4 ก.ย. 2019 เวลา 15:40 • บันเทิง
ย่อ อยุธยาตอนนี้ พูดถึงบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์...ศรีปราชญ์
ชีวิตท่านน่าสนใจขนาดไหน...เชิญเสพ
ย่อ อยุธยา ตอนที่ ๑๗
...ก่อนจะไปถึงราชวงศ์บ้านพลูหลวง ยังมีคนสำคัญอีกคนในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ที่ผมลืมเล่าไป...ศรีปราชญ์...
อย่างที่บอกว่าในสมัยนั้น เป็นยุคทองยุคหนึ่งของอยุธยา ค้าขายเจริญ ศิลปะก็เจริญไปด้วย...ผู้คนตั้งแต่เจ้าเหนือหัวลงไปถึงไพร่ฟ้า ก็มีเวลาอภิรมย์กับบทกวีอยู่ไม่น้อย...
ศรีปราชญ์ได้โอกาสเปิดตัว แสดงความเป็นอัจฉริยะด้านบทกวี ตั้งแต่เก้าขวบ...เมื่อวันหนึ่ง พระนารายณ์ทรงแต่งโคลงสี่สุภาพค้างไว้สองบรรทัด...
...อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย...ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ...
แล้วก็ทรงแต่งต่อไม่ออก ค้างไว้แค่นั้น...
ให้ปราชญ์ประจำสำนัก...พระโหราธิบดี นำไปแต่งต่อ ก็ยังตื้อตัน...
...พระโหราฯท่านนี้ คือคนที่แต่งแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก...จินดามณี ที่เรารู้จักจนทุกวันนี้...
ขนาดโคตรปราชญ์อย่างคนแต่งจินดามณี ยังได้แค่นั่งมอง...แต่ลูกชายของท่านโหราฯ อายุแค่เก้าขวบ...เกิดคันมือขึ้นมา ก็เลยบังอาจเขียนต่อโคลงของเจ้าเหนือหัว...
...ผิวชนแต่จะกราย ยังยาก...ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อ เรียมสงวน...
“ผิวชน...” อ่านว่า ผิ วะ ชน...ไม่ได้แปลว่าผิวหนังของคน...แต่แปลว่า แม้ว่าคน...
การแต่งเติมนี้ แหลมคมทั้งในเรื่องรสคำ และความหมายที่ยอกย้อนเจ้าเหนือหัว...
พระนารายณ์คงเห็นว่า ไอ้เด็กคนนี้นอกจากเก่งแล้ว ยังกล้าที่จะแต่งความหมายแบบนี้...แทนที่จะกริ้ว กลับทรงเรียกให้มารับใช้ในเชิงกวี ตั้งแต่นั้นมา...
แล้วก็เป็นศรีปราชญ์นี่แหละ ที่ตอบโต้กับนายประตูเป็นโคลงสี่สุภาพ ที่ขึ้นต้นว่า...แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา...
...ไปหาต่อเอาเองนะฮะ ถ้ายกมาทั้งดุ้น จะยาวไป...
แล้วก็เป็นศรีปราชญ์นี้อีกแหละ ที่แต่งโคลงสุดท้ายในชีวิต สาปแช่งคนๆหนึ่งไว้...และก็เป็นไปตามคำสาปแช่งนั้น...
เรื่องมันเป็นยังงี้...
ไม่รู้ว่าความเป็นกวี ต้องคู่มากับความเจ้าชู้หรือยังไง...ศรีปราชญ์ในตอนหนุ่มๆ รับราชการกำลังรุ่ง...แต่กลับกำเริบถึงขนาดแต่งโคลงเกี้ยวสนมเอกของพระนารายณ์...
โทษจริงๆคือคอขาด...แต่ศรีปราชญ์เคยได้สิทธิ์พิเศษที่สามารถลดโทษเหลือเนรเทศได้...ก็ถูกขับไปอยู่นครศรีธรรมราช...
เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชท่านก็สายกวีเหมือนกัน ศรีปราชญ์ก็เลยเป็นคนโปรดในเวลารวดเร็ว...รวดเร็วจนเป็นที่หมั่นไส้ของคนเก่าคนแก่หลายคน...ในที่สุดก็มีคนใส่ร้าย...
ชื่อเสียงในทางเจ้าชู้ของศรีปราชญ์คงโด่งดังอยู่ไม่น้อย พอถูกใส่ความว่ายกพลตีท้ายครัวเจ้าเมืองนครฯ เจ้าเมืองฯก็เชื่อเลย...
ไม่ว่าศรีปราชญ์จะแก้ต่างหรือปฏิเสธยังไง เจ้าเมืองฯก็ไม่ให้โอกาส...จะตัดหัวท่าเดียว...
สุดท้ายศรีปราชญ์ก็ถูกนำไปมัดกับหลักประหาร...แต่ก่อนถูกตัดคอ ศรีปราชญ์ขอโอกาสเขียนโคลงบทสุดท้าย ลงบนพื้นดิน...เป็นโคลงที่โด่งดังมาจนทุกวันนี้...
...ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน...เราก็ศิษย์อาจารย์ หนึ่งบ้าง...
...เราผิดท่านประหาร เราชอบ...เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง...
เรื่องมันมายุ่งเอาตรงที่...ต่อมาไม่นาน พระนารายณ์อยากเรียกศรีปราชญ์กลับมารับใช้ด้านกวี...ซึ่งศรีปราชญ์คงทำไม่ได้ เพราะหัวไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว...
ก็ทรงกริ้วอย่างหนัก และเมื่อทรงทราบว่าก่อนตาย ศรีปราชญ์ได้จารึกโคลงสาปแช่งไว้บนพื้นดิน...ก็เลยทรงโปรดให้เป็นไปตามนั้นจริงๆ...
...”เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนอง”...เจ้าเมืองนครฯผู้หูเบา ถูกตัดหัวด้วยดาบเล่มเดียวกันกับที่ตัดหัวศรีปราชญ์...
...เอาล่ะ ไม่ตกหล่นอะไรในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แล้ว...เรามาเดินเรื่องต่อ เมื่อพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์...
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง คือราชวงศ์สุดท้ายของอาณาจักรอยุธยา...อุ้ย ใกล้จบแล้วเหรอ...
...ยังครับ ยิ่งใกล้จบยิ่งมีอะไรสนุกๆมาเล่าให้ฟังอีกเยอะ...
พระเพทราชาเป็นต้นวงศ์...ในแผ่นดินนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรน่ามาเล่า...ก็ขอเลยผ่านไปว่า...พอสวรรคต หลวงสรศักดิ์ซึ่งที่จริงก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพระนารายณ์ ก็ได้ครองราชย์ต่อ...มีพระนามว่า พระเจ้าเสือ...
...พระนามอย่างเป็นทางการของพระเจ้าเสือ ผมไม่พูดถึงแล้วกัน เพราะพูดไปก็ไม่มีใครจำได้ ผมยังจำไม่ได้เลย...
ฉายานามพระเจ้าเสือนี้ ว่ากันว่ามาจากการที่พระองค์ทรงเฮี๊ยบมาก ระเบียบจัด บุคลิกส่วนพระองค์ก็ทรงชื่นชอบการปะทะอย่างยิ่ง...
...ทรงเก่งมวยไทยถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่า มีการปลอมตัวไปเป็นสามัญชน ไปท้าชาวบ้านต่อยมวย...แล้วก็ชนะไปทั่วอย่างหาคนสู้ไม่ได้...
...แล้วเรื่องพันท้ายนรสิงห์ ก็เกิดขึ้นในรัชสมัยนี้...
...เอ้อ มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่บ้างที่เด็กรุ่นหลังๆบางคนไม่รู้จักเรื่องพันท้ายนรสิงห์...บางคนพอพูดชื่อนี้ ก็นึกไปถึงเรื่องน้ำพริกเผาไปซะฉิบ...
...คราวหน้ามาต่อเรื่องพันท้ายนรสิงห์กันนะฮะ...
โฆษณา