ้น วลีนี้ “เมื่อทฤษฎีของผมทำงาน หุ้นจะขึ้นจนคุณต้องร้องของชีวิต “
ใช่แล้วหละครับ ผมกำลังพูดถึง ทฤษฎีผลประโยชน์ ของคุณพิชัย จาวลา ถ้าหาคุณเป็นนักลงทุนมาประมาณ 3-5 ปีก็คงต้องเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ. ส่วนตัวผมได้มีโอกาสฟังบรรยาของคุณ พิชัย จาวลา นักลงทุนอสังหาและหุ้น ซึ่งเค้าได้พูดเกี่ยวกับการนำ ทฤษฏีผลประโยชน์มาใข้กับการลงทุน
1
เอาหละครับ และพิเศษสุดๆในบทความนี้ผมจะมาบอกความลับที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับตลาดหุ้น” คุณรู้ไหมครับใครเก่งที่สุดในตลาดหุ้นไทย “ คำถามง่ายๆที่หลายคนคงรู้คำตอบในใจกันแล้วใช่ไหมครับ ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น กองทุนและนักลงทุนต่างชาติ
แต่เดียวก่อนครับ แค่กล่าวลอยๆแบบนี้มันคงจะดูง่ายไปหน่อยงั้นเรามาดูข้อมูลที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญกันก่อนครับ ก่อนอื่นเลยผมอยากจะยกหลักการสำคัญๆของทฤษฏีผลประโยชน์ มาให้ผู้อ่านได้รู้จักกันก่อน ทฤษฏีผลประโยชน์นี้ถูกคิดค้นภายใต้สมมุติฐานที่ว่า คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในระบบตลาดการเงิน
ใช่แล้วหละครับซึ่งก็คือคนส่วนน้อยที่ควบคุมเงินส่วนใหญ่ในตลาดนั้นเอง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ …เมื่อไหร่ก็ตามคนส่วนใหญ่เอนเอียงไปในทิศทางที่เหตุผลบอกว่าถูกต้อง …เมื่อนั้นเงินก็จะอยู่อีกฝั่ง ตามหลักของโลกทุนนิยม ที่คนส่วนน้อยจะเป็นผู้ถือครองเงินส่วนใหญ่ หลังจากนั้นก็จะมีเหตุผลออกมาสนับสนุน ให้คนส่วนใหญ่หายสงสัยว่าทำไมเงินถึงไปอยู่อีกฝั่งได้
ทีนี่เรามาลองดูข้อมูลชิ้นสำคัญที่ผมกล่าวไว้ในตอนต้นกันครับ. เราจะมาดูกันว่านักลงทุนกลุ่มใดที่เป็นผู้ชนะในตลาดหุ้นและเป็นกลุ่มที่ชี้นำการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคตกันครับ ก่อนอื่นเราต้องรู้กันก่อนว่าตลาดหุ้นขึ้นลงได้เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นกันระหว่างกลุ่มนักลงทุน ซึ่งทุกครั้งที่เกิดการซื้อขายทางตลาดหลักทรัพย์จะมีการสรุปออกมาให้เราได้รับทราบกันทุกวันโดยแยกตามกลุ่มนักลงทุน
ซึ่งมันคือหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะใช้อธิบายการทำงานของกลไล ทฤษฏีผลประโยชน์ หลายคนอาจจะไม่เคยสนใจข้อมูลในส่วนนี้ ความลับแรกเลยที่ผมอยากจะบอกผู้อ่านทุกท่าน. ยอดการซื้อขายคือข้อเท็จจริงที่กองทุนหรือต่างชาติไม่อาจหลบสายตายรายย่อยอย่างพวกเราไปได้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมได้ทำการเก็บข้อมูลย้อนหลังเพื่อพิสูจข้อสงสัยของตัวผมเอง
คำถามแรกที่ผมอยากรู้นักลงทุนกลุ่มใดที่มีผลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด ผมจึงได้ทำการหาข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างยอดการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนเทียบกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของตลาดหุ้น โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่ากลุ่มใดซื้อเยอะๆ หุ้นน่าจะต้องขึ้น กลุ่มใดขายเยอะๆหุ้นน่าจะต้องลง
และทำการเปรียบเทียบแยกตามวันเพื่อคิดออกมาเป็น %ความถูกต้องซึ่งได้ผลดั่งแผนภูมิข้างล่างนี้เลย
3
จากแผนภูมิข้างบนคือการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 7 ปี (2018-2012) จากข้อมูลหลายคนก็คงไม่แปลกใจไหมครับ มันก็เป็นปกติที่กองทุนจะมีผลต่อตลาดหุ้นมากที่สุดซึ่งการซื้อขายของกองทุนมีความสัมพันธ์กับการปรับตังเพิ่มหรือลดลงของตลาดหุ้นถึง 66% มาถึงตรงนี้หลายคงคงจะหมดหวังที่เห็นรายย่อยอย่างเรามี %ความถูกต้องแค่ 25% แล้วแบบนี่เราจะชนะ พวกกองทุนได้อย่างไร
1
แต่เดียวก่อนครับ จากข้อมูลมันเป็นการพิจารณแบบจบในวันโดยยังไม่พิจารณาถึงผลลัพในวันถัดไป ใช้แล้วหละครับรายย่อยอย่างเรายังคงไม่หมดหวัง เพราะวันพระไม่ได้มีหนเดียว.
เรามาลองเก็บข้อมูลกันต่อครับกับข้อสงสัยที่ว่านักลงทุนกลุ่มใดที่คาดเดาตลาดในวันถัดไปได้เก่งที่สุดผมใช้วิธีการเก็บข้อมูลคล้ายกับแบบแรกแต่ต่างกันตรงที่ เราจะใช้ยอดการซื้อขายในวันที่ N และใช้ผลของการปรับตัวของตลาดหุ้นวันที่ N+1 แล้วมาดู. ผลลัพท์กันครับ
2
อ้าวว เห้ย...ไม่เหมือนที่คุยกันไว่นี่หว่าาาา. ผมเองก็ยังคงแปลกใจเหมือนกันครับ เห็นแบบนี่แล้วพวกเรารายย่อยค่อยมีกำลังใจขึ้นนะครับ จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าหากรายย่อยซื้อหุ้นในวันที่ N ก็มีโอกาสถึง 50% ที่หุ้นจะขึ้นในวันถัดไป ฟังดูดีใช่ไหมครับ แต่ผมคงต้องขอขัดจังหวะผู้อ่านทุกท่านด้วยความจริงต่อไปนี้ครับ จริงอยู่หาพิจาราณแค่ วันที่ N และN+1 โอกาสในการชนะของทุกกลุ่มนักลงทุนก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร แต่ท่านคิดว่า กองทุน และต่างชาติที่เป็นคนส่วนน้อยที่มีเงินมหาศาลเค้าจะซื้อๆขายๆหุ้นเพื่อเอากำไรวันสองวันกันหรอครับ แน่นอนไม่มีทางเลยและนั้นเป็นเหตุผลที่รายย่อยอย่างเราๆแพ้ในเกมนี้ก็คือเราทนรวยกันไม่ได้ นั่นเอง
นั้นจึงเป็นที่มาของคำถามต่อไปหากเราให้เวลาสัก10วันแล้วค่อยทำการวัดผลนักลงทุนกลุ่มใดจะเป็นผู้ชนะโดยเราจะใช้ยอดการซื้อขายของวันที่ N เทียบกับการปรับตัวของตลาดในวันที่N+10 เทียบกับวันที่ Nและผลลัพท์ที่ได้ก็เป็นดังแผนภูมินี้
1
นั่นไงหละครับหากมองในระยะยาวกว่าเดิมแค่10 วันรายย่อยแพ้ราบคราบเลยครับ และผมเองก็ไม่แปลกใจที่ ต่างชาติและกองทุนมี %ในการชนะสูงถึง 65%และ54%ตามลำดับ
นั้นหละครับและนี้ก็เป็นการค้นหาข้อมูลคร่าวๆเพื่อมาอธิบายคำถามในใจของผม
จากข้อมูล หลายท่านคงจะพอมองภาพออกมากขึ้นนะครับว่าโลกของทุนนิยมมันไม่ได้ง่ายๆเลย เรากำลังเผชิญหน้ากับการพ่ายแพ้ในระยะยาว โดยที่เราอาจจะโดนหลอกให้ดีใจในบางครั้ง บางวัน ที่เราชนะรายใหญ่ได้ แต่ในระยะยาวตาม ทฤษฏีผลประโยชน์ ไม่มีทางเลยที่ทุกคนจะกำไรในตลาดหุ้นได้พร้อมๆกัน ดั่งนั้นหากวันใดที่ท่านได้กำไรมากๆในเวลาอันรวดเร็วจงระวังตัวไว้เสมอ เพราะเมื่อถึงเวลาเอาคืนเมื่อใด พวกเขาก็จะซัดพวกท่านกลับคืนชนิดที่แทบไม่ให้เหลือเสื้อผ้าออกจากตลาดเลย ซึ่งนี่แหละครับคือความโหดร้ายของตลาดหุ้น
1
อ่านมาถึงตรงนี้มันคงจะฟังดูหดหู่มากเลยถ้าผมจะจบบทความไปแบบนี้ เอาละครับถึงตรงนี่หลาลคนคงจะเข้าใจ ทฤษฏีผลประโยชน์และได้เห็นผลลัพของมันกันแล้วนะครับ จากตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาถึงเเม้ว่ามันจะเป็นเพียงเวลาสั่นๆ 7 ปี
แต่ผลลัพท์มันก็ไม่เคยเปลี่ยนหากพวกเรายังลงทุนด้วยวิธีการเดิม. ยัง action ตามคนส่วนใหญ่เราก็จะได้ผลลัพท์เท่าคนส่วนใหญ่. ส่วนตัวผมเองก็ไม่รู้ว่า ทฤษฏีผลประโยชน์มันจะทำงานเมื่อไหร ซึ่งก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบ แต่เอาเป็นว่าหากทุกท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคงจะได้ไอเดียไปลองทำการเก็บข้อมูลในอีกหลายๆเงื่อนไข และไม่แน่นะครับตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ทฤษฏีผลประโยชน์อาจจะกำลังทำงานอยู่ก็เป็นได้. ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
3
บทความนี้ผมได้เรียบเรียนขึ้นใหม่โดยมี referent จาก
บทความนี้เรียงเรียนขึ้นโดย Jay หนึ่งใน Fund Manager ของ GMH charity fund กองทุนที่นำ Performance Return ทุกปีจะแบ่ง นำไปช่วยเหลือการศึกษาและค่ารักษาผู้ป่วยยากไร้
ทุกๆบทความที่ได้ดาว GMH จะนำรายได้ทั้งหมดมอบให้เด็กพิการและผู้ป่วยยากไร้
ขอบคุณที่ติดตาม GMH Blockdit
โฆษณา